ความยุติธรรมที่หล่นหายไปในประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อการปฏิรูปที่ดินของคนจนและผู้ยากไร้

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2547 นายจาดุร อภิชาตบุตร ประธานอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการถือครองที่ดินและการเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ออกไปโดยไม่ชอบฯ จังหวัดลำพูน ได้ทำบันทึกข้อความ จากสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เขตตรวจราชการที่ 1 ที่ นร 0100.01/90 เรื่อง สรุปผลการดำเนินงานแก้ไขปัญหาการถือครองที่ดินและการเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ออกไปโดยไม่ชอบฯ อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน เรียน รองนายกรัฐมนตรี (พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ) ประธานกรรมการติดตามการแก้ไขปัญหากลุ่มสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือและเครือข่ายองค์กรประชาชนภาคเหนือ โดยมีข้อสรุปผลการพิจารณาว่า “3. ข้อพิจารณาคณะกรรมการฯ ได้ประชุมพิจารณาข้อมูล ข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายประกอบความเห็นของผู้แทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและราษฎรในพื้นที่ ซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบร่วมกันตามประเด็นปัญหาที่พื้นที่โครงการจัดที่ดินผืนใหญ่ “บ้านโฮ่ง” จังหวัดลำพูนและพื้นที่บริเวณที่ร้องเรียน ดังนี้

3.1. กรณีการออกเอกสารสิทธิในเขตป่าไม้ กรมที่ดิน กรมพัฒนาที่ดิน และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้ร่วมกันตรวจสอบขีดเขตและรับรองแนวเขตป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรีและแนวเขตป่าสงวนแห่งชาติ “ป่าบ้านโฮ่ง” ซึ่งต้องดำเนินการเพิกถอนตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ดังนี้

(1) พื้นที่บ้านหนองสูน ตำบลหนองปลาสวาย อำเภอบ้านโฮ่ง ตรวจสอบในระวางแผนที่รูปถ่ายทางอากาศ ระวาง 4745 IV 6824 มีการออกโฉนดที่ดินรุกล้ำเข้าไปในเขตป่าไม้ถาวร จำนวนประมาณ 5 แปลง และเขตป่าสงวนแห่งชาติ จำนวนประมาณ 3 แปลง

(2) พื้นที่บ้านดงขี้เหล็ก ตำบลศรีเตี้ย อำเภอบ้านโฮ่ง ตรวจสอบในระวางแผนที่รูปถ่ายทางอากาศ ระวาง 4745 IV 7228 มีการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินรุกล้ำเข้าไปในเขตป่าไม้ถาวร จำนวนประมาณ 29 แปลง สำหรับการถ่ายทอดและลงนามรับรองแนวเขตป่าสงวนแห่งชาติในระวางแผนที่ ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการของสำนักบริหารจัดการในพื้นที่อนุรักษ์ 16 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช

3.2. กรณีการตรวจสอบข้อเท็จจริงการออกเอกสารสิทธิในที่ดิน เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องและรับผิดชอบในการออกเอกสารสิทธิดังกล่าว เห็นว่าการดำเนินการของเจ้าหน้าที่บางส่วนมีเจตนาและพัวพันกับกระบวนการทุจริตในหน้าที่ มีการจงใจและละเลยไม่ปฏิบัติตามมติที่ประชุมกรมที่ดิน เมื่อวันพุธที่ 11 เมษายน 2533 ที่มีมติว่า “พื้นที่ส่วนที่ราษฎรครอบครองทำประโยชน์อยู่ให้แจ้งจังหวัดออกใบจองตามประมวลกฎหมายที่ดินต่อไป ส่วนพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมที่จะทำการเกษตรกรรมและไม่มีผู้ใดครอบครองทำประโยชน์ก็ให้ดำเนินการสงวนหวงห้ามเพื่อประชาชนใช้ร่วมกัน” แต่ปรากฏว่าได้มีการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินในบริเวณพื้นที่ดังกล่าวโดยมีกระบวนการสร้างเอกสารอันน่าจะเป็นเอกสารเท็จ ซึ่งมีกรณีตัวอย่าง ดังนี้

(1) ได้มีการนำ ส.ค.1 ของที่ดินแปลงอื่นมาออก น.ส.3 ก เลขที่ 2882 และ 3496 ตำบลศรีเตี้ย อำเภอบ้านโฮ่ง ซึ่งได้ตรวจสอบแล้วที่ดินตาม น.ส.3 ก กับ ส.ค.1 ไม่ใช่ที่ดินแปลงเดียวกัน

(2) โฉนดที่ดิน เลขที่ 10329 หน้าสำรวจ 1572 ตำบลศรีเตี้ย อำเภอบ้านโฮ่ง ออกโฉนดที่ดินเมื่อปี 2533 ซึ่งผู้ขอออกโฉนดที่ดินอ้างว่าซื้อมาจาก นายคำ ต่อมสังข์ มาประมาณ 5 ปี แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ตามใบมรณะบัตรของนายคำ ต่อมสังข์ ระบุว่าเสียชีวิตเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2518 จึงเป็นการออกโฉนดโดยแจ้งข้อเท็จจริงอันเป็นเท็จ

(3) โฉนดที่ดินเลขที่ 16749 หน้าสำรวจ 590 ตำบลศรีเตี้ย อำเภอบ้านโฮ่ง ผู้ขอออกโฉนดที่ดินอ้างว่าซื้อมาจาก นายอินสม โยปันเตี้ย ซึ่งเป็นผู้ครอบครองเดิม ได้ครอบครองมาตั้งแต่ พ.ศ.2493 แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายอินสม โยปันเตี้ย เกิดเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2490 จึงเป็นการออกโฉนดที่ดินโดยแจ้งข้อเท็จจริงอันเป็นเท็จ

3.3. คณะอนุกรรมการฯ มีความเห็นว่ากระบวนการได้มาซึ่งเอกสารสิทธิในที่ดินอันเป็นมูลเหตุกรณีทั้งหมดตามที่ยกตัวอย่างมาและกรณีอื่น รวมทั้งการปฏิบัติงานเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินในพื้นที่ น่าจะมีส่วนพัวพันเกี่ยวข้องกับกระบวนการทุจริตคอรัปชั่น

4. ข้อเสนอจากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น ที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯ จึงได้มีมติให้นำประเด็นตามข้อ 3 ส่งให้กรมที่ดินและสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) พิจารณาดำเนินการต่อไปจึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา หากเห็นชอบ จักได้ดำเนินการต่อไป” พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ลงนามเห็นชอบเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2547จากบันทึกข้อความนี้ เป็นหลักฐานยืนยันถึงความไม่โปร่งใสและไม่ชอบด้วยกฎหมายในการออกเอกสารสิทธิ(โฉนดที่ดิน) ในพื้นที่ “โครงการจัดที่ดินผืนใหญ่ 15,000 ไร่” หรือที่ชาวบ้านเรียกกันจนติดปากว่า “โครงการจัดที่ดินผืนใหญ่หนองปลาสวาย” จนนำมาสู่ความขัดแย้งและมีการจับกุมดำเนินคดีกับชาวบ้านเป็นจำนวนมาก หากจะย้อนกลับไปดูประวัติความเป็นมาของ “โครงการจัดที่ดินผืนใหญ่ 15,000 ไร่” นี้ จะพบว่า

“โครงการเริ่มต้นขึ้นจากการประชุมของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2509 เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2509 ที่ประชุมมีมติให้กรมที่ดินและจังหวัดลำพูน ดำเนินการจัดที่ดินตามโครงการจัดที่ดินผืนใหญ่บ้านโฮ่ง-ป่าซาง จังหวัดลำพูน เนื้อที่ประมาณ 15,000 ไร่ เพื่อจัดสรรที่ดินให้ราษฎรซึ่งไม่มีที่ดินหรือมีที่ดินไม่พอประกอบอาชีพ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน โดยขอบเขตที่ดินจัดสรร เป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าอยู่ในท้องที่ตำบลศรีเตี้ย อำเภอบ้านโฮ่ง และตำบลหนองล่อง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน มีอาณาเขตดังนี้ ทิศเหนือจรดแม่น้ำลี้ ยาวประมาณ 9.5 กิโลเมตร ทิศตะวันออกจรดป่าสงวนบ้านโฮ่ง หรือป่าห้วยปันปืน ยาวประมาณ 10.5 กิโลเมตร ทิศใต้จรดป่าสงวนบ้านโฮ่ง หรือป่าห้วยปันปืน ยาวประมาณ 4 กิโลเมตร ทิศตะวันตกจรดแม่น้ำปิง ยาวประมาณ 19.5 กิโลเมตร โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อจัดสรรที่ดินให้ราษฎรซึ่งไม่มีที่ดินหรือมีที่ดินไม่พอประกอบอาชีพ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน ให้มีที่ดินเป็นที่อยู่อาศัยและประกอบการทำมาหาเลี้ยงชีพเป็นหลักฐานมีฐานะทางเศรษฐกิจแห่งครอบครัวมั่นคง และเพิ่มพูนผลิตผลทางการเกษตรตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ โครงการจัดที่ดินผืนใหญ่บ้านโฮ่ง อนุมัติเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2509 โดย นายศักดิ์  ไทยวัฒน์ อธิบดีกรมที่ดิน (ในสมัยนั้น) ระยะเวลาดำเนินการ ปี 2509 จัดสรรที่ดินให้ราษฎรประมาณ 300 ครอบครัว เนื้อที่ประมาณ 3,000 ไร่ ปี 2510 จัดสรรที่ดินให้ราษฎรประมาณ 300 ครอบครัว เนื้อที่ประมาณ 3,000 ไร่ ปี 2511 จัดสรรที่ดินให้ราษฎรประมาณ 300 ครอบครัว เนื้อที่ประมาณ 4,000 ไร่ รวม 3 ปี จัดสรรที่ดินให้ราษฎรประมาณ 1,000 ครอบครัว เนื้อที่ประมาณ 10,000 ไร่ (เฉลี่ยครอบครัวละประมาณ 10 ไร่) เสร็จแล้วกรมที่ดินจะได้มอบหมายให้จังหวัดและอำเภอท้องที่ดำเนินการปกครองทำนุบำรุงที่ดินจัดสรรแปลงนี้ ตามอำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการส่วนภูมิภาค และกรมที่ดินจะได้เคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่กับเครื่องทุ่นแรงต่างๆ ไปดำเนินการจัดที่ดินผืนใหญ่แห่งอื่นต่อไป ผลการดำเนินการตั้งแต่ปี 2509 จนถึงปี 2527 ปรากฏว่า ได้มีการออกใบจองให้ราษฎรไปทั้งสิ้นจำนวน 1,391 ราย แต่ปรากฏว่าเกิดความผิดพลาดในการจัดสรรแปลงที่ดิน และไม่สามารถตรวจสอบตำแหน่งที่ดินตามใบจองให้ถูกต้องได้ และก่อนที่จะมีการจัดที่ดินไม่ได้มีการสอบสวนสิทธิก่อน ทำให้ผู้ที่ได้รับใบจองที่ได้ครอบครองทำประโยชน์อยู่ก่อนแล้วไม่ตรงกับแปลงที่ได้รับใบจอง ในที่สุดนำมาสู่การเพิกถอนและจำหน่ายใบจอง และสัญญาว่าจะมีการจัดสรรที่ดินใหม่ แต่เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงปี 2533 ก็ได้มีราษฎรไปร้องเรียนต่อจังหวัดลำพูน จนนำมาสู่การจัดประชุมโดยนายทวี ชูทรัพย์ อธิบดีกรมที่ดินสมัยนั้น เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2533 และมีมติที่ประชุมว่า “พื้นที่ส่วนราษฎรครอบครองทำประโยชน์อยู่ให้แจ้งจังหวัดดำเนินการออกใบจองตามประมวลกฎหมายที่ดินต่อไป ส่วนพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมที่จะทำเกษตรกรรมและไม่มีผู้ใดครอบครองทำประโยชน์ ก็ให้ดำเนินการสงวนหวงห้ามเพื่อประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน โดยให้ดำเนินการตามระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติฉบับที่ 9 (พ.ศ.2529) แต่ต่อมาปี 2534 กลับมีการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินเข้าไปในบริเวณพื้นที่ของโครงการจัดที่ดินผืนใหญ่ตามที่กรมที่ดินมีมติไปเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2533 ดังกล่าว จึงเป็นการดำเนินการที่ฝ่าฝืนมติของกรมที่ดิน และมีการพัวพันกับการทุจริต จนนำมาสู่ข้อสรุปของคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการถือครองที่ดินและการเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ออกไปโดยไม่ชอบฯ ดังกล่าวข้างต้น

จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากผลการตรวจสอบทั้งหมดที่กล่าวมาโดยสังเขปนี้ จะเห็นได้ว่า มีการดำเนินการที่ฝ่าฝืนนโยบายและวัตถุประสงค์ในการแก้ไขปัญหาราษฎรไม่มีที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยอันเป็นเจตนารมณ์แต่แรกของโครงการจัดที่ดินผืนใหญ่หนองปลาสวาย นอกจากนี้ยังมีการบิดเบือนข้อเท็จจริง กระทั่งสร้างข้อเท็จจริงเท็จขึ้นมาเพื่อเปิดทางให้กลุ่มทุนที่มีอำนาจและอิทธิพลเข้ามาฮุบเอาที่ดินอันเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินที่ควรถูกจัดสรรให้กับราษฎรที่เดือดร้อนไม่มีที่ทำกินหรือมีไม่พอในการประกอบอาชีพเพื่อดำรงชีวิต ให้ตกไปเป็นของกลุ่มทุนที่เข้ามาใช้อำนาจอิทธิพลร่วมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ฉ้อฉลในการนำเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินไปในพื้นที่โครงการจัดที่ดินผืนใหญ่หนองปลาสวายไปเกือบทั้งหมด ราษฎรที่เคยได้รับการคัดเลือกและได้รับใบจองไปตอนที่เริ่มต้นโครงการกลับไม่ได้รับการเหลียวแล แต่จนถึงวันนี้ ความอยุติธรรมและความไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ปรากฏชัดเจนจากข้อเท็จจริงที่ได้รับการตรวจสอบจากหน่วยงานของรัฐ ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขเพื่อนำความยุติธรรมกับคืนมาให้กับราษฎรที่ถูกปล้นที่ดินไปด้วยความฉ้อฉลและคดโกง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมากับเป็นคดีความที่ถูกนายทุนดำเนินคดีฟ้องร้องจับกุมจนหลายคนต้องถูกจำคุก บางคนเสียชีวิตในเรือนจำ อย่างน่าอนาจใจนัก

วันที่ 29 เมษายน 2557 ที่จะถึงนี้ คืออีกวันหนึ่งที่จะพิสูจน์ว่า “ความยุติธรรม” ยังหลงเหลืออยู่ให้ประชาชนได้มีความหวังอีกหรือไม่ วันนี้ ศาลปกครองสูงสุดจะตัดสินว่า การดำเนินการออกเอกสารสิทธิโฉนดที่ดินของกลุ่มทุนทั้งหมดที่ราษฎรเรียกร้องให้มีการตรวจสอบจนผลการตรวจสอบออกมาดังกล่าว ศาลปกครองจะวินิจฉัยออกมาอย่างไร จะตัดสินให้การกระทำอันล้มเหลวของเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นความล้มเหลวที่ไม่ผิดกฎหมาย หรือเป็นความล้มเหลวที่รัฐต้องรับผิดชอบต่อประชาชน หรือตัดสินให้การฉ้อฉลนั้นชอบด้วยกฎหมาย หรือจะนำความยุติธรรมกลับคืนมา โดยตัดสินให้ทำลายความไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นด้วยการเพิกถอนการเดินสำรวจออกโฉนดเมื่อปี 2534 นั้นลงทั้งหมด และให้ทุกอย่างกลับไปเริ่มต้นใหม่เพื่อความเป็นธรรม

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท