จากเพศที่ 2 สู่เพศที่ 3 : สภาวะการกดขี่กับวาทกรรมของเสรีภาพ (3)

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

 

แล้วตกลงว่าประเทศไทยเรานั้นมีเสรีภาพสำหรับคนกลุ่มนี้จริงหรือ ?

ด้วยการอิงบริบทของสังคมไทยปัจจุบันนี้เองที่เข้าสู่กระแสโลกทุนนิยมโลกาภิวัฒน์ทำให้การมีกะเทยหรือผู้มีความหลากหลายทางเพศนั้นได้รับการยอมรับมากขึ้น นานาชาติหันมาสนใจความมากหน้าหลากตาของกะเทยไทยที่ถูกผลิตสร้างผ่านมายาคติความงามให้ออกไปเป็นเครื่องประดับของสังคมไทย ไทยเราจึงมีกะเทยเป็นจุดขาย มีพัทยา ภูเก็ต นานา ซ่อง และคาบาเร่ ที่เป็นจุดขายของการท่องเที่ยว เราอาจจะมองว่าสถานที่เหล่านี้ที่เป็นพื้นที่ให้คนกลุ่มนี้ได้แสดงออกแท้จริงแล้วมันคือคุกแห่งการจองจำที่แบ่งแยกพื้นที่ของคนกลุ่มนี้ให้ออกจากบทบาทของชายหญิงปกติมากกว่าจะเรียกได้ว่าเป็นสวรรค์

สังคมไทยที่ทำตัวเป็นผู้เมตตาเปรียบประเทศตนเองว่ามีเสรีภาพให้แก่กลุ่มคนเหล่านี้มาก แท้จริงแล้วการกระทำเช่นนี้ไม่ต่างจากการสร้าง คำหลอกลวง ที่ใหญ่โตจนไม่อาจจะละเลยได้ เพราะอะไรการที่กะเทยในสังคมไทยสามารถเข้ามายืนในพื้นที่ทางสังคมได้นั้นไม่ใช่เพราะเรามีเสรีภาพที่สังคมมอบให้ผ่านสายตาของการเป็นผู้รอรับโอกาส แต่เกิดจากการที่สังคมไทยชี้นิ้ว วาดภาพ และคาดหวังให้กะเทยที่มีอยู่ในสังคมต้องตกอยู่ในบทบาททางเพศ มีพฤติกรรม อากัปกิริยาตามที่สังคมไทยได้สร้างและกดทับให้กะเทยเป็น สิ่งเหล่านี้หาใช่เสรีภาพในการกำหนดชะตากรรมของกะเทยเองเลยเสียด้วยซ้ำ

และแบบแผนของการเป็นกะเทยที่ดีที่สังคมไทยยอมรับคือ หนึ่งคือ ต้องสวยกว่าผู้หญิง เพราะอะไร เพราะการที่กะเทยซึ่งถูกตราว่าเป็นของแปลกจะกลายมาเป็นคนปกติได้ต้องมีอะไรที่พิเศษกว่าคนปกติ นั้นคือกะเทยต้องนำร่างกายตัวเองจำแลงไปอยู่ในมายาคติของความงามแบบที่ชายหญิงเขาพึงปรารถนา ต้องสวย ขาว นมโต หน้าสวยเรียว อันเป็นมายาคติเดียวกันที่กดทับให้เพศหญิงต้องสวยเช่นนี้จึงจะมีโอกาสในสังคมและชีวิตที่ดีกว่าคนทั่วไป กะเทยจึงต้องทำให้ได้เช่นนั้นเพื่อไตเต้าไปสู่บันไดของการยอมรับ

นอกจากการเป็นกะเทยสวยงามแบบที่สังคมได้คาดหวังไว้แล้ว ในเรื่องของพฤติกรรมความคิดนั้นก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่กะเทยต้องนำตนเองเข้าไปอยู่ในบรรทัดฐานของการเป็นพลเมืองไทยที่ดี นั้นคือ กะเทยเหล่านี้มีความเป็นผู้หญิงที่ดีหรือไม่ อันนำมาสู่คำถามที่ว่าความเป็นผู้หญิงที่ดีคืออะไร ? และที่สำคัญมันมีอยู่จริงหรือสังคมได้กำหนดบทบาทเหล่านี้ให้ผู้หญิงต้องเป็น ต้องอยู่ในสภาวะเช่นนี้กันแน่ ? กะเทยที่อยากจะเข้ามาสู่อัตลักษณ์ของความเป็นหญิงได้ก็ต้องผ่านการตรวจเช็คว่า เรียบร้อย ไม่แรด รักนวลสงวนตัว เย็บปักถักร้อยเป็น เป็นแม่พลอยหรือไม่ มีคุณสมบัติเช่นนี้หรือไม่ และหากจะเปรี้ยวก็ต้องสวยชิคๆ แรดได้ โชว์ได้แต่ต้องอยู่ในมายาคติของความงามที่ลดทอนร่างกายของผู้หญิงและกะเทยให้เป็นวัตถุแห่งการจับจ้องไร้สึกสำนึกในการตระหนักรู้ต่อร่างกายตนเองที่ถูกสังคมควบคุมและกำลังเสพสมกามารมณ์จากอำนาจของปลายลึงค์ที่เขียนและวาดภาพกะเทยและผู้หญิงให้เป็นเพียง วัตถุทางเพศ ที่พวกเธอต้องเป็นเพราะสังคมบอกให้เป็น และถ้าเป็นได้สังคมชายเป็นใหญ่ก็จะเปิดอกให้เข้ามาอย่างยินดี

แต่ทว่าหากกะเทยไม่สวยแล้วยังโชว์เพราะอยากโชว์เป็นหญิงมั่นไม่อยู่ในขนบของหญิงดีงามหรือการเป็นวัตถุแห่งการจับจ้องตามที่สังคมกดทับให้ปัจเจกบุคคลที่ถูกนิยามว่าเป็นหญิงเป็น กะเทยนางนั้นก็จะถูกมองด้วยสาตาของ “ความประหลาด” “ความน่าเวทนา” สิ่งเหล่านี้คือบทบาทที่กะเทยที่อยากจะเข้ามายืนเข้ามาบอกว่าฉันได้รับการยอมรับจากไทยแลนด์ดินแดนเสรีภาพของพวกเราต้องยอมจ่ายในราคาที่ต้องลดตัวเองลงมาให้เป็นสินค่าส่งออกความประหลาด และพิเศษเกินกว่าที่จะเป็นมนุษย์ เพราะพวกเธอไม่ต่างอะไรกับการเข้าไปในโรงงานแปรสภาพมนุษย์ให้เป็นสินค้าต้องประสงค์ที่มีชื่อแบรนด์ว่า “ดินแดนเสรีภาพของเพศที่ 3”

และด้วยการที่สังคมได้สร้างความพิเศษหรรษาให้แก่กะเทย พรสวรรค์บางอย่างที่สังคมมอบให้กะเทยมากลบปมด้อยที่ถูกสังคมสร้างขึ้นเช่น ความสามารถในเรื่องสวยๆ งามๆ การเต้นรำ การทำอะไรตลกๆ สายตาของผู้คนในสังคมจึงคาดหวังต่อกะเทยสูงในเรื่องเหล่านี้ ทั้งๆ ที่ความสามารถเหล่านี้เป็นสิ่งที่ใครก็ตามอาจมีได้ไม่ใช่เฉพาะกะเทย แต่กะเทยในสังคมไทยถูกบ่มเพาะให้มาทางสายนี้ โดยเฉพาะสายงานด้านบันเทิง และธุรกิจทางเพศ (sex industry) อันเป็นสิ่งที่สังคมไทยค่อนข้างปากว่าตาขยิบ ดัดจริตคิดว่าเป็นดินแดนอันดีงามมีคุณธรรม เป็นเมืองพุทธบ้าง แม้ว่าซ่อง อาบอบนวด สถานบริการต่างๆ จะกระจายอยู่ตามแต่ละท้องที่ในประเทศเป็นจำนวนมาก แต่สังคมไทยเราก็ยังจะมองว่าที่เหล่านี้เป็นแหล่า “อโคจร” เป็นที่ไม่ดี

และพอมันเป็นที่ไม่ดี สังคมเลยต้องสร้างพื้นที่ (space) เฉพาะเหล่านี้ให้แก่บรรดากะเทยผู้ที่เป็นส่วนเกินของสังคมให้เข้าไปอยู่กินและทำงานในส่วนนี้ ค่านิยมที่สังคมมีต่อคนกลุ่มนี้ก็เลยจะมองว่ากะเทยเป็นสัตว์ที่นิยมการร่วมเพศ บ้าเซ็กซ์ มั่วกาม คำว่า “รักร่วมเพศ” จึงกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับนิยามที่ว่าคนกลุ่มนี้จะรักได้ต้อง ร่วมเพศเท่านั้น ไม่ใช่ความรักอันดีงามแบบชายหญิงที่มองว่าการร่วมเพศเป็นสิ่งน่ารังเกียจ ดังนั้นความรักที่มีต่อคนกลุ่มนี้จึงเป็นสิ่งที่ประหลาดผิดปกติไม่น่าเปิดเผยในสังคมแห่งนี้เพราะความรักของคนกลุ่มนี้นั้นถูกทำให้ประหลาดออกไป หาใช่มันประหลาดด้วยตัวมันเอง

ภาระเหล่านี้จึงตกไปอยู่กับกะเทย สิ่งที่น่ารังเกียจ อาชีพที่ชายหญิงไม่ทำกันก็ต้องอยู่กับกะเทย กะเทยจึงถูกสั่งสอนให้ทำตัวตลกๆ ไม่ก็ทำงานสวยงาม เต้นกินรำกินเพื่อที่จะตอบสนองบทบาทที่สังคมมองว่าไม่ดี เป็นอาชีพชั้นรองจากอาชีพที่ชายหญิงชนชั้นกลางใฝ่ฝันเช่นได้เป็น เมียทูต เป็นหมอ เป็นครู หากกะเทยจะยกระดับตัวตนของตนเองได้ก็ต้องยกระดับผ่านการศึกษาที่พอจะเป็นช่องทางให้กะเทยได้รับการยอมรับจากสังคม แต่ใช่ว่าจะทำให้กะเทยนั้นสามารถหลุดพ้นจากการกดทับจากบทบาททางเพศที่สังคมกำหนดไว้ให้ได้ กะเทยบางกลุ่มจึงต้องการการยอมรับจากสังคมอีกอย่างโดยมีอีกวิธีก็คือการนำตัวเองเข้าไปอยู่ในอุดมการณ์กระแสหลักของสังคมไทย หรือเป็นคนดีนั้นก็คือ เป็นผู้รัก ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

หากจะกล่าวว่าเรามีเสรีภาพนั้น มันควรจะเป็นเสรีภาพจากการที่คนกลุ่มนั้นได้ตัดสินใจเลือกและตระหนักในการตัดสินใจของตนเองมากกว่า เป็นเสรีภาพที่จัดพื้นที่ให้เฉพาะ เปรียบเสมือนบ้านที่กว้างขวางแต่ก็ถูกล้อมรั้วไม่ให้ออกไปจากกรอบของสังคมที่กำหนดไว้ให้ได้ สิ่งๆ นั้นเราไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นบ้าน แต่มันคือ คุก และเสรีภาพไม่ใช่สิ่งที่พวกเราต้องรอให้สังคมมอบให้ในฐานะของผู้โปรดสัตว์แต่มันคือสิทธิของเราอันพึงมีพึงได้ในฐานะของมนุษย์คนหนึ่ง

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท