ปัญหาทางการเมืองยุคใหม่ของไทยเริ่มขึ้นตั้งแต่ทักษิณได้รับเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ.2544 เขาได้ทำสิ่งใหม่ๆ หลายประการจนซื้อใจของประชาชนและได้ครองเสียงข้างมากมาโดยตลอด แต่ผลงานของเขาก็กระทบต่อระบบอุปถัมภ์และผลประโยชน์ของเหล่าอภิสิทธิ์ชนซึ่งอาจเรียกง่ายๆ ว่า "กังฉิน" ซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้ายาบ้า เจ้ามือหวยเถื่อน ผู้มีอิทธิพลทุกระดับ จึงทำให้เกิดขบวนการโค่นล้มเขาด้วยวิธีนอกรัฐธรรมนูญมาตั้งแต่ พ.ศ.2547 และในที่สุดก็ทักษิณก็ถูกรัฐประหารเมื่อปี พ.ศ.2549
แต่แม้ต่อมา "กังฉิน" จะได้เปลี่ยนรัฐธรรมนูญและแก้ระบบการเลือกตั้งใหม่ ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังเลือกตัวแทนของเขา ไม่ว่าจะเป็นสมัคร-สมชาย หรือยิ่งลักษณ์มาอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ในการเลือกตั้ง ส.ส. และ ส.ว. ครั้งล่าสุดในปี พ.ศ.2557 ฝ่ายนิยมรัฐบาลก็ยังชนะ การที่คนไทยทั้งชาติรักในหลวงและส่วนใหญ่เลือกทักษิณ ก็น่าจะอนุมานได้ว่าพวกเขาไม่เชื่อว่าทักษิณไม่จงรักภักดีดังถูกกล่าวหา แต่ปัญหาการเมืองไทยเกิดขึ้นเพราะ "กังฉิน" หรือฝ่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตย อิจฉาและเกรงว่าตนเองจะขาดอำนาจหากประชาธิปไตยเบ่งบานยิ่งขึ้น
ครั้งก่อน "กังฉิน" ส่งสนธิ ลิ้มทองกุล ออกมาเคลื่อนไหวข้างถนนเพื่อให้เกิดรัฐประหาร และครั้งนี้เลือกใช้สุเทพ เทือกสุบรรณ ออกมาแทน เมื่อรัฐบาลยอมถอยด้วยการยุบสภาให้ประชาชนตัดสิน สุเทพก็ไม่ยอมหยุด กลับขัดขวางการเลือกตั้ง โดยอ้างว่าการเลือกตั้งไม่บริสุทธิ์ ต้องปฏิรูปการเมืองก่อน แต่ทีเลือก ส.ว. ส.ท. ส.ก. ส.ข. ที่ฝ่ายตนมีโอกาสชนะ กลับไม่ขัดขวาง "กังฉิน" พยายามทำให้รัฐบาลรักษาการอ่อนแอลงและมุ่งใช้องค์กรอิสระทำลายรัฐบาลให้สิ้นสภาพ
เป้าหมายของ "กังฉิน" ไม่ใช่แค่กำจัดทักษิณและคณะ แต่หวังโค่นล้มระบอบประชาธิปไตย นำพาประเทศ "ถอยหลังเข้าคลอง" ไปสู่ระบอบเผด็จการทรราช ที่หวังจะแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกครั้งให้องค์กรอิสระมีอำนาจล้นฟ้ากว่าเดิม มีการเลือกตั้ง ส.ส. แต่น้อย มีการสรรหามากขึ้น เช่นเดียวกับการสรรหา ส.ว. ทั้งที่ประเทศไทยเคยให้ประชาชนได้เลือกตั้ง ส.ว. ทั้งหมดมาแล้ว จะสังเกตได้ว่า ส.ว. ที่สรรหามา มักเป็นปฏิปักษ์ต่อประชาธิปไตย
หากเป็นในอารยประเทศ การยึดพื้นที่ถนน หน่วยราชการ และการมีอาวุธของม็อบสุเทพคงถูกปราบปรามลงราบคาบแล้วเพราะทำผิดกฎหมายชัดเจน แต่สำหรับประเทศไทย พวกเขากลับได้รับการคุ้มครองมาโดยตลอด กลายเป็น "ม็อบมีเส้น" นี่ถ้าข้าราชการและประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยไม่เข้มแข็ง และไม่ได้รับการสนับสนุนจากนานาชาติ "กังฉิน" คงทำรัฐประหารไปอีกครั้งแล้ว
การต่อสู้ทางการเมืองอย่างยืดเยื้อยาวนานราวครึ่งปีมานี้ สร้างความเสียหายแก่ชาติอย่างมหาศาล ถ้า GDP ของไทยลดลงสัก 1% ก็เสียหายไป 120,000 ล้านเข้าไปแล้ว ยิ่งหากพิจารณาถึงขีดความสามารถในการแข่งขันและการด้อยค่าของสินทรัพย์ไทยเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านก็อาจเป็นเงินนับล้านล้านบาท ความเสียหายจากการต่อสู้ทางการเมืองนับสิบปีมานี้น่าจะมากกว่าเงินที่กล่าวหาว่าทักษิณทุจริตนับสิบนับร้อยเท่าเข้าไปแล้ว
ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ตามที่ต่างอ้างตัวว่ารักชาติควรสำเหนียกถึงความเสียหายเหล่านี้โดยเฉพาะผลกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ที่อยู่เหนือหัว ควรเข้าสู่โต๊ะเจรจา ให้มีการเลือกตั้งที่ทุกฝ่ายเข้าร่วมให้ประชาชนตัดสิน แล้วให้สภาเป็นผู้ดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ประชาชนได้ลงมติตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยที่เคยปฏิบัติกันมา ส่วนใครมีคดีความใด ๆ ก็ว่ากันไปตามตัวบทกฎหมาย อย่าได้หวังแต่จะได้รับการนิรโทษกรรมหากฝ่ายตนชนะ
การแตกแยกทางความคิดไม่ใช่เรื่องแปลก ในสหรัฐอเมริกาชาวเดโมแครตกับชาวรีพับบลิกัน ก็ไม่ฟังกันเลย (ยกเว้นยามชาติมีภัย) แต่เขาก็ไม่ฆ่าฟัน ทำร้ายหรือเล่นการเมืองข้างถนน เขาจบลงที่การเลือกตั้งซึ่งเป็นกติกาสากลของทั่วโลก ในพม่า บังคลาเทศ อัฟกานิสถาน และอื่นๆ ในทวีปอาฟริกาที่ประชาชนด้อยคุณภาพกว่าและขาดประสบการณ์เลือกตั้ง เขาก็ยังยอมรับการเลือกตั้งแม้จะจัดขึ้นโดยรัฐบาล ไม่ใช่ กกต. ที่ไม่เข้าข้างรัฐบาล หรือแม้การเลือกตั้งจะถูกกองกำลังติดอาวุธเช่นตอลีบันข่มขู่ก็ตาม
ต้องให้เกียรติ ให้สิทธิ ให้อำนาจประชาชนเป็นผู้ตัดสินอนาคตของตนเอง