Skip to main content
sharethis
บริเวณหน้าสวนสัตว์ดุสิต ตรงข้ามรัฐสภา มักเป็นที่ปักหลักประท้วงของกลุ่มการเมืองต่างๆ หนึ่งในบุคคลที่มาปักหลักพื้นที่นี้บ่อยครั้งตลอด 20 ปีที่ผ่านมา คือ เรืออากาศตรีฉลาด วรฉัตร  คุณลุง วัย 71 ปี อดีตส.ส. ประชาธิปัตย์จังหวัดตราดและกทม. และนักกิจกรรมซึ่งเป็นที่รู้จักจากการอดอาหารในการเคลื่อนไหวทางการเมือง
 
ครั้งนี้ฉลาดกลับมาอีกครั้ง เขาได้ปักหลักค้างคืนอยู่หน้าสวนสัตว์ดุสิตกับเต็นท์สองหลังตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 มี.ค. เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับการที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้การเลือกตั้ง 2 ก.พ. 57 เป็นโมฆะ   และกรณีที่ป.ป.ช. สั่งให้ประธานวุฒิสภาหยุดปฏิบัติหน้าที่จากการถูกชี้มูลเรื่องการจำนำข้าว ซึ่งเขามองว่าเป็นอำนาจอันไม่ชอบธรรมขององค์กรอิสระ ภายใต้รัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2550 
 

ฉลาด วรฉัตร ปักหลักชุมนุมบริเวณหน้าสวนสัตว์ดุสิต ตั้งแต่วันที่ 21 มี.ค. 57
 
เขาเรียกร้องให้รัฐบาลและองค์กรที่เกี่ยวข้องจัดการเลือกตั้งขึ้นอย่างเร่งด่วน และให้รัฐสภาดำเนินการยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2550 และนำเอารัฐธรรมนูญฉบับถาวรฉบับแรก 10 ธันวาคม 2475 มาใช้แทน โดยฉลาดกล่าวว่ารัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว มีการบัญญัติกฎหมายอาญาว่า “ใครมาล้มล้างรัฐธรรมนูญเป็นกบฏ” จึงต้องการให้รัฐสภาตั้งกรรมาธิการวิสามัญแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับถาวรให้เป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ 
 
“ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญที่เป็นเผด็จการโดยทหารมานานกว่า 80 ปีแล้ว และนี่คือต้นตอของปัญหาการเมืองไทยในปัจจุบันนี้” เขากล่าว 
 
ข้อเรียกร้องในคำแถลงการณ์ฉลาดยังระบุอีกว่า ถ้าหากข้อเรียกร้องดังที่กล่าวมาไม่ได้รับการพิจารณาเขาก็จะเรียกร้องต่อไป และหากในระหว่างการเรียกร้องเกิดการยึดอำนาจโดยการรัฐประหาร จะขออดข้าว ดื่มน้ำ จนกว่าชีวิตจะสิ้นชีวิต
 
“ปัญหาตอนนี้อยู่ที่ตัวรัฐสภา รัฐสภาไม่มี สส.ปฏิบัติหน้าที่เลย ดังนั้นจึงต้องมีการเลือกตั้ง แต่มาวันนี้มันอดทนไม่ไหว มันน่าเกลียดเกิน ที่รัฐธรรมนูญปี 50 ให้อำนาจองค์กรอิสระต่าง ๆ มีอำนาจเหนือรัฐสภา” ฉลาดกล่าว  “ในการเรียกร้องครั้งนี้ เป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของผม ผมเชื่อว่ายังไงครั้งนี้ต้องชนะและมีการเลือกตั้งแน่นอน ถึงแม้เลือดตกยางออกก็ตาม แต่ถ้าวันไหนมีการปฏิวัติอีกครั้ง ผมจะขออดอาหารตาย” 
 
ฉลาดกล่าวถึงแนวทางการอดอาหารประท้วงว่า สำหรับเขา มันคือจิตวิญญาณของผู้แทนราษฎร ที่ต้องการทำเพื่อประชาชน และการต่อสู้ในลักษณะนี้ คือต้องต่อสู้กับอำนาจที่เหนือกว่าเลยต้องเอาชีวิตของตนเข้าแลก  
 
“เพื่อเสียสละป้องกันการสูญเสียจากการประท้วงของประชาชน เพราะมันไม่ใช่หน้าที่ของประชาชนที่ต้องออกมาเรียกร้องหรือประท้วงให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน เราเป็นตัวแทนของประชาชน จึงต้องเสียสละทำเพื่อประชาชน ต้องเอาความเดือดร้อนของประชาชนมาพิจารณา เพื่อแก้ปัญหา”
 
ทั้งนี้ ฉลาด ได้เคลื่อนไหวต่อสู้ทางการเมืองครั้งแรกในปี 2523 โดยการอดข้าวประท้วงรัฐบาลและเพื่อนสมาชิกสภา ฯ เป็นเวลา 2 วัน จนหมดสติ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลพล.อ.เกรียงศักดิ์เปิดประชุมสภาวิสามัญ เพื่อชี้แจงเหตุผลในการกักตุนน้ำมันส่งผลให้ประชาชนเดือดร้อน ผลตามมาก็คือ พล.อ.เกรียงศักดิ์ลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี
 
“ตอนนั้นเกิดจากความบริสุทธิ์ใจของผม เพราะในฐานะตัวแทนของประชาชน ถ้าประชาชนเดือดร้อน เราไม่ทำอะไรเลยมันก็ไม่ใช่ ผมได้ขอร้องเพื่อนสภา ฯ ให้เปิดประชุมสภาเพื่อพิจารณาปัญหาดังกล่าว แต่เพื่อนร่วมสภาไม่สนใจ ผมประท้วงโดยอดอาหารและน้ำกลางสภา เป็นเวลา 1 วันครึ่ง จนผมถูกหามส่งโรงพยาบาล และในที่สุดข้อเรียกร้องของผมก็สำเร็จ”
 
หลังจากที่พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ลาออกจากตำแหน่งนายกฯ เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2523 สภาผู้แทนราษฎรได้เลือกพลเอกเปรม เป็นนายกฯ คนถัดมา และสมัยพลเอกเปรมเป็นนายกฯ ช่วงปี 2526  ฉลาด ได้ประท้วงโดยอดอาหารเป็นเวลา 9 วันเพื่อคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมที่ให้ข้าราชการประจำสามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ เพราะฉลาดเชื่อว่าในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยนั้น นายกรัฐมนตรี ต้องมาจากการเลือกตั้ง การกระทำของเขาครั้งนี้ส่งผลให้ร่างกฎหมายดังกล่าวไม่ผ่านสภา ต่อมานายกฯ เปรมได้ประกาศยุบสภา
 
ในปี 2531 ฉลาด ได้รับเลือกตั้งให้เป็น สส. แต่ก็เป็นได้เพียงแค่ 6 เดือนก็ต้องลาออก เนื่องจากเขาไม่เห็นด้วยที่พรรคประชาธิปัตย์หนุนให้ พล.อ.เปรม ฯ เป็นนายกรัฐมนตรี  จึงทำให้ฉลาดร่วมกับสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.)  เคลื่อนไหวคัดค้านให้ต้องมีนายก ฯ ที่มาจากการเลือกตั้ง  จนผลสุดท้าย พล.อ.เปรมประกาศจะไม่ขอรับตำแหน่งนายก ฯ จึงทำให้ พล.อ.ชาติชาย ได้เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งแทน
 
ในเดือนก.พ. 2534 เกิดการรัฐประหารรัฐบาลชาติชาย นำโดยพลเอกสุนทร คงสมพงศ์ พลเอกสุจินดา คราประยูร หลังจากประชาชนได้เรียกร้องให้ทหารจัดการเลือกตั้ง คณะรัฐประหารได้สัญญาว่าจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการจัดตั้งรัฐบาลเด็ดขาด อย่างไรก็ตาม เมื่อปี 2535 พล.อ.สุจินดา เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ฉลาดเป็นคนแรกที่ประกาศอดข้าวประท้วงบริเวณหน้ารัฐสภาเพื่อประท้วงรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรม จนนำไปสู่เหตุการณ์พฤษภาทมิฬในที่สุด 
 
หลังจากที่พล.อ. สุจินดา คราประยูร ลงจากตำแหน่ง และนายชวน หลีกภัย ได้ขึ้นมาเป็นนายกฯ ในปี 2537 ก็ยังไม่มีทีท่าว่ารัฐบาลนายชวนจะทำการปฏิรูปรัฐธรรมนูญที่มาจากการรัฐประหาร ฉลาดจึงได้อดข้าวประท้วงอีกครั้งเป็นเวลา 49 วัน อย่างไรก็ตาม ด้วยสุขภาพที่ทรุดลงอย่างมาก และทีท่าที่นายกฯ จะไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญ ทำให้สุลักษณ์ ศิวรักษ์ และสมเด็จพระสังฆราชในขณะนั้น ถึงกับขอร้องให้ฉลาดเลิกการอดอาหาร และไปบวชที่วัดบวรนิเวชวิหาร
 
อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ดังกล่าว นำไปสู่การตั้งคณะกรรมการพัฒนาประชาธิปไตย (คพป.) ที่ผลักดันโดยนายมารุต บุนนาค ประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยคพป. ได้ผลิตข้อเสนอเรื่องการปฏิรูปการเมืองและนำไปสู่การตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการดังกล่าวก็ถูกมองว่าตั้งขึ้นเพื่อลดอุณหภูมิทางการเมืองและให้ฉลาดยุติการอดอาหาร
 
ฉลาด ได้กลับมาอีกครั้งหลังรัฐประหาร 49 เพื่อประท้วงการยึดอำนาจของทหารและการรับรัฐธรรมนูญปี 50 โดยการขังตัวเองอยู่ในกรงหน้ารัฐสภา เพราะเขามองว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว นั้นเป็น “ฉบับกบฏ” ซึ่งมาจากการยึดอำนาจของกองทัพ 
 
จากนั้นไม่นาน ฉลาดได้เป็นโจทก์ยื่นพ้อง คมช.- ครม.- คตส. - ปปช. - สนช.ในปี  2550 รวมจำเลยทั้งหมด 308 คน ข้อหาร่วมกันเป็นกบฏ และดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ และเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดที่ร้ายแรงด้วยการทำรัฐประหาร หรือยึดอำนาจมาโดยใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อล้มล้างเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจโดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 , 113 , 83 และ 86  โดยใช้เวลาไปกว่า 3 ปี และค่าใช้จ่ายกว่าสามแสนบาท
 
อย่างไรก็ตาม ศาลชั้นต้นยกฟ้อง และศาลฎีกาให้ตัดสินตามศาลชั้นต้น ทำให้คดีนี้สิ้นสุด   
 
ทั้งนี้ ฉลาด วรฉัตร เป็นอดีตนักเรียนทุนกองทัพอากาศ ปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกลที่ประเทศฟิลิปปินส์ เริ่มเส้นทางทางการเมืองครั้งแรกในปี พ.ศ. 2509 โดยเป็น สส. พรรคประชาธิปัตย์ จ.ตราด และกรุงเทพมหานคร  อดีตกรรมาธิการทหารสภาผู้แทนราษฎร  กรรมาธิการปกครองสภาผู้แทนราษฎร ประธานที่ปรึกษากรรมาธิการปกครองสภาผู้แทนราษฎร และที่ปรึกษารัฐมนตรีอุตสาหกรรม ( ฯพณฯ ไกสร ตัณติพงษ์) มีผลงานทางการเมืองมากกว่า 150 เรื่อง
 
“ไม่มีใครขวางผมได้ เพราะผมเป็นประชาชนและมีจิตวิญญาณของความเป็นประชาธิปไตย ประชาชนคนธรรมมันไม่มีอะไรต่อสู้กับเขาก็เลยเอาชีวิตเข้าต่อสู้ ถ้าคุณเอาชีวิตเข้าต่อสู้เพื่อคนอื่น และเพื่อประเทศชาติด้วยความบริสุทธิ์ใจ ถ้าคุณไม่ถึงที่ตาย คุณก็ชนะ” ฉลาดกล่าว  
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net