Skip to main content
sharethis
ศรส.ยืนยันไม่ได้นิ่งนอนใจเหตุรุนแรงรายวันในพื้นที่กรุงเทพฯ สั่งการให้ตำรวจดำเนินคดี ติดตามจับกุมคนร้ายมาลงโทษโดยเร็วที่สุด
 
8 มี.ค. 2557 สำนักข่าวไทยรายงานว่าศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) แถลงผลการประชุมในวันนี้ ดังนี้ 1 ศรส.ได้ร่วมกันพิจารณาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ได้เผยแพร่เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2557 โดยได้วินิจฉัยเพิ่มเติมว่า การชุมนุมของประชาชนกลุ่ม กปปส. เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพโดยมีเหตุผล แต่ในส่วนการกระทำของแกนนำ กปปส. จะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหรือกฎหมายอื่น ๆ ก็เป็นเรื่องที่ผู้ที่ต้องรับผิดชอบในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ดังนั้น คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยเพิ่มเติมดังกล่าวจึงมิได้คุ้มครองแกนนำ กปปส.อีกต่อไป แกนนำคนใดไปร่วมกันกระทำผิดอย่างไร ก็จะต้องถูกดำเนินคดีเช่นนั้น ดังเช่นขณะนี้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ได้ถูกศาลอาญาออกหมายจับในข้อหากบฏ และแกนนำทั้ง 58 คน ก็ถูกดำเนินคดีในคดีพิเศษ ข้อหาร่วมกันเป็นกบฏและข้อหาฉกรรจ์อื่นๆ อีก ขณะนี้อยู่ระหว่างถูกออกหมายเรียกมารับทราบข้อกล่าวหา
 
นอกจากนั้น แกนนำ กปปส.อีกหลายคนก็ถูกศาลออกหมายจับในข้อหาขัดขวางการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ และล่าสุดเมื่อวานนี้ นายอิสสระ สมชัย แกนนำคนสำคัญ กับพวกรวม 6 คน ถูกศาลออกหมายจับในข้อหาพยายามฆ่านายยืม นิลหล้า ประชาชนที่ไปนั่งพักผ่อนบริเวณสวนลุมพินี แล้วถูกการ์ด กปปส. จับตัวไปให้นายอิสสระสอบสวน มีการรุมทำร้ายถึงสาหัส ปอดฉีก มีบาดแผลทั้งตัว แล้วจับมัดไว้ในเต็นท์การ์ดนานถึง  6 วัน แล้วนำตัวมัดมือปิดตาใส่รถยนต์นำไปทิ้งที่แม่น้ำบางปะกง เพื่อเป็นการฆาตกรรมอำพราง ซึ่งเป็นการกระทำที่มีความโหดเหี้ยมมาก แต่นายยืมได้รับการช่วยเหลือจากพลเมืองดีรอดชีวิตมาได้ เหตุร้ายแรงเช่นนี้ได้เกิดขึ้นต่อเนื่องทุกวันในบริเวณการชุมนุม และที่กลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนตัวไปปิดล้อม ไม่ว่าจะเป็นชาย 3 คน ที่นั่งรถแท็กซี่ผ่านบริเวณสวนลุมพินี ก็ถูกยิงจนได้รับบาดเจ็บ โดยวิถีกระสุนมาจากภายในสวนลุมพินี การยิงลูกระเบิดที่อาคารชินวัตร 3 การยิงปืนเข้าใส่ห้องผ่าตัดโรงพยาบาลมงกุฏวัฒนะ ที่ถนนแจ้งวัฒนะ และเหตุร้ายอื่น ๆ เป็นต้น
 
2. ศรส.มิได้นิ่งนอนใจต่อเหตุร้ายที่เกิดขึ้นดังกล่าว และได้สั่งการให้ตำรวจเข้าดำเนินคดีและติดตามจับกุมคนร้ายมาลงโทษโดยเร็วที่สุด แต่ ศรส.และตำรวจมีข้อจำกัดในการบังคับใช้กฎหมายอย่างมากอันเป็นผลจากคำพิพากษาศาลแพ่งในข้อห้าม 9 ข้อ ดังที่ทราบกันทั่วไป ฉะนั้นในภาวะวิกฤติเช่นนี้ ศรส.จึงขอร้องและแจ้งเตือนพี่น้องประชาชนให้งดเว้นอย่าเข้าร่วมการชุมนุม รวมถึงหลีกเลี่ยงการเดินทางผ่านเข้าใกล้บริเวณพื้นที่ชุมนุมในยามค่ำคืนด้วย ทั้งนี้ เพื่อสวัสดิภาพในชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน
 
3. ศรส.ได้รับรายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ณ วันที่ 8 มีนาคม 2557 ว่า ได้รับคดีที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง ดังนี้ 1)คดีขัดขวางการเลือกตั้งทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 190 คดี แยกเป็นคดีที่ กปปส.ในกรุงเทพมหานครกระทำการขัดขวางการเลือกตั้ง 51 คดี และคดีที่ กปปส.ในต่างจังหวัดกระทำการขัดขวางการเลือกตั้ง 139  คดี 2)คดีที่เจ้าหน้าที่ กกต.จงใจละทิ้งไม่จัดการเลือกตั้ง รวมทั้งสิ้น 176 คดี แยกเป็นคดีที่เกิดในกรุงเทพมหานคร จำนวน 65 คดี และคดีที่เกิดในต่างจังหวัดจำนวน 111 คดี รวมคดีที่เกี่ยวกับการกระทำผิดต่อกฎหมายเลือกตั้งทั้งสิ้น 366 คดี โดยศาลได้ออกหมายจับรวมทั้งสิ้น 180 คน ได้ตัวมาสอบสวนแล้ว 83 คน ทั้งนี้ เฉพาะเจ้าหน้าที่ กกต. จงใจละทิ้งไม่จัดการเลือกตั้งมีจำนวนถึง 1,543  
 
นอกจากนี้ยังปรากฏว่าพนักงานสอบสวนของตำรวจนครบาล พนักงานสอบสวนของจังหวัดสตูลและจังหวัดพัทลุง ได้รับคำร้องทุกข์กล่าวโทษในคดีขัดขวางการเลือกตั้งในเขตพื้นที่ 2 จังหวัด ซึ่งมีการร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.กลางในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ทำให้เกิดการขัดขวางการเลือกตั้ง และไม่ดำเนินการเลือกตั้งให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
 
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำผิดต่อกฎหมายเลือกตั้งในหลาย ๆ พื้นที่ดังกล่าว มีข้อน่าสังเกตว่า ในพื้นที่ที่มีการกระทำผิดเกี่ยวกับกฎหมายเลือกตั้งนั้น ศาลได้ออกหมายจับผู้กระทำผิดให้เกือบทุกพื้นที่ คงมีเพียงบางพื้นที่โดยเฉพาะบริเวณภาคใต้ ซึ่งยังไม่ปรากฏว่ามีการออกหมายจับให้แต่อย่างใด
 
อนึ่ง ศรส.ขอย้ำเตือนว่า โทษที่เกี่ยวข้องกับการขัดขวางการเลือกตั้ง เป็นความผิดอุกฉกรรจ์ที่มีทั้งโทษจำคุกและปรับ รวมถึงการตัดสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี ตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง ซึ่ง ศรส.จะติดตามและกำชับการดำเนินคดีกับแกนนำ กปปส. ที่ขัดขวางการเลือกตั้งอย่างใกล้ชิด เพื่อนำผู้กระทำผิดมาลงโทษ และป้องปรามไม่ให้มีการกระทำผิดซ้ำอีกในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในอนาคตอันใกล้นี้

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net