Skip to main content
sharethis

ประมวลข่าวสารลิขสิทธิ์รอบโลก นำเสนอข่าว: รายงานของอียูพบคน 2 ใน 3 โหลดหนังเถื่อนมาดู, ศาลสูงอียูชี้การโพสต์ลิงค์สาธารณะไม่ละเมิดลิขสิทธิ์, พันธมิตรเพื่อลิขสิทธิ์นานาชาติแนะไทยปรับกม. ลิขสิทธิ์เข้มขึ้น

Immaterial Property Research Center ตั้งขึ้นในวันที่ 18 มกราคม หรือ "วันเสรีภาพอินเทอร์เน็ต" เพื่อเป็นศูนย์ข่าว ศูนย์ข้อมูล และศูนย์วิจัยด้านความสัมพันธ์ระหว่างระบบทรัพย์สินที่ไม่เป็นวัตถุ (หรือที่เป็นที่รู้จักทั่วไปว่าทรัพย์สินทางปัญญา) ต่างๆ อย่างสัมพันธ์กับระบบกฎหมาย ระบบเศรษฐกิจ และระบบการเมืองในโลก ทางศูนย์ฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่างานของศูนย์ฯ จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของระบบทรัพย์สินที่ไม่เป็นวัตถุที่เอื้อให้เกิดเสรีภาพในเชิงบวกไปจนถึงความเท่าเทียมกันของผู้คนในโลก
 

 

คอมพิวเตอร์ขนาดจิ๋วกับอนาคตของคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ

ตลาดเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหรือที่รู้จักกันในนาม PC นั้นถือว่ากำลังหดตัวลงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ซึ่งเหตุผลก็น่าจะเป็นเพราะผู้คนเริ่มเปลี่ยนไปใช้ "คอมพิวเตอร์" ในรูปแบบอื่นๆ กันมากขึ้นตั้งแต่สมาร์ทโฟน แทบเล็ต และโน๊ตบุ๊ค

นี่ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับอุตสาหกรรมผลิตคอมพิวเตอร์ดั้งเดิมเพราะบริษัทส่วนใหญ่ไม่สามารถขยับขยายการผลิตไปผลิต "สินค้าทดแทน" การบริโภคคอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิมได้ทั้งหมดยอดขายจึงลด

อย่างไรก็ดีสินค้าของบริษัทคอมพิวเตอร์ที่ถือว่ามาแรงมากๆ ในปี 2013 ผ่านมาคือเหล่าคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะขนาดจิ๋วทั้งหลาย ที่ทาง Intel ออกมาบอกว่าเป็นสินค้าที่แทบขายไม่ได้เลยในปี 2012 แต่กลับขายได้เป็นล้านหน่วยในปี 2013

คอมพิวเตอร์ขนาดจิ๋วเหล่านี้ ก็มีรายละเอียดที่แตกต่างกันมากมาย และมาพร้อมกับหลายระบบปฏิวัติการ ความจุ และสเป็คเครื่อง แต่ที่เหมือนกันแทบจะทั้งหมดก็คือขนาดเครื่องที่เล็กลงอย่างมีนัยยะสำคัญกว่า "คอมพิวเตอร์" ในความเข้าใจทั่วไปเมื่อ 10 ปีที่แล้วหรือกระทั่งไม่กี่ปีก่อน ซึ่งขนาดที่เล็กนี้ก็มักจะมากับฮาร์ดดิสก์แบบ SSD (Solid State Drive) ที่ทั้งมีขนาดเล็กกว่าและเพิ่มความเร็วในการประมวลผลมากกว่าฮารด์ดิสก์แบบ HDD (Hard Disk Drive) ซึ่งสิ่งที่จะต้องแลกมาเพื่อให้ได้ขนาดที่เล็กลงและความเร็วที่มากขึ้น ก็คือราคาที่สูงขึ้นมากและความจุที่ได้น้อยลงในระดับที่ว่าราคา HDD ที่มีความจุเป็น 1 TB นั้นดูจะราคาต่ำกว่า SSD ที่มีความจุเพียง 100 GB เศษๆ ด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าสิ่งที่คอมพิวเตอร์ขนาดจิ๋วเหล่านี้ทำได้แน่นอนก็คือ สามารถเสียบจอ เสียบเมาส์ เสียบคีย์บอร์ด เข้ากับมันได้ใช้งานได้เป็นคอมพิวเตอร์ปกติ

แต่นัยยะที่สำคัญของขนาดที่เล็กลงและความจุที่น้อยลงก็คือ การไม่สามารถที่จะเก็บข้อมูลจำนวนมากลงไปภายในคอมพิวเตอร์ได้อีก ดังนั้นการจะมีเพลงจำนวนมาก (ถ้าคนยุคนี้ยังจะฟังเพลงในเวลาว่างกันอยู่) ในคอมพิวเตอร์จึงดูจะเป็นเรื่องปกติน้อยลง

ซึ่งการเติบโตของบริการสตรีมมิ่ง (Streaming) หรือการฟังเพลงออนไลน์ทั้งหลายในโลกตะวันตกดูจะสอดคล้องกับ "กระแสความพิวเตอร์ขนาดเล็กลง" ทั้งหมด (ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะขนาดเล็กลง หรือการใช้สมาร์ทโฟน) เพราะนี่ดูจะเป็นหนทางที่นักฟังเพลงจะไม่ต้องมาสิ้นเปลืองพื้นที่คอมพิวเตอร์ในการบรรจุเพลง (ซึ่งก็ไม่ต้องไปพูดถึง CD ที่กลายเป็นวัตถุโบราณที่แทบจะมีผู้นิยมฟังเพลงกลุ่มเล็กๆ ยังนิยมอยู่)

และคำอธิบายนี้ก็ดูจะเชื่อมโยงกับภาพยนตร์และซีรีส์ต่างๆ ด้วย เพราะบริการสตรีมมิ่งสิ่งเหล่านี้ก็โตมากเช่นกันในโลกตะวันตก

เพราะสุดท้าย เหตุผลที่คนยัง "จ่าย" ให้กับบริการเหล่านี้ทั้งๆ ที่ "เนื้อหา" มันมีกระจายไปทั่วให้โหลดฟรีๆ ทั่วอินเทอร์เน็ต ก็เพราะความสะดวกสบายภายใต้ราคาอันสมเหตุสมผลของมันนั่นเอง

พูดง่ายๆ คือการทำสำเนาเถื่อนออนไลน์ทั้งหลายก็ยังพ่ายให้กับความสบายของบริการเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของซีรีส์ที่ผู้รับบริการเข้าถึงตอนล่าสุดได้ทันที ซึ่งเราก็ต้องไม่ลืมว่าเหตุผลที่คน "ไพเรต" ซีรีส์กันกระหน่ำที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งก็คือในท้องถิ่นเขาได้ดูช้ากว่าที่มันฉายครั้งแรก เพราะโดยทั่วไปผู้ติดตามดูซีรี่ส์ก็น่าจะสนใจที่จะดูซีรีส์ตอนล่าสุดให้เร็วที่สุดที่เป็นไปได้มากกว่าจะมาเคารพกฎหมายลิขสิทธิ์ (ที่ชัดเจนมากคือกรณีของซีรี่ส์ HBO ที่ในออสเตรเลียฉายช้ากว่าอเมริกา)

การเติบโตของ "คอมพิวเตอร์จิ๋ว" ในโลกตะวันตก ดูจะสอดคล้องกับพัฒนาการด้านการบริการสิ่งบันเทิงเหล่านี้ที่ไม่ต้องกินเนื้อที่คอมพิวเตอร์อีก (ซึ่งก็เป็นไปไม่ได้หากอินเทอร์เน็ตไม่ "เร็ว" พอเช่นกัน)

อย่างไรก็ดีการเติบโตของตลาด "คอมพิวเตอร์จิ๋ว" นี้แม้จะขยายตัวเป็นหลักล้านในปี 2013 แต่มันก็ดูจะชดเชยการลดลงของยอดขายคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลโดยรวมๆ ที่ลดลงจากปี 2012 ถึง 41 ล้านหน่วยไม่ได้ (ในช่วงเดียวกันยอดขายของทั้งมือถือและแทบเล็ตก็ยังโตอย่างต่อเนื่องในหลักหลายสิบล้านเครื่องทั่วโลก) และบรรดาบริษัทผู้ผลิตก็คงจะต้องทำงานหนักและปรับตัวต่อไปในการอยู่รอดในธุรกิจ

สุดท้ายสำหรับในไทย ผู้เขียนไปสอบถามผู้รู้มาก็ได้ความว่ามีคอมพิวเตอร์จิ๋วขายบ้างแล้ว แต่ก็ได้คำแนะนำมาว่าให้ลองซื้อเมนบอร์ดแบบ Mini-ITX หรือกระทั่งคอมพิวเตอร์จิ๋วของจิ๋วอย่าง Raspberry Pi มาประกอบเองน่าจะดีกว่าในแง่ของราคาที่ยอมเยาและสเปคเครื่องที่สูงกว่าในราคาที่เท่ากัน (ซึ่งก็น่าจะอยู่ราวๆ 5,000-20,000 บาท)

Source:

 

รายงานของกรรมาธิการยุโรปชี้คนยุโรป 2 ใน 3 "โหลด" หนังมาดูฟรีๆ

"ปัญหา" เกี่ยวกับการดาวน์โหลดของอุตสาหกรรมภาพยนตร์มาดูฟรีแบบเถื่อนนั้นแม้ว่าจะน้อยกว่าอุตสาหกรรมบันทึกเสียงอย่างเทียบกันไม่ได้ (อย่างน้อยๆ ช่วงเวลาที่ยอดขายซีดีลงลงกว่าครึ่ง ยอดผู้ชมภาพยนตร์และรายได้ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ก็ไม่ได้ลดลงด้วยซ้ำ ซึ่งหากจะกล่าวอ้างว่ามันเพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยกว่าที่ควรจะเป็นก็คงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง)

อย่างไรก็ดีมันก็ยังเป็นปัญหา และสำหรับคนจำนวนมากมันก็ดูจะต้องการการแก้ไขบางอย่าง ซึ่งทางอุตสาหกรรมภาพยนตร์อเมริกัน แนวทางที่เหมาะสมก็ดูจะเป็นการออกกฎหมายให้มีการ "เอาผิดตัวกลาง" อย่างผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตมากขึ้น เพื่อกดดันให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตทั้งหลายทำตัวเป็น "ตำรวจอินเทอร์เน็ต" และนี่ก็ยังไม่รวมถึงเทคนิคการไล่ฟ้องคนโหลดหนังเป็นพันเป็นหมื่นคนที่เคยทำมาแล้วจนฉาวโฉ่

อย่างไรก็ดี สำหรับคณะกรรมาธิการยุโรป ข้อเสนอแนะจากผลสรุปของรายงานล่าสุดดูจะไม่ได้เป็นไปตามนั้น

กรรมาธิการได้สำรวจคนกว่า 4,600 คนทั่วยุโรป และได้ข้อสรุปว่าคนยุโรปถึง 97% เป็นผู้ชมภาพยนตร์ แต่คนถึง 68% ก็เคยดาวน์โหลดหนังมาดูผ่านโปรแกรมตระกูลทอร์เรนต์ทั้งหลาย และคน 55% ก็เคย "สตรีม" หนังมาดูออนไลน์ฟรีๆ แบบไม่เสียเงิน

ที่น่าสนคือ "เหตุผล" ในการ "ละเมิดลิขสิทธิ์" ของผู้คนเหล่านี้ แน่นอนว่าเหตุผลดิบๆ ว่าเขาโหลดมาดูเพราะไม่รู้จะจ่ายเงินดูทำไมเนื่องจากหาดูฟรีๆ ได้ย่อมมี อย่างไรก็ดีเหตุผลนี้ก็ไม่ใช่เหตุผลหลักด้วยซ้ำของการโหลดหนังมาดู

เหตุผลหลักที่สุดในการโหลดหนังมาดูฟรีคือทั้งตั๋วหนังและ DVD มีราคาแพงเกินไป พวกเขาเห็นว่าไม่คุ้มค่าที่จะเสียเงิน และเหตุผลระดับรองๆ ลงมาก็ดูจะย้ำประเด็นให้เห็นว่าการที่ภาพยนตร์เข้าช้ากว่าประเทศอื่นๆ ไปจนถึงการไม่มีโรงภาพยนตร์แพร่หลายในท้องถิ่น (ปัจจัยนี้โดดเด่นพอสมควรในยุโรปตะวันออกที่คนราว 10-20% พักอาศัยอยู่ห่างจากโรงหนังที่ใกล้ที่สุดเกิน 30 นาที) ก็ล้วนเป็นเหตุผลที่ทำให้คน "ไพเรต" ภาพยนตร์มาดูฟรีๆ

ทั้งหมดทำให้ทางกรรมาธิการเสนอว่าทางผู้ผลิตภาพยนตร์จะต้องหาพันธมิตรในยุโรปเพื่อให้บริการภาพยนตร์อย่างทั่วถึงในราคาที่สมเหตุสมผลขึ้น กล่าวคือนี่เป็นปัญหาของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่ต้องปรับตัวด้านการแผยแพร่และราคาสินค้า ไม่ใช่ปัญหาของรัฐที่จะต้องออกกฎหมายมาเพื่อโยนภาระให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดนอกจากอุตสาหกรรมภาพยนตร์ต้องมีภาระการสอดส่องเหล่า "ไพเรต"

นี่ดูจะเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับความเข้าใจร่วมสมัยที่มักจะมองว่าบริษัทภาพยนตร์เป็นผู้มีสิทธิผูกขาดการนำเสนอและเผยแพร่ภาพยนตร์โดยปริยายอย่างไร้ข้อกังขา และการละเมิดสิทธิ์นั้นก็ไม่ได้ต่างจากการเป็นโจร

แต่ถ้าหากมองย้อนกลับไป "กฏหมายลิขสิทธิ์ฉบับแรกของโลก" ที่มีเนื้อหาส่วนหนึ่งระบุชัดเจนว่าสาธารณชนสามารถร้องเรียนเจ้าหน้าที่รัฐได้หากหนังสือลิขสิทธิ์มีราคาแพงเกินไป และเจ้าหน้าที่รัฐก็สามารถตั้งราคาใหม่ให้เหมาะสมและเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคได้ โดยผู้ผลิตที่ละเมิดข้อกำหนดทางราคาที่ตั้งมาใหม่ก็มีโทษ เรื่องพวกนี้ก็คงจะไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร

และ "สามัญสำนึก" ของกฎหมายลิขสิทธิ์ที่เคยมีอยู่ดั้งเดิมนี้ก็คงจะเป็นสิ่งที่ควรจะรีบกอบกู้กลับมาโดยด่วนหากต้องการจะ "ปฏิรูป" เพื่อ "สร้างสมดุล" ให้กฎหมายลิขสิทธิ์จริงๆ

Source:

 

ศาลยุติธรรมยุโรปชี้ว่าการโพสต์ลิงค์ที่เป็นสาธารณะอยู่แล้วลงบนเว็บไม่ใช่การละเมิดลิขสิทธิ์

ในยุคปัจจุบันที่ข้อมูลข่าวสารเป็นเงินเป็นทองมากขึ้น บรรดาเจ้าของลิขสิทธิ์ทั้งหลายก็มีความกระตือรือร้นมากขึ้นในการกล่าวอ้างว่าการใช้ข้อมูลของตนอย่างไม่ได้รับอนุญาตเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์แม้ว่ามันจะเป็นข้อมูลที่ออกมาสู่สาธารณะแล้ว

เรื่องนี้เริ่มจากสวีเดน ทางเว็บ Retriever Sverige AB เป็นเว็บรวมลิงค์จากที่ต่างๆ ให้ผู้ใช้ได้อ่าน

หลังจากทางเว็บได้ลงลิงค์ข่าวจากเว็บหนังสือพิมพ์สวีเดนฉบับหนึ่ง ผลปรากฎว่านักข่าวที่เป็นคนเขียนข่าวนั้นไม่พอใจถึงฟ้องละเมิดลิขสิทธิ์ บนฐานว่าทาง Retriever Sverige AB ได้ "สื่อสาร" ข่าวที่เขาเขียนต่อสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเอาก็ต้องการ "ส่วนแบ่ง" จากรายได้อันเกิดจากการละเมิดลิขสิทธิ์นี้

นักข่าวนายนี้แพ้คดีในสวีเดนไปตั้งแต่ปี 2010 แล้ว แต่เขาก็เอาเรื่องขึ้นไปร้องเรียนกับศาลยุติธรรมยุโรปเพื่อให้ชี้ขาด

อย่างไรก็ดี ศาลยุติธรรมยุโรปก็ดูจะยืนยันคำตัดสินของศาลสวีเดนและชี้ว่าการลงลิงค์ถูกกฎหมายที่สาธารณชนเข้าถึงได้อยู่แล้วลงบนเว็บมันไม่ใช่สิ่งที่ผิดกฎหมายใดๆ

คำอธิบายของศาลคือ "สาธารณชน" ที่ผู้ลงลิงค์ "สื่อสาร" ไป ไม่ใช่สาธารณชนกลุ่มใหม่ เป็นกลุ่มเดิมที่สามารถเข้าถึงลิงค์ได้อยู่แล้ว

ดังนั้นเจ้าของลิงค์จึงไม่มีเหตุผลที่เหมาะสมใดๆ ในการกล่าวอ้างว่าการที่ผู้อื่นลงลิงค์มายังเนื้อหามีลิขสิทธ์ของตนที่เป็นสาธารณะอยู่แล้วเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งก็นำไปสู่การไม่สามารถกล่าวอ้างความเสียหายใดๆ ได้ทั้งสิ้น

ทั้งนี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะลงลิงค์อะไรก็ได้จะไม่ผิดกฎหมายไปเสียหมด เพราะการลงลิงค์แบบเข้ารหัสไว้เพื่อให้สมาชิกของทางเว็บเท่านั้นเข้าได้ก็อาจเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ได้ นอกจากนี้การลงลิงค์ที่นำไปสู่ละเมิดลิขสิทธิ์โดยตรงๆ ก็อาจเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ได้เช่นกัน

แต่ข้อยกเว้นเหล่านี้ไม่ได้หมายถึงลิงค์ข่าวในเว็บข่าว ไปจนถึงลิงค์โพสต์ในบล็อกแน่นอน

ที่น่าสนใจคือนี่ดูจะเป็นการตอกย้ำความไม่ชอบธรรมของการที่บรรดาสำนักข่าวใหญ่ๆ ในยุโรปอ้างลิขสิทธิ์เหนือ "ลิงค์ข่าว" เพื่อเก็บเงินกับทางบริษัทอเมริกันอย่าง Google ที่แสดงผลลิงค์ข่าวต่างๆ

Source:

 

ดูพันธมิตรทรัพย์สินทางปัญญานานาชาติ (IIPA) มองสถานการณ์ลิขสิทธิ์ไทย

Special 301 Report เป็นชื่อรายงานประจำปีด้านทรัพย์สินทางปัญญาของสำนักงานตัวแทนการค้าสหรัฐอเมริกา (Office of the United States Trade Representative หรือ USTR) มันเป็นรายงานที่มีรายละเอียดหลักคือการเป็น "บัญชีดำ" ของบรรดาประเทศที่ "ละเมิด" ทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐ

รายงานนี้จะออกช่วงกลางๆ ปี และช่วงต้นๆ ปีพวกกลุ่มอุตสาหกรรมทรัพย์สินทางปัญญาทั้งหลายก็จะส่งข้อเสนอแนะให้กับทาง USTR

และขาประจำที่ส่งรายงานให้ก็คือพันธมิตรทรัพย์สินทางปัญญานานาชาติ (International Intellectual Property Alliance หรือ IIPA) ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของบรรดาบรรษัทในอุตสาหกรรมลิขสิทธิ์ [ดูรายงานย้อนหลังได้ที่ http://www.iipa.com/special301.html]

เนื้อหาหลักๆ ของรายงานก็คือการจัดประเทศต่างๆ ที่ "ละเมิดลิขสิทธิ์" เข้าในหมวดหมู่ต่างๆ ซึ่งแบ่งใหญ่ๆได้เป็น 1. Priority Foreign Country 2. Priority Watch List 3. Watch List ซึ่งก็ลดหลั่นกันลงมาตามระดับความร้ายแรงของการละเมิดลิขสิทธิ์

ประเทศไทยติด 1 ใน 3 หมวดนี้มาต่อเนื่องตั้งแต่ปี 1989 ที่เริ่มมี Special 301 Report ของทาง USTR

และปีนี้ทาง IIPA ก็เสนอว่าไทยควรจะติด Priority Watch List อีกครั้ง

เหตุผลคือ ทาง IIPA เห็นว่าทั้งกฎหมายไทยและระบบยุติธรรมไทยไม่เอื้อให้กับการปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์เท่าที่ควร

เนื้อหามีรายละเอียดมากมายตั้งแต่การเสนอให้แก้กฎหมายในส่วนของความผิดการละเมิดลิขสิทธิ์ให้เอาผิด "ตัวกลาง" มากขึ้น (ทั้งออฟไลน์อย่างเจ้าของห้าง และออนไลน์อย่างผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต) ลดขอบเขต "การใช้อย่างชอบธรรม" ลงด้วยการระบุชัดเจนในกฎหมายว่าการถ่ายเอกสารหนังสือทั้งเล่มเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ไปจนถึงการแก้กฎหมายเพื่อให้รัฐมีภาระในการปราบปรามด้านการละเมิดลิขสิทธิ์มากขึ้น เป็นต้น

ทาง IIPA ดูจะไม่มีความพอใจในทั้งการบังคับใช้กฎหมายและบทลงโทษทางกฎหมายไทยเลย เพราะในเนื้อหาข้อเสนอแนะก็มีการเสนอให้มีการพิจารณาร่างกฎหมายเกี่ยวกับการถ่ายภาพยนตร์ในโรงใหม่ จนถึงพิจารณาร่าง พรบ. ลิขสิทธิ์ และ พรบ. คอมพิวเตอร์ ฉบับใหม่ เนื่องจากโทษที่ขยายมายังไม่เพียงพอที่จะปกป้องไม่ให้เกิดการละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งในรายงานก็กล่าวอีกว่ากระบวนการยุติธรรมด้านลิขสิทธิ์ไทยนั้นไม่เป็นธรรมหลายชั้นกับเจ้าของลิขสิทธิ์ เริ่มตั้งแต่การให้ภาระการพิสูจน์การละเมิดลิขสิทธิ์และความเสียหายเป็นของทางโจทก์ ไปจนถึงการที่ผู้พิพากษามักจะตัดสินโทษการละเมิดลิขสิทธิ์อย่าง "ไม่ต่างจากการลักเล็กขโมยน้อย" กล่าวคือ ผู้พิพากษาลงโทษผู้กระทำผิดต่ำกว่าที่ IIPA เห็นว่าควรจะเป็นไปเยอะ และ IIPA เห็นว่าการละเมิดลิขสิทธิ์ควรจะมีความผิดมากกว่าการขโมยของที่เป็นวัตถุด้วยซ้ำ

ทั้งหมดนี้ดูจะสะท้อนวิธีคิดแบบ "อเมริกันเป็นศูนย์กลาง" มากๆ เพราะสำหรับ IIPA ความแตกต่างของกฎหมายลิขสิทธิ์ ดูจะไม่ใช่เรื่องของการใช้นโยบายทางเศรษฐกิจที่แตกต่างภายใต้อำนาจอธิปไตยของแต่ละรัฐ แต่เป็นการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของอเมริกา และภายใต้กรอบแบบนี้ประเทศอื่นๆ ที่ไม่ได้มีกฎหมายลิขสิทธิ์สอดคล้องกับอเมริกาก็ดูจะละเมิดลิขสิทธิ์อเมริกาหมดในระดับโครงสร้างของกฎหมาย

ซึ่งใต้กรอบแบบนี้การละเมิดลิขสิทธิ์ที่อเมริกาต้องจับตาจึงไม่ได้มีแต่ "ประเทศกำลังพัฒนา" แต่ "ประเทศเจริญแล้ว" จำนวนไม่น้อยก็ต้องจับตาเช่นกัน นี่เป็นเหตุผลที่นอกจากไทยแล้ว อาร์เจนตินา ชิลี จีน อินเดีย อินโดนีเซีย อิตาลี ฟิลิปปินส์ และตุรกี ก็ล้วนเป็นประเทศที่ติดอันดับต้องจับตาอันใดอันหนึ่งของ Special 301 Report มาตั้งแต่ปี 1989 ต่อเนื่องมาทุกปีจนถึงทุกวันนี้ (http://www.iipa.com/pdf/2014SPEC301HISTORICALCHART.pdf)

Source: http://www.iipa.com/rbc/2014/2014SPEC301THAILAND.PDF

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net