Skip to main content
sharethis

 

การเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ. ที่ผ่านมา ดูเหมือนจะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่เหมือนการเลือกตั้งล่วงหน้า 26 ม.ค. หากไม่มีกรณีของ เบสท์ หรือ นันทวัฒน์  สุภาพ เด็กหนุ่มวัย 18 ปี

เขาถูกทำร้ายโดยเพื่อนบ้านในวันเลือกตั้ง 2 ก.พ. มีบาดแผลฉกรรจ์ที่ศีรษะ ถึง 3 แห่ง เย็บ 23 เข็ม เรื่องราวของเขาถูกแชร์ในเฟซบุ๊กก่อนที่จะมีการรายงานข่าว
(อ่าน http://news.voicetv.co.th/democracycrisis/96964.html)

 


บาดแผลที่ศรีษะหลังเกิดเหตุ 2-3 วัน


รอยเลือดบนเสื้อผ้า

เบสท์และแม่ระหว่างพักฟื้นที่บ้าน หลังเกิดเหตุ 10 วัน

เบสท์ เล่าว่า ในช่วงเช้าของวันที่ 2 ก.พ. เขากลับจากบ้านเพื่อนมายังบ้านพักที่หมู่บ้านเอื้ออาทรมีนบุรี โดยตั้งใจจะไปเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งข้างบ้านก่อนจะไปเรียน กศน.ตามปกติ แต่หลังจากเดินผ่านตึกซึ่งเป็นบ้านพักของเพื่อนบ้านที่เป็นผู้สนับสนุนแนวทางของ กปปส. และจัด “ปิกนิก” (แทนการเลือกตั้ง) อยู่ใต้ถุนตึกนั่นเองก็เกิดการปะทะคารมณ์กันขึ้นจนถึงขั้นลงไม้ลงมือ

“ตอนผมเดินผ่าน เขาแขวะผม แล้วก็แขวะมาถึงแม่ ผมก็ยืนเถียง บอกประชาธิปไตย หนึ่งสิทธิ์ หนึ่งเสียง ทุกคนมีสิทธิเลือกตั้ง เถียงกับเขาได้ซักพัก ผมก็กะบายแล้ว ผัวคนที่เถียงด้วยมาจากไหนไม่รู้ เอาท่อนเหล็กตีเลยจากด้านหลัง  หวดเข้าที่หัวหลายที แล้วก็ตามแขนขาด้วย”

เบสท์เล่าเหตุการณ์ที่สองสามีภรรยาเข้าทำร้ายเขาโดยที่ไม่มีใครห้าม

“เขาบอกมึงเล่นกับกู มึงเล่นผิดคนแล้ว แล้วเขาก็พูดว่าเป็นลูกน้อง ส.ส.ประชาธิปัตย์คนนึง เลือดอาบเต็มหน้าแล้วตอนนั้น ผมร้องบอกพอแล้วๆ แล้วดิ้นสลัดหลุด วิ่งหนีออกมาได้ ก็วิ่งขึ้นไปแอบที่ตึก 27”

จากนั้นเขาจึงหาทางหนีกลับมายังห้องพัก พ่อและแม่จึงนำตัวเขาส่งโรงพยาบาล


บรรยากาศในหมู่บ้านเอื้ออาทรมีนบุรี มีห้องพักเกือบ 3,000 ห้อง


สถานที่เกิดเหตุ ช่องว่างระหว่างตึก

 

พ่อของเบสท์มีอาชีพขับแท็กซี่ ส่วนแม่รับจ้างปะผ้าอยู่บ้าน ในช่วงเกิดเหตุเป็นเวลาราว 8.30 น. พ่อกำลังจะออกไปขับรถ ขณะที่แม่และเพื่อนบ้านจำนวนมากไปเฝ้าหีบเลือกตั้งซึ่งห่างออกไปจากจุดเกิดเหตุไม่กี่ช่วงตึก

ลัทธพล อ่วมไธสง กรรมการชุมชนเล่าว่า ขณะเกิดเหตุมีทีมงานวิทยุมาบอกว่าเกิดเรื่องจึงวิ่งมาดูที่เกิดเหตุซึ่งห่างจากคูหาเลือกตั้งที่ประจำการกันอยู่ไม่กี่ช่วงตึก แต่เมื่อวิ่งมาถึงไม่เห็นเบสท์แล้ว เจอแต่คู่กรณี ตอนแรกคิดว่าคู่กรณีโดนฟัน เพราะเลือดเต็มเสื้อทั้งสามีและภรรยา ทั้งคู่แจ้งว่าเบสท์ไปไล่ฟันพวกเขา ได้ยินดังนั้นทุกคนก็เชื่อรวมถึงแม่ของเบสท์

“เขาบอกน้องไปประกาศว่ากู นปช. แล้วว่าทางเราไปป่วนเค้าก่อน เอาเหล็กเอาปืนมาให้ดูว่าน้องมีอาวุธ” กรรมการชุมชนกล่าว

“ตอนแรกคิดว่าลูกเราทำเค้า พี่บอกว่าถ้าลูกพี่ผิดจริงพี่จะจัดการ แต่ต้องตามตัวให้เจอก่อน แต่ตอนหลังพอมาดูกล้องวงจรปิดแล้วมันไม่ใช่ ถ้ามันพูดจาไม่ดีหรืออะไรก็ตบต่อยสั่งสอนมันทีสองทีว่ากูรุ่นไหน แบบนี้ยังรับได้ แต่ไม่น่ามาทำลูกพี่ถึงขนาดนี้” อภิญญา ชำนาญเวช ผู้เป็นแม่กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

เบสท์ถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลใกล้เคียง โดยที่ระหว่างพ่อและแม่ไปดำเนินการแจ้งความที่ สน.มีนบุรีนั้น เขาก็แอบถอดสายน้ำเกลือแล้วออกจากโรงพยาบาล โดยให้เหตุผลว่า “ใจคอไม่ดี”

“ตอนแรกที่เข้าโรงพยาบาล เขาถามไปโดนอะไรมา ผมก็บอกไปตรงๆ ว่าโดน กปปส.ตี ทีนี้เพิ่งมาเห็นว่าหมอก็แขวนนกหวีด พยาบาลก็ใส่โบว์ธงชาติ ผมตื่นมาอีกทีไม่เจอใคร แล้วก็เห็นคนใส่เสื้อรักชาติมองๆ อยู่ ผมใจคอไม่ค่อยดีแล้วเจอมาขนาดนี้ เลยถอดสายน้ำเกลือหนีออกจากโรงพยาบาล” เบสท์เล่า

วันรุ่งขึ้นเบสท์มีอาการปวดหัวมากจึงกลับไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง แต่ทางโรงพยาบาลแจ้งว่าเครื่องเอ็กซเรย์เสีย จึงไปตรวจที่โรงพยาบาลพระรามเก้าด้วยความช่วยเหลือของคนเสื้อแดงที่ทราบเรื่องราวของเขาจากเฟซบุ๊ก ก่อนกลับมาพักรักษาตัวที่บ้าน ปัจจุบันเบสท์ยังคงมีอาการมึน มองไม่ชัด และต้องคอยดูอาการข้างเคียงว่าจะมีเลือดออกในสมองหรือไม่
 


บ้านของครอบครัวเบสท์

(ขวาไปซ้าย) ลัทธพล อ่วมไธสง, ภูรี ราศรีชัย และเพื่อนบ้าน

 

สำหรับครอบครัวของเบสท์อาจนับได้ว่าเป็นครอบครัวเสื้อแดง แม่ของเบสท์เล่าว่าสามีสนใจการเมืองและ  ‘เป็นเสื้อแดง’ ตั้งแต่สมัยยังไม่มี นปช. ขณะที่เธอเองนั้นสนใจการเมืองในภายหลัง จุดใหญ่ใจความเป็นเพราะผลประโยชน์จากโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค

“ตอนนั้นท้องนอกมดลูก หมอบอกผ่าตัดเตรียมเงินไว้เลย 8-9 หมื่น พี่ไม่มีเงินซักบาท ก็ได้สามสิบบาทนี่เลยรอดมาได้ ตั้งแต่นั้นมาเลยแดงเลย (หัวเราะ)” อภิญญากล่าว

ส่วนเบสท์เล่าว่า ตัวเขาเองเป็นเพียงวัยรุ่นธรรมดา สนใจการเต้นและเคยเป็นแดนเซอร์อยู่พักหนึ่ง เมื่อเรียนจบชั้นม.3 ก็ไปต่อสายช่าง แต่เรียนไม่จบ จึงตัดสินใจเรียน กศน.พร้อมทำงานไปด้วย ปัจจุบัน เขาทำงานเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ที่ร้านแมคโดนัลด์ ได้ค่าแรงวันละ 300 กว่าบาท

เรื่องนี้อาจเป็นเพียงการปะทะคารมกันของคนในชุมชนที่มีแนวคิดแตกต่าง ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่แหลมคม แต่อะไรทำให้เรื่องราวไปไกลถึงเพียงนี้

ลัทธพล กรรมการชุมชน เล่าว่า ชุมชนเอื้ออาทรแห่งนี้ มีทั้งหมดเกือบ 3,000 ห้อง และมันก็เหมือนทุกที่ที่จะมีคนทั้ง

สองฝั่ง แต่มีนบุรีนี่พื้นที่แดงเยอะ สองสามีภรรยาคู่กรณีเรียกได้ว่าเป็น “ฮาร์ดคอร์การเมือง” ตั้งแต่สมัยพันธมิตรฯ อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ระหว่างทั้งสองและกรรมการหมู่บ้านคนอื่นๆ ที่ทั้งแดงและไม่แดงก็ทำงานชุมชนร่วมกัน ไม่เคยแบ่งฝ่าย

“ผมกับเขาก็ทำงานสหกรณ์ร่วมกัน ไม่เคยทะเลาะกัน ถึงจุดยืนการเมืองไม่เหมือนกัน เคยนั่งกินเหล้าด้วยกันไม่มีปัญหา แต่เพิ่งมาเริ่มแรงกันช่วงนี้ และพอดีมาพักหลังนี่ไม่ค่อยได้ร่วมงานกัน ในมุมมองผม มันไม่น่าเกิดเหตุอย่างนี้ได้เลย อารมณ์ชั่ววูบหรือเปล่าหรือยังไง ดูกล้องวงจรปิด น้องก็เดินหนีตลอด แล้วเขาเดินตาม” ลัทธพลกล่าว

“เมื่อก่อนไม่เคยมีปัญหา อย่างเราไปแดง เขาถาม เราก็เอ้อ เขาไปเหลือง เราถาม เขาก็เอ้อ ก็ต่างคนต่างไป” แม่ของเบสท์เล่า

“ผมอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ประถม กับลูกเขา เราก็เคยเล่นซ่อนแอบกันตอนเด็กๆ ไม่ได้มีเรื่องโกรธแค้นอะไรกัน” เบสท์ยืนยัน

ภูรี ราศรีชัย ประธานนิติบุคคล 2 พยายามวิเคราะห์ปัญหานี้

“มันไม่น่าเกิด ลำพังคนโตๆ ก็ไม่มีอะไร ผมก็ยังเดินไปถามอยู่เลยว่าทำอะไรกัน เขาก็บอกว่าผมไม่ได้ทำอะไร ไม่ขวาง แต่จะจัดงานเลี้ยงสังสรรค์กับทีมงาน ส่วนเรานี่มีหน้าที่ดูแลการเลือกตั้งอยู่แล้ว จัดคนดูแล 40-50 คน ดูแลหน่วยเลือกตั้ง ดูหีบ จัดหีบ ดูแลจนเลือกตั้งเสร็จ”

“เขาอาจจะกดดัน เพราะเขาขวางการเลือกตั้ง แต่มันไม่สำเร็จ เขตมีนบุรีนี่ไปเอาหีบออกมาจัดการเลือกตั้งได้ทุกเขต เราเตรียมพร้อม ระดมคนไปเฝ้าที่เขตตั้งแต่ตีหนึ่ง ตีสอง เพราะมีคนปล่อยข่าวว่าทาง กปปส.จะไปปิดเขตตีหนึ่ง เราเลยตื่นตัว ไปเฝ้า และตามกรรมการหน่วยให้ได้ทุกหน่วย แต่สุดท้ายไม่มีอะไร เขาเปลี่ยนยุทธศาสตร์ด้วย เป็นแค่การปิคนิค แต่เลือกตั้งล่วงหน้าที่มีนบุรีเลือกไม่ได้ เขาไปปิดตั้งแต่ตีสี่แล้ว” ภูรีเล่า

ขณะที่ผู้เป็นแม่เห็นว่าอาจเป็นเพราะอารมณ์โกรธชั่ววูบอย่างรุนแรง เพราะอีกฝ่ายด่าว่าถึง ‘โคตรพ่อโคตรแม่’ ขณะที่ลูกชายเธอก็ว่าเขาเป็นพวกรกโลก

เมื่อถามว่าแล้วจะอยู่กันต่อไปอย่างไร เรื่องนี้จะบานปลายหรือไม่ กรรมการชุมชนให้ความเห็นว่า ทุกอย่างคงต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ส่วนคนในชุมชนตอนนี้ก็รู้เรื่องกันหมด ที่ผ่านมาไม่เคยมีทะเลาะกันรุนแรงและไม่คิดว่าจะมีอะไรมากไปกว่านี้

“ที่เกิดเหตุก็แค่สามีภรรยาคู่นี้ คนอื่นๆ ถึงเป็นแนวร่วมก็จริง แต่เขาไม่ได้รุนแรง จริงๆ ก็เพื่อนกันทั้งนั้น เพียงแต่สองคนนี้เขาแรงมาตั้งแต่สมัยพันธมิตรฯ ” กรรมการชุมชนกล่าว

ปัจจุบันทั้งสองฝ่ายต่างแจ้งความดำเนินคดีกันทั้งคู่ โดยสองสามีภรรยาแจ้งความว่าอีกฝ่ายมีอาวุธปืนและเข้าก่อกวนพวกเขา ขณะที่ฝ่ายของเบสท์แจ้งความว่าถูกสองสามีภรรยาทำร้ายร่างกายพร้อมนำภาพจากกล้องวงจรปิดเป็นหลักฐานประกอบว่า ไม่ได้มีอาวุธและถูกรุมทำร้ายจริง ล่าสุด พ.ต.ท.ถาวร สายมะณี พนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกผู้ต้องหาคือสองสามีภรรยา ทั้งคู่ได้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาแล้วพร้อมให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยขอไปให้การในชั้นศาล

“ตอนแรกผมก็ไม่เห็นว่าเลือกตั้งเมันจะสำคัญอะไร แต่พอเขามาขวาง มาห้ามคนอื่ลน ผมเลยเห็นว่ามันสำคัญ โคตรสำคัญเลยหนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียง แล้ววัยรุ่นสมัยนี้ก็ตามเฟซบุ๊คตลอดใช่มั้ย ก็เห็นอยู่ว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง”

“แต่เสียดายเลือกตั้งครั้งแรก ผมได้เลือกโรงพยาบาลแทน” เบสท์กล่าวพร้อมหัวเราะในลำคอ

 

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net