Skip to main content
sharethis
เวทีถกปัญหา อีไอเอ-อีเอชไอเอ ภาคอีสาน ‘ไชยณรงค์’ เสนอแก้ไขทั้งระบบให้ปลอดจากอิทธิพลนักการเมืองและนายทุน เอ็นจีโอชี้กิจการทำเหมืองแร่แม้ทำอีเอชไอเอแต่ชุมชนไม่ยอมรับ เหตุข้อมูลเท็จตั้งแต่ขั้นกำหนดขอบเขตการศึกษา 
 
 
4 ก.พ. 2557 คณะกรรมการประสานงานองค์กรเอกชนพัฒนาชนบท ภาคอีสาน (กป.อพช.อีสาน) ร่วมกับคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และวิทยาลัยการเมืองการปกครองมหาวิทยาลัยมหาสารคาม จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อวางแผนการติดตามกระบวนการจัดทำและพิจารณารายงานการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม หรือ อีไอเอ และรายงานการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และสุขภาพ หรือ อีเอชไอเอ ภาคอีสานขึ้น ที่ห้องประชุมอินทนิล ชั้น 1 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
 
การประชุมดังกล่าวมีผู้เข้าร่วมกว่า 40 คน อาทิ นักวิชาการคณะวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี เครือข่ายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภาคอีสาน สภาองค์กรชุมชนลุ่มน้ำโขง ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ โรงไฟฟ้าชีวมวล และโรงงานยางพารา ฯลฯ
 
ดร.ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวว่า กระบวนการตัดสินใจของรัฐบาลในโครงการขนาดใหญ่จะต้องมีการจัดทำรายงานอีไอเอหรืออีเอชไอเอ ตามกฎหมายสิ่งแวดล้อม ก่อนจะพิจารณาอนุมัติโครงการ แต่ปรากฏว่าที่ผ่านมานักการเมืองที่มาเป็นรัฐบาลมักจะอนุมัติโครงการก่อนแล้วค่อยทำรายงานฯ เพื่อเป็นตรายางให้กับโครงการ ดังกรณีเขื่อนแม่วงก์ เป็นต้น นอกจากนี้ ก็มีกลุ่มนักวิชาการที่อาศัยสถาบันการศึกษาและบริษัทที่ปรึกษาที่ผูกขาดธุรกิจรับจ้างทำรายงานฯ จากเจ้าของโครงการ โดยอ้างความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาสร้างความชอบธรรม ทำรายงานที่เป็นเท็จและเอื้อประโยชน์ให้กับโครงการ
 
“ผมเสนอว่าต้องมีการปฏิรูปหน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการพิจารณารายงานฯ ทั้งคณะกรรมการผู้ชำนาญการ สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ให้เป็นองค์กรอิสระที่ปลอดจากอิทธิพลของนักการเมืองและนายทุน” ดร.ไชยณรงค์ กล่าว
 
ดร.ไชยณรงค์ กล่าวต่อว่า ความรู้ท้องถิ่นด้านสิ่งแวดล้อมเชิงวัฒนธรรม และสิทธิชุมชนของชาวบ้านจะต้องถูกยอมรับอย่างเทียบเท่ากับความรู้แบบวิทยาศาสตร์ของนักวิชาการที่รับจ้างทำรายงานฯ โดยเจ้าของโครงการจะต้องจัดเงินทุนให้ชาวบ้านและนักวิชาการอิสระที่ชาวบ้านเลือกทำรายงาน แล้วนำรายงานเข้าสู่กระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และการพิจาณาของหน่วยงานองค์กรอิสระทางสิ่งแวดล้อมควบคู่กัน
 
ด้านนายเลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ผู้ประสานงานโครงการนโยบายสาธารณะด้านทรัพยากรแร่ กล่าวว่า ปัจจุบันมีการจัดทำรายงานอีเอชไอเอ ตามมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีเนื้อหาที่มากกว่าการทำรายงาน อีไอเอ แต่ขบวนการชาวบ้านก็ยังเคลื่อนไหวไม่ยอมรับการทำรายงาน อีเอชไอเอ ตั้งแต่กระบวนการเริ่มแรกก็คือเวทีพับลิค สโคปปิ้ง โดยเฉพาะกิจการทำเหมืองแร่
 
ที่เห็นได้ชัดก็คือที่เหมืองทองคำ จ.เลย และเหมืองแร่โปแตช จ.อุดรฯ เนื่องจากก่อนทำรายงานอีเอชไอเอ กพร. (กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่) และเจ้าของโครงการ จะต้องทำการรังวัดขึ้นรูปแผนที่และไต่สวน คำขอประกอบประทานบัตร แต่ปรากฏว่าข้อมูลในใบไต่สวนเป็นข้อมูลเท็จ ที่ไม่ตรงกับสภาพข้อเท็จจริงในพื้นที่ ก็คือว่าการรังวัดปักหมุดทับที่ทำกินชาวบ้าน ทับทางน้ำ ทางสาธารณะที่ชาวบ้านใช้ร่วมกัน ทับซ้อนพื้นที่ป่า ทับซ้อนที่ดิน สปก.แต่ในใบไต่สวนบอกว่าไม่มี อย่างนี้เป็นต้น
 
“มีการทำข้อมูลก่อนถึงขั้นตอนพับลิค สโคปปิ้ง คือกำหนดขอบเขตการศึกษาผลกระทบที่จะประเมิน ซึ่งเป็นข้อมูลเท็จแล้วนำมาประกอบในกระบวนการจัดทำรายงานอีเอชไอเอ มันเลยทำให้ชาวบ้านไม่ยอมรับเครื่องมือใหม่นี้ตั้งแต่ขั้นตอนแรกสุด” นายเลิศศักดิ์กล่าว
 
ขณะที่นางสาวสดใส สร่างโศรก กลุ่มชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากโรงไฟฟ้าชีวมวล จ.อุบลราชธานี กล่าวว่า การทำโรงไฟฟ้าชีมวล ขนาดไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ ตามกฎหมายไม่ต้องทำรายงานศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม หรืออีไอเอ ซึ่งพบว่าขณะนี้กำลังมีการเสนอขายไฟฟ้าให้กับรัฐบาล และจะดำเนินการสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลในชุมชน จำนวน 1,000 กว่าโรง ทั่วประเทศ ในขณะที่คนในชุมชนไม่ได้รับข้อมูลโครงการฯ
 
“ชาวบ้านที่ จ.อุบลราชธานี ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง ว่ากระบวนการออกใบอนุญาตให้กับเจ้าของโรงไฟฟ้าชีวมวลมิชอบ โดยไม่มีการให้ข้อมูลชาวบ้านและไม่มีการรับฟังความคิดเห็นของคนในชุมชน ซึ่งศาลก็ให้ความคุ้มครองว่าชาวบ้านมีสิทธิที่จะได้รับข้อมูลข่าวสาร เมื่อไม่มีการทำอีไอเอ ก็ให้นำระเบียบสำนักนายกฯ เรื่องการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเข้ามาใช้” นางสาวสดใส กล่าว
 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net