วิกฤตการเมืองกับความหวาดกลัวของชนชั้นนำของไทย

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส. เป็นชนชั้นนำของไทยเมื่อประเมินจากความสามารถในการเข้าถึงอำนาจและทรัพย์สินในครอบครอง ความพยายามล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง คัดค้าน ถ่วงเวลา โจมตีผู้สนับสนุนการเลือกตั้งและการปฏิเสธการเลือกตั้งของคุณสุเทพและบรรดาแกนนำทั้งโดยเปิดเผยและไม่เปิดเผยสะท้อนความหวาดกลัวประชาธิปไตยของชนชั้นนำไทย

ชนชั้นนำไทยมีความพยายามคุมความเปลี่ยนแปลงของสังคมที่จะส่งผลให้อำนาจและทรัพย์สินของพวกเขาลดลงด้วยวิธีการต่าง ๆ เสมอมาทั้งในทางกฎระเบียบ กฎหมาย อุดมการณ์ วัฒนธรรม ประเพณี หรือด้วยกำลังเพื่อมิให้สังคมมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจการเมืองและเศรษฐกิจจนโครงสร้างนั้นหลุดจากการกำกับของตนเอง เพียงแต่วิธีการควบคุมดังกล่าวนี้ จำนวนมากถูกใช้อย่างแนบเนียน แม้เป็นความรุนแรงก็เป็นความรุนแรงในที่ลับ ดังนั้น ความขัดแย้งทางการเมืองที่นำไปสู่ความรุนแรงอย่างอุจาดในที่สาธารณะจึงสะท้อนความหวาดกลัวการเปลี่ยนแปลงในระดับสูงของชนชั้นนำ ซึ่งอาจจะเกิดจากการตื่นตระหนกกับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อับจนปัญญาที่จะเหนี่ยวรั้งสังคมไว้เช่นเดิม หรืออยู่ในสภาพสิ้นหวังไม่เห็นอนาคตจนตรอกจึงมุ่งเป้าหมายไม่เลือกวิธีการกระทั่งยินยอมใช้ความรุนแรง

หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ประเทศไทยเผชิญความขัดแย้งและวิกฤตทางการเมืองบ่อยครั้ง บางส่วนยุติลงด้วยการรัฐประหาร ส่วนที่ขัดแย้งลึกซึ้งมักเกิดความรุนแรง ในจำนวนนี้มีความขัดแย้งทางการเมืองที่เดิมพันคือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจอย่างน้อย 2 ครั้งใหญ่ คือ ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนำกับพลังปฏิรูปสังคมที่ก่อตัวในช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 ถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา19 และความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนำกับพลังประชาธิปไตยโดยมีเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยา 49 เป็นหมุดหมายสำคัญ

ความขัดแย้งทั้งสองครั้งนี้แม้ได้เกิดความรุนแรงขึ้นแล้วก็ยังไม่สามารถยุติปัญหาลงได้ ก่อนและหลังเหตุการณ์รุนแรงครั้งใหญ่ในที่สาธารณะก็ยังปรากฏความรุนแรงในระดับต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง

ชัยชนะของคอมมิวนิสต์ในอินโดจีนในปี พ.ศ. 2514 กระแสปฏิรูปสังคมของนักศึกษาปัญญาชนช่วงปี พ.ศ. 2516 การโค่นระบอบกษัตริย์ของลาวในปี พ.ศ. 2519 ทำให้ชนชั้นนำวิตกและหวาดกลัวการเปลี่ยนแปลงที่จะนำไปสู่การปฏิรูปสังคม ในช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 - เหตุการณ์ 6 ตุลา 19 จึงมีการจัดตั้งหน่วยงานและกลุ่มพลังตอบโต้การเคลื่อนไหวเพื่อปฏิรูปสังคมด้วยการโฆษณาชวนเชื่อและอบรมอุดมการณ์รักชาติ-ศาสน์-กษัตริย์อย่างเข้มข้น มีการคุกคาม ทำร้ายและลอบสังหารนักศึกษา ผู้นำชาวนา ผู้นำสหภาพแรงงาน นักวิชาการและนักการเมืองผู้ชูธงปฏิรูปสังคม ก่อนจะนำไปสู่การปิดล้อมสังหารหมู่นักศึกษาจำนวนหลายร้อยคนกลางเมืองในเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 19 ผลักไสขบวนการนักศึกษาและปัญญาชนชั้นแนวหน้าของไทยเข้าป่าอีกจำนวนนับพัน ตามมาด้วยสงครามระหว่างรัฐไทยกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ก่อนที่ความขัดแย้งนี้จะยุติลงในปี พ.ศ. 2523 ด้วยการนิรโทษกรรมให้กับ ‘ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย’ กลับจากป่าคืนสู่เมือง

หากยึดโครงสร้างทางสังคมที่ยังสามารถผลิตความเหลื่อมล้ำอย่างต่อเนื่องเป็นเกณฑ์ก็อาจจะสรุปได้ว่า ชนชั้นนำคือผู้ชนะในความขัดแย้งครั้งนี้

วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในปี พ.ศ. 2540 การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน’ ที่พยายามสร้างฝ่ายบริหารที่เข้มแข็ง การชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายติดต่อกันของพรรคไทยรักไทยนับจากปี พ.ศ. 2544 และพฤติกรรมอำนาจนิยมอ้างความชอบธรรมจากการเลือกตั้งของอดีตนายกฯทักษิณ ทำให้ชนชั้นนำตระหนักถึงภัยคุกคามของประชาธิปไตยต่อพวกเขา หลังจากการรัฐประหาร 19 กันยา 49 และการร่างรัฐธรรมนูญใหม่อีกครั้งในปี พ.ศ. 2550 เป็นรัฐธรรมนูญที่ ศ. ดร. นิธิ เอียวศรีวงศ์ เรียกว่าฉบับ ‘หมายจับทักษิณ’ ที่ติดตั้งกลไกถ่วงดุลอำนาจเสียงข้างมากด้วยเสียงข้างน้อยที่ไม่ผ่านการเลือกตั้ง สร้างตุลาการภิวัตน์และตุลาการธิปไตย ทั้งหมดนี้เป็นความพยายามของชนชั้นนำด้วยความคาดหวังว่าจะสามารถกำกับประชาธิปไตยได้

การเมืองไทยในรอบ 7 ปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าความพยายามดังกล่าวนั้นสูญเปล่า นอกจากชนชั้นนำจะไม่สามารถกำกับประชาธิปไตยได้อย่างเด็ดขาดแล้ว กระบวนการในการกำกับประชาธิปไตยของชนชั้นนำมีแนวโน้มที่จะเพิ่มระดับความรุนแรงและความอุจาดมากขึ้น กล่าวคือ เพื่อที่จะจำกัดประชาธิปไตยลง ชนชั้นนำไทยเลือกใช้รูปแบบและวิธีการที่สังคมกังขามากขึ้นกระทั่งบางครั้งยอมละเมิดหลักการ เปิดเปลือยตัวตนด้านอุจาดโจ่งแจ้งในที่สาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นการสั่งการให้ทหารปราบปรามประชาชนที่มาชุมนุมเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งด้วยกระสุนจริงในปี พ.ศ. 2553 การเข้ามาก้าวก่ายอำนาจนิติบัญญัติของฝ่ายตุลาการ การตัดสินคดีปกครองและการตีความกฎหมายอย่างน่าฉงนในหลักกฎหมายหลายครั้งหลายครา รวมถึงการให้ความเห็นด้วยถ้อยคำปลุกปั่นยุยงสร้างความเกลียดชังกระทั่งหยาบช้าเหยียดหยามศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

ทั้งหมดนี้สะท้อนความหวาดกลัวประชาธิปไตยของชนชั้นนำไทย

ความหวาดกลัว ความอับจนปัญญาและความสิ้นหวังมีโอกาสที่จะนำไปสู่ความรุนแรงและพฤติกรรมอุจาดแต่ไม่ประกันว่าวิธีการดังกล่าวจะนำไปสู่ชัยชนะของชนชั้นนำ เพราะสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนำกับพลังปฏิรูปสังคมในพุทธทศวรรษที่ 2510 และ 2520 แตกต่างไปจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนำกับประชาธิปไตยในปัจจุบันด้วยอย่างน้อย 4 ประการ คือ

ประการแรก ความขัดแย้งในรอบนี้ชนชั้นนำไทยไม่มีความเป็นปึกแผ่นเช่นเดียวกับในอดีต นักวิชาการหลายท่านสรุปว่าความขัดแย้งทางการเมืองไทยปัจจุบันเป็นผลมาจากความขัดแย้งของชนชั้นนำที่เอามวลชนเป็นเครื่องมือเท่านั้น

ประการที่สอง ฐานกำลังของคู่ขัดแย้งหลักของชนชั้นนำในปัจจุบันนั้นขยายออกไปกว้างขวาง มีจำนวนมาก มีการจัดตั้งรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนเหนียวแน่นกว่ากลุ่มนักศึกษาปัญญาชน

ประการที่สาม อุดมการณ์ที่เป็นคู่ขัดแย้งกับชนชั้นนำในปัจจุบันคืออุดมการณ์ประชาธิปไตยนั้น เป็นอุดมการณ์ที่ลงหลักปักฐานมั่นคงในระดับสากลและในประเทศไทยแล้ว แตกต่างจากอุดมการณ์ที่เป็นคู่ขัดแย้งกับชนชั้นนำในอดีตคือ ‘อุดมการณ์คอมมิวนิสต์’ หรือ ‘อุดมการณ์สังคมนิยม’ ที่ในขณะนั้นเป็นกระแสทางเลือกหนึ่งท่ามกลางตัวเลือกอื่น ๆ ก่อนจะมีผลยุติเด็ดขาดด้วยชัยชนะของอุดมการณ์ประชาธิปไตยหลังสงครามเย็น

ประการที่สี่ การขัดแย้งกับประชาธิปไตยทำให้ชนชั้นนำขาดพันธมิตรนอกประเทศสนับสนุน ในทางกลับกันมิตรประเทศเช่น สิงคโปร์และพม่า และประเทศมหาอำนาจใกล้ชิดกับไทยทั้งญี่ปุ่น สหรัฐฯ หรือสหภาพยุโรป ต่างติเตียนและเห็นพฤติกรรมต้านประชาธิปไตยของชนชั้นนำไทยเป็นอันตรายต่อการเมืองและเศรษฐกิจของโลก

อีกนัยหนึ่งคือ ความขัดแย้งกับประชาธิปไตยที่กลายเป็นความหวาดกลัวประชาธิปไตยของชนชั้นนำไทยผลักดันพวกเขาไปสู่ หนึ่ง ความขัดแย้งในหมู่ชนชั้นนำด้วยกัน สอง ขัดแย้งกับประชาชนจำนวนมาก สาม  ขัดแย้งกับอุดมการณ์และแนวทางพัฒนาหลักของสังคมโลกไปจนถึง สี่ ขัดแย้งกับมิตรประเทศและประเทศมหาอำนาจ

การต่อสู้ภายใต้เงื่อนไขเช่นนี้อาจทำให้พวกเขาต้องใช้ความรุนแรงและพฤติกรรมอุจาดเหมือนที่เคยกระทำมา แต่จะสามารถรักษาสถานะทางอำนาจของตนเองได้ดังเช่นในอดีตหรือ?

ประชาธิปไตยอาจสร้างความหวาดกลัวให้ชนชั้นนำ แต่ในโลกปัจจุบันดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องอยู่กับประชาธิปไตยต่อไป

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท