มนุษยสำนึก-ยุติธรรมสำเหนียก กับคำพิพากษา

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์การตัดสินของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอย่างน้อย 2 กรณี กรณีแรกคือ การที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไทยได้ตัดสินให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สมาชิกวุฒิสภา(สว.)มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ กับกรณีที่สองคือ  การวินิจฉัยคดีแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 190 เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือแม้กระทั่งอาจถือเป็นกรณีที่ 3  คือ การที่ศาลรัฐธรรมนูญไต่สวนเงินกู้ 2 ล้านล้าน ที่โดนกล่าวถึงในท่วงทำนองของการวิพากษ์วิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญไทยกันมากในเวลานี้นั้น ทำให้ผมคิดถึงปรัชญาของกระบวนการยุติธรรมของศาลอเมริกัน คือ เรื่อง “สามัญสำนึก” (common sense)

ใช่ครับ เรื่องง่ายๆ มาก คือ สามัญสำนึก แล้วก็ไม่ใช่สามัญสำนึกของผู้พิพากษาหรือตุลาการนะครับ แต่เป็นสามัญสำนึกของมนุษย์โดยทั่วไป หมายความว่า ความเชื่อหรือระบบปรัชญาของอเมริกันตั้งอยู่ บนสำนึกความรู้สึกของมนุษย์ (human sense)

ดังนั้นจึงไม่แปลกที่องค์กรอเมริกัน รัฐบาลอเมริกัน และหน่วยงานต่างๆ จึงได้รณรงค์เกี่ยวกับเรื่อง สามัญสำนึกของมนุษย์ เพราะการที่มนุษย์ประสบชะตาจากการเบียดเบียนกันและกัน มีสาเหตุจากการที่มนุษย์ขาดสามัญสำนึกของความเป็นมนุษย์ ซึ่งเรื่องนี้หากขุดลงไปลึกๆ ก็เจอตาน้ำตาเดียวกัน ซึ่งก็คือ สำนึกของความเป็นมนุษย์

มนุษย์ให้พระเจ้า(God) รับรอง สามัญสำนึกของความเป็นมนุษย์ในนามของพระเจ้า ซึ่งหากมนุษย์เกิดมีลักษณะตรงกันข้ามที่เรียกว่า “วิสามัญสำนึก”ของความเป็นมนุษย์ มนุษย์ผู้นั้นก็ย่อมไม่ผ่านการรับรองจากพระเจ้า นั่นคือ หมายถึงว่า มนุษย์ขาดสำนึกความเป็นมนุษย์นั่นเอง นี่ถือว่าเป็นการมองมนุษย์จากแง่มุมของศาสนา

ในสังคมตะวันตกยังได้เกิดปรัชญามนุษยนิยมขึ้น อย่างเช่น นักปรัชญาอย่าง ฌ็อง-ปอล ซาตร์(Jean-Paul Sartre) ที่เชื่อว่า มนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้มีเสรีภาพที่จะเลือกทำในสิ่งที่เขาต้องการ และการที่มนุษย์สามารถเลือกได้ เสมอนั้นแสดงให้เห็นว่ามนุษย์นั้นยิ่งใหญ่โดยความเป็นมนุษย์เอง การที่มนุษย์สามารถเลือกได้ แสดงว่า ไม่มีสิ่งใดหรือใครสามารถบงการชีวิตของมนุษย์ได้ ชีวิตนี้เป็นของมนุษย์ มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่สามารถบงการให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้ ซึ่งแนวคิดของซาร์ต เป็นแนวความคิดแบบมนุษยนิยม ขณะที่ซาร์ตเป็นทั้งนักเขียนและเป็นนักปรัชญาที่ทรงอิทธิพลของโลกช่วงความขัดแย้งระหว่างอุดมการณ์สังคมนิยมกับเสรีนิยม จนเป็นเหตุให้เกิดสงครามเย็น(cold war)อยู่หลายปี

ในความเห็นของซาร์ต ปัจจัยภายนอก สามารถกระทำต่อมนุษย์แค่เพียงทางกายเท่านั้น เพราะร่างกายเป็นผลผลิตของธรรมชาติ แต่สำหรับจิตใจหรือวิญญาณที่เป็นแก่นแท้ของมนุษย์ ไม่มีอะไรที่จะเข้ามามีอิทธิพลได้ ทั้งมนุษย์เองมีสำนึกของมนุษย์เอง คือการเชื่อมั่นในศักยภาพของมนุษย์  นอกเหนือไปจากคำกล่าวของเฮมิงเวย์ (Ernest Miller Hemingway) นักเขียนอเมริกันซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี คือ “มนุษย์ถูกทำลายได้แต่ไม่อาจถูกทำให้พ่ายแพ้ได้

นอกจากนี้ความเชื่อในศักยภาพของมนุษย์ทั้งในด้านความคิดและการกระทำยังปรากฎในงานเขียนของนักปรัชญาตะวันตกอีกหลายท่าน ด้วยเห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะในเรื่องการปกครอง หลักมนุษยนิยมนำมาซึ่งหลักการของประชาธิปไตย 3 ประการ คือ เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ ซึ่งหลักการนี้เน้นไปที่การจัดการในเรื่องความเป็นอยู่ของสังคมมนุษย์โดยตัวของมนุษย์เอง โดยเบื้องแรกต้องเคารพความเป็นมนุษย์ด้วยกันเองเสียก่อน

“ตาน้ำเดียวกันของมนุษย์ทั้งมวล” ก็คือ สามัญสำนึกของความเป็นมนุษย์ ทุกอย่างในระบบการเมืองการปกครองของอเมริกันจึงตั้งอยู่บนฐานของการมอบความเป็นใหญ่ให้กับสามัญสำนึกของมนุษย์และระบบยุติธรรมก็คือ หนึ่งในนั้น เพราะเชื่อว่าโดยสามัญสำนึกแล้วมนุษย์มีความยุติธรรมเสมอ

ในพุทธศาสนา ซึ่งกล่าวได้ว่า เป็นศาสนาที่มีลักษณะของคำสอนแนวมนุษยนิยมเช่นกัน  เพราะปฏิเสธการควบคุม กำกับหรืออาณัติจากของปัจจัยนอก  แต่พระพุทธองค์ตรัสทำนองว่าความเป็นไปของมนุษย์ขึ้น อยู่กับการกระทำ(กรรม)ของมนุษย์เอง  มนุษย์ทุกคนรักสุขเกลียดทุกข์  ดังนั้น สามัญสำนึกของ มนุษย์ก็คือ เมื่อมนุษย์คนหนึ่งรู้ว่าสุขทุกข์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองเป็นอย่างไร ตัวเองต้องการสุขหรือทุกข์ ? ก็ย่อมต้องรู้แก่ใจว่ามนุษย์คนอื่นๆ ต้องการและไม่ต้องการในสิ่งเดียวกันกับตนด้วยเช่นกัน

ตาน้ำสามัญสำนึกของความเป็นมนุษย์  จึงเชื่อมไปถึงสิทธิของความเป็นมนุษย์หรือสิทธิมนุษยชน (human right)  ซึ่งตะวันตกถือว่าสำคัญมากและเป็นหลักการสากลในแง่ความเหมือนกันของมนุษย์ ทั้งมวล(สำนึก, ความปรารถนาและความไม่ปรารถนาของมนุษย์)  ซึ่งก็โยงกลับมาที่สำนึกของความเป็นมนุษย์นั่นเอง

ความเชื่อมั่นในตัวตนและศักยภาพของมนุษย์ของผู้คนในตะวันตกจึงมีสูงหลังจากที่พวกเขาผ่านประสบการณ์ความขัดแย้งซึ่งถือเป็นความทุกข์อย่างหนึ่งมายาวนาน ประสบการณ์จากประวัติศาสตร์ได้ชี้ ให้เห็นว่าจะต้องคิดและอยู่อย่างไรให้เกิดความเบียดเสียดขัดแย้งเชิงการทำร้ายซึ่งกันและกันให้น้อยที่สุด

มนุษย์มีความขัดแย้งเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะความขัดแย้งทางด้านความคิด เพราะมนุษย์แต่ละคนคิดไม่เหมือนกัน แต่ก่อนเมื่อมนุษย์คิดต่างกันมมนุษย์กอาจทำร้ายฝ่ายที่คิดไม่เหมือนตน  แต่คุณสมบัติที่ดีของมนุษย์อีกอย่าง คือ การสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ ได้ทำให้มนุษย์พัฒนาความคิดและรูปแบบการอยู่ร่วมกันอย่างสันติขึ้นมาได้ ซึ่งในรูปแบบของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติดังกล่าว คือ การวางกติกากลางและเคารพต่อกติกากลางนั้น

ความปรารถนาต่อเสรีภาพของมนุษย์ส่วนหนึ่งถูกกล่าวถึงโดย รุสโซ (Jean – Jacqnes Rousseau)  ที่กล่าวว่า เสรีภาพเป็นสิ่งควบคู่กับสังคม แต่เมื่อมนุษย์ต่างต้องการเสรีภาพเหมือนกัน (เสรีภาพเป็นความปรารถนาสากลอย่างหนึ่งของมนุษย์) เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งจากการใช้เสรีภาพ ของแต่ละคนไปล้ำเส้นเสรีภาพของมนุษย์คนอื่น  และเพื่อไม่ให้มีการจำกัดเสรีภาพโดยรัฐหรือใครก็ตามจนกลายเป็นเผด็จการไป รุสโซได้เสนอให้มนุษย์สร้างเจตน์จำนงร่วม (General will) ซึ่งต้องกลายมาเป็นแกนนำสังคม เป็นเจตน์จำนงที่มุ่งสู่ความปรารถนา “ที่เหมาะสม”ของมนุษย์ทุกคน มิใช่การคำนึงถึงผลประโยชน์เฉพาะตนและเฉพาะกลุ่ม  อาจเรียกว่า เป็นเจตน์จำนงของมนุษย์ในสังคมหรือในชาติ

ดังนั้น สำหรับกระบวนการยุติธรรมในประเทศตะวันตก สิ่งที่พวกเขา(ประชาชน) ได้กลั่นกรองแล้ว จากประสบการณ์ร้อน-หนาว คือ การหวนกลับไปหาสามัญสำนึกของมนุษย์  โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรมในสหรัฐอเมริกา  พวกเขาเคารพสามัญสำนึก ยกให้สามัญสำนึกของมนุษย์ เป็นสิ่งสำคัญสูงสุด มองว่าโดยสำนึกแล้วมนุษย์รักความยุติธรรม  เมื่อตนเองต้องการความยุติธรรม ดังนั้น มนุษย์คนอื่นก็ต้องการความยุติธรรมเช่นกัน

จริงอยู่มนุษย์อาจมีอคติ  แต่อคติของมนุษย์ส่วนใหญ่เกิดจากผลประโยชน์ที่ตนเองได้รับหรือคาดว่าจะได้รับ หากตัดความเกี่ยวพันเรื่องผลประโยชน์ทั้งเบื้องหลัง ปัจจุบันและเบื้องหน้าออกไป ความยุติธรรมในใจของมนุษย์ก็คงเป็นไปตามปกติเช่นเดิม

จึงเป็นที่มาของระบบยุติธรรมของอเมริกัน ที่กำหนดให้มีคณะลูกขุน (jury duty) ที่ทำหน้าที่ตัดสินอรรถคดีต่างๆมาจากมนุษย์ (ประชาชน)ทั่วไปและอย่างหลากหลาย คนที่มาทำหน้าที่นี้ ต่างผ่านประสบการณ์การใช้ชีวิตรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง หรือหลายรูปแบบมาก่อนไม่มากกน้อย  เมื่อพวกเขาเข้าไปอยู่ในศาล ฮอร์โมนจากต่อมสามัญสำนึกของความเป็นมนุษย์ผู้รักความยุติธรรมย่อมต้องหลั่งออกมา

ฮอร์โมนจากต่อมสามัญสำนึกเหล่านี้ มีอยู่ในความเป็นมนุษย์ปุถุชน ผู้มีทั้งโกรธ  โลภ หลง และความสงสารเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่ว่าจะเรียกมันว่าคุณธรรมพื้นฐานของความเป็นมนุษย์หรือไม่ก็ตาม เพราะมีแต่สำนึกของมนุษย์เท่านั้นที่สามารถแทงทะลุข้อเท็จจริงของความเป็นมนุษย์ด้วยกัน ระบบยุติธรรมของอเมริกัน จึงถูกออกแบบมาเพื่อสามัญสำนึกของมนุษย์โดยเฉพาะและออกแบบโดยอาศัย ความแตกต่างหลากหลายของมนุษย์ ทั้งเชื่อว่ามนุษย์ส่วนใหญ่ ทุกอาชีพ เป็นตุลาการได้หมด ปกติในชีวิตประจำวัน มนุษย์ก็ทำหน้าที่ในการตัดสินนี้อยู่แล้ว ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวของมนุษย์เองและที่เกิดขึ้นกับเพื่อน ของพวกเขา

ไม่ใช่การออกแบบโดยการอาศัย “วิสามัญสำนึกของมนุษย์” ที่อาศัยความรู้ (เช่น ความรู้ด้านกฎหมาย)บ้าง อาศัยอายุงานบ้าง อาศัยประสบการณ์ในการทำงานบ้าง  อาศัยตำแหน่งบ้าง เป็นเครื่องตัดสินชะตากรรมของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

เพราะสามัญสำนึกภายในอันเปล่าเปลือยของมนุษย์ต่างหากที่ทำให้อคติ ความลำเอียงในการชี้ชะตากรรมของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันลดเหลือน้อยที่สุด หาใช่ความเป็นผู้รู้ หรือความมีตำแหน่งอาชีพแต่อย่างใดไม่  ความรู้และตำแหน่งเป็นเค้าโครงภายนอกเท่านั้น มิใช่หัวใจของความยุติธรรมซึ่งเป็นของสากลแต่อย่างใดเลย 

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท