ลงถึงพื้นที่ 'ชาวลาหู่' ดูงานการจัดการโฉนดชุมชนที่บ่อแก้ว

กลุ่มชาวลาหู่ จาก เชียงราย เชียงใหม่ และแม่ฮ่องสอน กว่า 30 คน ลงพื้นที่ดูงานการทำโฉนดชุมชนที่ชุมชนบ่อแก้วชัยภูมิ ร่วมแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องการจัดการที่ดิน ชี้ปัญหาในพื้นที่ไม่ต่างจากชาวบ้านทางภาคอีสาน
 
 
เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.56 นายธีรภาพ ยืนยงธรรม ผู้จัดการมูลนิธิพัฒนาลาหู่ในประเทศไทย นำกลุ่มชาวลาหู่ จาก จ.เชียงราย จ.เชียงใหม่ และ จ.แม่ฮ่องสอน กว่า 30 คน ลงพื้นที่ศึกษาดูงานชุมชนบ่อแก้ว ต.ทุ่งพระ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องการจัดการที่ดินตามรูปแบบโฉนดชุมชน การทำกองทุนธนาคารที่ดินชุมชน รวมทั้งการบริหารจัดการที่ดินโดยชุมชน
 
นายธีรภาพ กล่าวว่า คนเผ่าลาหู่อาศัยอยู่เขตป่าสงวนฯ และเขตอุทยานแห่งชาติเช่นเดียวกับชาวบ้านทางภาคอีสาน จากที่ได้ติดตามข่าวสารมาโดยตลอด ทราบว่ากว่าจะมาเป็นชุมชนบ่อแก้วนั้นต้องต่อสู้กันมาหลายสิบปีกว่าจะได้ที่ดินทำกินเดิมกลับคืนมา จึงเดินทางมาลงพื้นที่เพื่อแลกเปลี่ยนในพื้นที่บ้านบ่อแก้ว เพื่อจะได้เห็นภาพชัดเจนของการบริหารจัดการที่ดินโดยชุมชนว่าสามารถบริหารจัดการที่ดินในชุมชนกันอย่างไร เพื่อให้ผืนดินเกิดความมั่นคง และยั่งยืนให้ตกทอดไปสู่ลูกหลาน
 
นายนิด ต่อทุน ประธานโฉนดชุมชนบ้านบ่อแก้ว เล่าถึงที่มาของชุมชนบ่อว่า เป็นการปรากฏตัวของผู้ประสบปัญหาการสูญเสียที่ดินทำกิน ภายหลังจากที่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้  (ออป.)  ยึดที่ดินไปปลูกยูคาลิปตัส รวมเนื้อที่กว่า 4,401 ไร่ เมื่อปี 2521 ส่งผลให้หลายครอบครัวกว่า 277 คน ต้องถูกอพยพจากที่ดินทำกินเดิม บ้างไปอาศัยอยู่กับญาติ บางครอบครัวแตกสลาย กลายเป็นแรงงานรับจ้าง เพราะไม่มีที่ดินทำกิน
 
“พวกเราต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อทวงคืนผืนแผ่นดินเดิม กระทั่งในวันที่ 17 ก.ค.2552 ได้กลับเข้ามายึดพื้นที่กลับคืนมา และทั้งปักหลักในพื้นที่จัดตั้งหมู่บ้านบ่อแก้วขึ้นมา เพื่อแสดงสัญลักษณ์ความเป็นเจ้าของพื้นที่ พร้อมกับประกาศเป็นเขตปฏิรูปที่ดินในรูปแบบโฉนดชุมชน ตามที่ได้ผลักดันให้รัฐบาลสมัยนั้นมีมาตรการทางนโยบายเพื่อคุ้มครองสิทธิที่ดินดังกล่าว กระทั่งมีระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชนในเวลาต่อมา” ประธานชุมชนบ่อแก้ว กล่าว
 
 
นายนิด กล่าวต่อมาว่า กว่า 4 ปี ชาวบ้านได้ร่วมกันพลิกฟื้นชีวิตรวมทั้งผืนดินด้วยการบริหารจัดการที่ดินทำกินของชุมชนโดยชุมชน และเพื่อชุมชนมาโดยตลอด กระทั่งครบรอบ 3 ปี ชุมชนบ่อแก้ว ในปี พ.ศ.2555 จึงยกระดับเป้าหมายไปสู่การพัฒนาระบบการผลิตในพื้นที่ชุมชน ตั้งเป็นหมู่บ้านเกษตรกรรมอินทรีย์ ทั้งพื้นที่แปลงรวม และพื้นที่สิทธิการใช้ส่วนบุคคล เพื่อทำหน้าที่พัฒนาการผลิตของสมาชิกให้สามารถพึ่งตนเองได้ จำหน่ายได้ในผลผลิตบางประเภท ฟื้นฟูระบบนิเวศ สร้างความมั่นคงทางอาหาร และความร่วมมือของคนท้องถิ่น หากเปรียบเทียบกับสวนป่ายูคาลิปตัสของ ออป.จะเห็นว่ามีนัยที่แตกต่างกันมาก
 
นายนิด กล่าวว่า ปัจจุบันสถานภาพการผลิตของชาวบ้านบ่อแก้วสามารถพึ่งตนเองในระดับครอบครัวได้ โดยไม่ต้องพึ่งแหล่งอาหารจากภายนอก มีบางรายที่สามารถขายผลผลิตเป็นรายได้ในครัวเรือน เช่น กล้วย ตะไคร้ งา ถั่วแดง ข้าวโพด และพืชผักบางชนิด นอกจากนั้น ชาวบ้านยังมีการจัดสร้างธนาคารเมล็ดพันธ์  ร้านค้าชุมชน โรงอบสมุนไพร โรงปุ๋ยหมัก และเรือนพักรับรองในชุมชน
 
ประธานโฉนดชุมชนบ้านบ่อแก้ว กล่าวว่า การต่อสู้ที่มีมาอย่างต่อเนื่องในระดับนโยบายนั้น ปัจจุบันตามที่ประชุมได้มีการพิจารณาถึงผลการดำเนินการตามบันทึกข้อตกลงร่วมระหว่างรัฐบาลกับขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม เมื่อวันที่ 22 พ.ค.56 และตามมติของคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาที่ดินที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2556 วันที่ 27 พ.ค.56 ได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงสวนป่าคอนสาร
 
ต่อมาเมื่อวันที่ 17 ต.ค.56 นายสุภรณ์  อัตถาวงศ์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง พร้อมรองผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ นายอำเภอคอนสาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพฯ ผู้อำนวยการอุตสาหกรรมป่าไม้ ได้ลงพื้นที่ร่วมประชุมกรณีปัญหาข้อพิพาทเรื่องที่ดินสวนป่าคอนสาร ณ สำนักงานสาธารณสุขอำเภอคอนสาร
 
จากนั้นนายสุภรณ์ ในนามตัวแทนของนายกรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการการให้ความคุ้มครองประชาชนให้สามารถอาศัยและทำมาหากินในที่ดินไปจนกว่าการดำเนินการแก้ไขปัญหาจะได้ข้อยุติ 
 
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท