Skip to main content
sharethis

ปัจจัยหนึ่งซึ่งเป็นองค์ประกอบของการเติบโตในขบวนการคนเสื้อแดง คือ ความไม่เป็นเอกภาพ เพราะทุกกลุ่มสามารถมีความคิดความเห็นเป็นของตัวเองในแต่ละเฉดสี โดยที่ไม่มีใครสามารถสั่งให้มวลชนเดินซ้ายหันขวาหันได้ทั้งขบวน

ด้วยความที่มีทั้งจุดร่วมและจุดต่างกันชนิดที่ไม่ต้องเกรงใจกันและไม่ต้องเกรงกลัวว่าจะเข้าทางฝ่ายตรงข้ามเช่นนี้ ทำให้การแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างจากรัฐบาลในปีกเดียวกับตนเองไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมาย

“สมบัติ บุญงามอนงค์” หรือ บก.ลายจุด แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง ผู้นัดหมายมวลชนกลับมาทำกิจกรรมที่สี่แยกราชประสงค์อีกครั้ง เพื่อคัดค้านการผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่ง หรือนิรโทษกรรมแบบสุดซอย ของพรรคเพื่อไทย เปิดใจถึงกิจกรรมในพื้นที่แห่งนี้อีกครั้ง โดยครั้งนี้เป็นการตั้งคำถามถึงพรรคการเมืองที่คนเสื้อแดงเลือกเข้ามาเป็นรัฐบาล

-ในฐานะ “แกนนอน” มีจุดยืนไม่เอานิรโทษกรรมเหมาเข่ง แล้วจะเอาอะไร

ก็เอาร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ฉบับ “วรชัย เหมะ” เอาแบบที่เราคุยกันครั้งแรก

-มีคนอธิบายว่ามันเป็นไปไม่ได้ในทางกฎหมาย

ไม่จริง

-พรรคเพื่อไทยบอกว่า อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 30  เรื่องความเสมอภาค

ไม่จริง,ไม่เชื่อ เพราะคุณคณินบุญสุวรรณก็บอกว่าไม่ขัด ... ตอนเข้ามาใหม่ๆ ก็บอกไม่ขัด แต่พอมีคำสั่งอะไรพิเศษเข้ามา ก็บอกว่าขัดทันทีเลย ตลกไหมถ้าคิดว่าขัด ก็เปิดให้สถาบันทางวิชาการอธิบายเรื่องนี้ 

-นักวิชาการบางท่าน เช่น อาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ก็บอกว่า ไม่จำเป็นต้องนิรโทษกรรมแต่อยากให้คนที่อยู่ในคุกได้สิทธิการประกันตัว มาต่อสู้ตามกระบวนการ ทำไมคุณสมบัติ ไม่เอาแนวทางนั้น

จริงๆ ผมเห็นด้วยตั้งแต่ต้น กับแนวคิดนี้ แต่เราต้องเข้าใจว่า พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เกิดจาก การมีกิจกรรมที่เรียกว่า “หมื่นปลดปล่อย” ของอาจารย์หวาน(สุดา รังกุพันธุ์)และพรรคพวก วันนั้น ผมก็ไปร่วมที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 29 มกราคม2556เพราะเราพบว่า เราไม่สามารถรอได้แล้ว เพราะมีมวลชนอยู่ในคุกและไม่ได้รับสิทธิการประกันตัว

เมื่อขอประกันหลายรอบไม่ผ่าน จึงมีการผลักดันเป็นsolutionเรื่องนิรโทษกรรม วันที่ 29 มกราคม จริงๆ เราต้องการสิทธิการประกันตัว แต่เมื่อเป็นไปไม่ได้แล้ว เราจึงผลักดันเรื่องนิรโทษกรรม นี่คือที่มาที่ไป

ถามว่า ถ้าทุกคนได้สิทธิการประกันตัว อันนี้ ผมโอเค แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะ สิทธิการประกันตัว เป็นอำนาจของศาล เมื่อศาล ไม่เข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องนี้ไม่เยียวยาเรื่องนี้ ทำให้ความหวังเรื่องการประกันตัวลดลง

-ถ้าคนที่เคลื่อนไหวทางการเมือง ได้สิทธิการประกันตัวแล้วการนิรโทษกรรมหรือไม่อาจจะไม่มีความสำคัญ ใช่หรือไม่

ส่วนตัวผม ยังคิดว่า(นิรโทษกรรม) เป็นเรื่องที่รอได้ แต่ตอนนี้สิ่งที่ผมรู้สึกอึดอัด คือสิทธิประกันตัวก็ไม่ได้แล้วถูกจำคุกฝ่ายเดียว

-เมื่อไม่เอานิรโทษกรรมเหมาเข่ง แล้วจุดยืนตรงนี้ แตกต่างจาก อาจารย์สุดา หรือไม่อย่างไร

ตอนนี้อาจารย์หวาน(สุดา) เชื่อว่า ไม่สามารถยืนยันร่างของคุณวรชัย ได้แล้ว ซึ่งเป็นความเชื่อเหมือนบรรดา ส.ส. พรรคเพื่อไทยทั้งหลาย แต่ผมไม่คิดเช่นนั้น ผมมั่นใจว่าเรื่องนี้มีความสลับซับซ้อนทางการเมือง มีเหตุผลอื่น ซึ่งไม่ใช่เกิดจากเหตุผลทางข้อกฎหมาย

-ถ้าไม่เอานิรโทษกรรมเหมาเข่ง ตาม ส.ส. พรรคเพื่อไทย แล้วจะตอบคนที่อยู่ในเรือนจำอย่างไร

ถ้าได้ นิรโทษกรรม ฉบับคุณวรชัย คนที่อยู่ในเรือนจำก็จะได้หลุด ไม่มีอะไรช้าหรือเร็วกว่า

-คิดอย่างไร กับแนวคิด set zero ของคุณทักษิณ

แนวคิด set zero เป็นแนวคิดที่ดี การเริ่มต้นใหม่เป็นแนวคิดที่ดี แต่มีเงื่อนไข 2 ประการ คือเรื่อง เวลา กับสภาพแวดล้อมทางสังคม

เวลามันใช่หรือเปล่า มาset zero กันตอนนี้ คนยังอารมณ์ค้างกันอยู่ set zero ได้ไหม อันนี้ไม่ได้

ประการที่ 2 ดูบริบททางสังคมว่า กลุ่มพลังทางสังคม เขารับลูกกับเรื่อง set zero นี้ไหม มีใครขานรับบ้าง มีใครเชื่อไหม ในประเทศไทยสักคนหนึ่ง ที่เชื่อว่า หลังจากผ่านอันนี้แล้ว สังคมแม่งสงบเลย มีใครไหมที่แม่งเชื่อเรื่องนี้ หมายถึงคนที่อยู่ในประเทศไทยนะ ยกเว้นคุณทักษิณ ซึ่งอยู่ต่างประเทศมีสักคนไหมที่เชื่อเรื่องนี้ ... ไม่มีเลย แล้วผมบอกไว้ก่อน ถ้าเวลาไม่ได้ บริบททางสังคมก็ไม่ได้ ถ้าไปกดปุ่มset zero นะ ระวังเครื่องแฮงค์นะ คุณจะไป reset เครื่องคอมพิวเตอร์ ระวังแฮงค์เลยนะ คือ คุณต้องพิจาณา

แม้ว่าแนวคิด set zero จะดีนะ ผมไม่ปฎิเสธว่าเป็น 1 ในวิธีคิดเรื่องการปรองดอง ในการกลับมาเริ่มต้นกันใหม่ เป็นแนวคิดที่มีหลักการพอสมควร แต่เงื่อนเวลา วิธีการที่ใช้ในรอบนี้ ไม่เอื้อเลย

-ที่ว่าไม่มีใครเชื่อเรื่อง set zero แม้แต่คนเดียวหมายถึง ทั้งฝ่ายเหลือง ฝ่ายแดง ไม่ว่าจะเฉดไหนหรือเปล่า

ใช่ ไม่มีใครเชื่อ เพราะต้องถามว่าอะไรเป็นสัญญาณ ที่บอกว่ามันจะเริ่มต้นกันใหม่ มีอะไรเป็นสัญญาณครับ ตั้งแต่เริ่มพูด set zero เราได้ยินสัญญาณอะไรที่บอกว่าเราจะเริ่มต้นกันใหม่ ชีวิตจะดี ประเทศชาติจะราบรื่นสัญญาณอะไร
มันกลับมีแต่สัญญาณ ตรงกันข้ามกับการ set zero ด้วยซ้ำ

-อาจจะหมายถึงแค่ คุณทักษิณ อยากกลับบ้าน ได้กลับบ้านหรือเปล่า

ไม่ใช่เพราะset zeroมันต้องหมายถึงประเทศไทย มันไม่ใช่เรื่องบุคคล มันเป็นภาพรวมของประเทศ

-คุณทักษิณ พูดราวกับตัวเองเป็นคู่กรณีกับใคร แล้วพร้อมให้อภัย เป็นเรื่องส่วนตัวหรือเปล่า

คุณทักษิณ คงพูดได้ในมุมของตัวเอง แต่ว่าในสังคมยังมีอีกหลายคน ประเทศนี้ยังมีอีกหลายคน ขึ้นอยู่กับสังคมนี้จะเล่นด้วยหรือไม่

-ก่อนหน้านี้ได้ไปสัมภาษณ์คุณทักษิณ วันที่เท่าไหร่ ก่อนจะเอามาลงยูทูบและทำไมจึงตัดสินใจไปสัมภาษณ์

สัมภาษณ์วันที่ 18 ต.ค.ที่กรุงโซลตัดสินใจเอง สัมภาษณ์สำหรับรายการ “กาแฟปฏิรูป” เพราะเราก็เดินทางคุยกับผู้คนว่าคิดเรื่องปฏิรูปอย่างไร คุยตั้งแต่คุณอลงกรณ์ พลบุตร คุณภูมิธรรม เวชยชัย เราก็เดินทางคุย

-ตอน ไปสัมภาษณ์คุณทักษิณ ได้คุยเรื่องนิรโทษกรรมหรือไม่

ไม่เลย ตอนนั้น ยังไม่มีแววเรื่องนี้เลยยังไม่เกิดเหตุยังไม่เกิดเรื่อง แล้วก็สิ่งที่คุยกันนอกรอบ 2 ชั่วโมงคุยกันยาว ก็คุยกันเรื่องอื่นนะ ไม่เกี่ยวกับเรื่องปฏิรูป หรือนิรโทษกรรม ก็ไม่มีสัญญาณ แต่ตอนนั้นกลับมีสัญญาณตรงกันข้ามด้วยซ้ำ

คือแกบอกว่า ตอนนี้แกปรับตัวได้ในต่างประเทศ มีความสุขเลยถ้าเทียบกับตอนมาใหม่ๆ อาจจะรู้สึกหงุดหงิด ไม่สบาย แต่ว่าตอนนี้แกโอเคมาก และยังพูดประโยคต่อไปด้วยนะว่า การกลับมาในประเทศไทยตอนนี้ อาจจะนำมาสู่ความไม่ปลอดภัย ถ้าดูจากประโยคที่พูด ก็แปลว่า แกไม่มีการส่งสัญญาณเรื่องนิรโทษกรรม แต่หลังจากที่แกเดินทางจากกรุงโซล ไปที่สิงคโปร์ เรื่องนี้จึงเกิดขึ้น

-พอเรื่องนี้ เกิดขึ้น ทำให้คนย้อนกลับไปคิดว่า การนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่ง ไม่ใช่แนวคิดของ คุณประยุทธ์ ศิริพานิชย์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย เสียทีเดียว แต่ว่าคุณทักษิณเอง ก็อยากมานาน

เห็นด้วย คำถามก็คือว่า นี่มันเกิดความแบบ ... เกิดนิมิต ขึ้นมาก็เลยคิดว่าต้องทำแบบนี้ หรือว่าจริงๆ เกิดจากการไปสนทนากับใคร ไปดีลกับใคร หรือใครมาคุยแล้วทำข้อเสนอให้อะไรแบบนี้  นี่คือสิ่งที่เราไม่รู้แล้วเราก็ดันเอามาอธิบายสังคมว่า เป็นเรื่องมาตรา 30 (หลักเรื่องความเสมอภาค) ซึ่งการอธิบายทีหลังฟังดูไร้สาระ

-ความเป็นจริงในทางการเมืองไม่สามารถสรุปได้ง่ายๆ ว่าใครถูกใคร “หลอกใช้” แต่ในสภาวะตอนนี้ ก็มีคนมองว่า คนเสื้อแดงถูกหลอกใช้หรือเปล่า ตรงนี้คุณสมบัติ มองอย่างไร

คือ ถ้าพรรครู้ตั้งแต่ต้นว่า จะดันนิรโทษกรรมฉบับวรชัย แล้วมาแก้ในวาระ 2 แบบนี้นะ ผมถือว่า เป็นการ “หลอกใช้” เพราะคุณไม่พูดความจริงตั้งแต่ต้น แต่ถ้าคุณทำมาโดยตั้งใจจริงตั้งแต่ต้น ทำเสร็จปุ๊บระหว่างทาง มีข้อเสนอใหม่ขึ้นมา อันนี้ไม่ถือเป็นการหลอกใช้ แต่เป็นลักษณะของ “การเปลี่ยนใจ” มันแตกต่างกันตรงนี้ คือ ถ้าพรรครู้ตั้งแต่ต้นว่าจะเล่นเกมแบบนี้นะ ผมถือว่า “หลอกใช้”

คำถามคือ พรรคต้องอธิบาย ว่าคุณคิดเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ต้นหรือเปล่า

ทำไมหมอตุลย์ (สิทธิสมวงศ์) ทายถูกเป๊ะเลย transformer  ทำไมหมอตุลย์รู้แล้วผมไม่รู้ล่ะ

หมอตุลย์รู้ตั้งแต่ต้นว่าจะ transformer แต่ผมไม่รู้อ่ะ

ผมในฐานะคนเสื้อแดง ใกล้ชิดพรรค แต่ไม่รู้ แต่หมอตุลย์รู้ เพราะอะไร ต้องอธิบายให้ผมฟังว่า ทำไมผมไม่รู้ แต่หมอตุลย์รู้

-พรรคเพื่อไทย ก็ไม่ค่อยเป็นเอกภาพ คุณสมบัติ คาดหวังคำตอบจากใครในพรรค

ใครก็ได้ในนั้นคนที่พอมีอำนาจอยู่บ้าง ช่วยตอบมาหน่อย

-ถ้าเป็นเงื่อนไขที่เรียกว่า “ถูกหลอกใช้” คุณสมบัติหมายถึง เฉพาะความรู้สึกของตัวเองหรือคนเสื้อแดงทั้งหมด

ผมขอใช้คำนี้ดีกว่ามันอาจจะไม่ใช่คำว่า “หลอกใช้” แต่มันคือคำว่า  “คุณไม่เห็นหัวเรา” ทันทีที่คุณคิดว่าจะเปลี่ยนใจ หรือจะเปลี่ยนแปลง จะด้วยอะไรก็แล้วแต่ แต่คุณเปลี่ยน คุณไม่ฟังความเห็น หรือคุณไม่แคร์ความรู้สึกของมวลชน แสดงว่า “คุณไม่เห็นหัว”

ในระบบการเมือง ในระบบประชาธิปไตย มันต้องเห็นหัวกัน เพราะว่าประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย เป็นคนเลือก
ตอนคุณเข้าไปในพรรค พรรคอาจจะเลือกคุณเป็นผู้สมัคร แต่การที่คุณไปเป็น ส.ส.เนี่ย ประชาชนเป็นคนเลือก

-คุณสมบัติ มีอะไรติดใจกับทาง แกนนำ นปช. หรือไม่ ซึ่งมีทั้งรัฐมนตรีและ ส.ส. เป็นคนเสื้อแดง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก

เขาแถลงจุดยืนไปแล้ว แต่ผมกำลังรอดูว่า นปช. จะมีท่าทีอะไรมากกว่านี้ไหม ผมคิดว่าทั้ง นปช. และผม กำลังรอดูท่าทีจากพรรค ว่าจะยอมมีการปรับไหม ถ้าไม่ยอมเนี่ย  รอบหน้าผมต้องเรียกร้อง นปช. ออกมา เพราะ นปช. เป็นองค์กรนำนะ

เหตุการณ์ที่สลายการชุมนุมและมีผู้เสียชีวิต ตอนนั้นองค์กรนำ คือ นปช. ไม่ใช่ วันอาทิตย์สีแดง ไม่ใช่ผม นี่เป็นสิ่งที่ นปช. ต้องรับผิดชอบแน่นอน.

ถ้าพรรคยังยืนยันเรื่องนี้ แล้ว นปช. ทำได้แค่การแถลงข่าว... ถ้าไม่พร้อมนำ ก็ตามผมก็ได้นะ

แต่ผมมั่นใจว่า นปช. ต้อง ออกมา ไม่ออกมาไม่ได้ ถ้า นปช. ไม่ออกมานปช. จะไม่มีสถานะเป็นองค์กรนำ อีกต่อไป

-ที่ยอมรับไม่ได้กับการนิรโทษกรรมเหมาเข่ง เพราะอะไร

มีเหตุผล 3 เรื่องด้วยกัน 1) ผมทนให้พรรคเพื่อไทยปลิ้นปล้อนแบบนี้ไม่ได้ ไม่งั้น ผมจะดีลกับคนแบบนี้ไม่ได้เลย ถ้าคุณเป็นแบบนี้ วันหน้าผมดีลไม่ได้นะ ผมไม่สามารถดีลกับคนแบบนี้ได้ คุณอย่าปลิ้นปล้อน ต้องกลับมายืนที่หลักการ พูดยังไงก็ทำอย่างนั้น 

2)  เราจะปล่อยให้คนมีส่วนเกี่ยวข้องขนาดนี้ ระดับผู้สั่งการ ไม่เข้ากระบวนการยุติธรรมไม่ได้ ผมยอมไม่ได้ แม้อภิสิทธิ์(เวชชาชีวะ) สุเทพ(เทือกสุบรรณ)อาจจะไม่ติดคุก แต่ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพื่อพิสูจน์ตัวเอง ผมอยากเห็นเขาพิสูจน์ตัวเอง และเขาก็พูดอยู่แล้วว่าเขาไม่ผิด เขาบอกว่ามีความชอบธรรม มีเหตุผลที่มา ทำไมต้องทำอย่างนี้ ผมอยากให้สิ่งนี้ประจักษ์ในการสอบสวน

ประการที่ 3)เป็นหลักประกันว่าในอนาคต สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นได้ยาก ถ้าการใช้กำลังทหารสลายการชุมนุมเกิดขึ้น ต้องมีคนรับผิดชอบ ไม่ใช่เหมือนที่ผ่านๆ มาอีก แล้วก็เกิดขึ้นอีก

-ทำไมคุณสมบัติ ไม่คิดแบบ “โลกสวย” ว่า เดี๋ยวก็จับมือกันลืมๆ ไปแล้วก็อยู่กันได้เหมือนเดิม

จริงๆ ผมเป็นคนโลกสวยนะ จริงๆ ผมจัดว่าอยู่ในพวก “คนโลกสวย” แต่ว่าตอนนี้ ไม่มีสัญญาณอะไรเลยว่า โลกสวย ไม่มีสัญญาณเลย โลกสวยมันต้องมีสัญญาณบ้างนะ ไม่ใช่ “มโน” เอาเอง นี่มันไม่มีสัญญาณเลย

ตอนนี้เห็นแต่หายนะ เหมือนผมมายืนอยู่ปากซอย คอยดักพรรคเพื่อไทยไว้ อย่าเพิ่งเข้าไปในซอย เพราะเป็นซอยตัน ถ้าคุณไม่เชื่อ คุณเข้าไปถึงกลางซอย คุณจะไปเจอพรรคประชาธิปัตย์ ในสภา ผมรับประกันว่าคุณน่วมในรัฐสภา และถึงแม้ว่าคุณจะใช้เสียงส่วนใหญ่โหวตผ่าน แต่พอคุณไปเจอทางตันท้ายซอย คุณเจอศาลรัฐธรรมนูญ ไม่รอดหรอก

แล้วถึงตอนนั้น ถ้าคุณกวักมือเรียกเสื้อแดงที่อยู่ปากซอย ใครจะเข้าไปช่วยคุณข้างใน ก็กูบอกตั้งแต่ต้นแล้ว อย่าเข้าไปซอยตัน จะเข้าไปยังไง ผมถามหน่อย เห็นใจกันบ้าง

-จะเคลื่อนไหวอย่างไรต่อไป

เห็นข่าวว่าทางพรรค หรือทางคุณทักษิณ ประเมินว่า มีผู้ไม่เห็นด้วยกับนิรโทษกรรมสุดซอย แค่ประมาณหมื่นคน หมายความว่าเขาพร้อมดันร่างกฎหมายนี้ เพราะมีคนไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้แค่หมื่นคนเท่านั้นเอง ซึ่งถ้าพรรคยังไม่เปลี่ยนแปลงทิศทางและคิดว่ามีคนค้านแค่นี้ ผมจะทำกิจกรรมที่เรียกว่า “หมื่นอัพ” เพื่อที่จะบอกว่าสิ่งที่คุณคิดว่ามีไม่ถึงหมื่นคน หรือมีแค่หมื่นคน จริงๆ แล้วมีมากกว่านั้น

แล้วเราจะชวนกันมาให้ดู ว่ามีมากกว่าหมื่น เพื่อที่จะให้เป็นข้อเสนอกลับมาให้พรรคทบทวนอีกครั้ง แต่ว่ากิจกรรม “หมื่นอัพ”ยังไม่กำหนดวัน เราจะรอให้พรรคตอบ เมื่อพรรคตอบแล้ว ผมจะรอให้ประชาชนมีการอภิปรายระดับหนึ่ง แล้วผมจะถามประชาชนว่ามีถึงหมื่นคนไหม “หมื่นอัพ” ไหม ถ้ามี หมื่นอัพ ผมจะจัด “หมื่นอัพ” ถ้ามีไม่ถึงก็จบ หรือถ้านัดกันว่ามีหมื่นอัพ แต่มากันไม่ถึงหมื่น ผมยอม เพราะเขาบอกว่ามีแค่หนึ่งหมื่นใช่ไหม เราก็ต้องมีมากกว่าหมื่น ถ้ามีมวลชนมาไม่ถึงหมื่น ผมยอม

 

หมายเหตุ : ล่าสุด “บก.ลายจุด” ได้โพสต์ข้อความทางเฟซบุค ช่วงค่ำวันที่ 29 ต.ค.เพื่อนัดหมายจัดกิจกรรม "10,000 UP เราไม่ลืม" ที่ราชประสงค์ ในวันที่ 10 พ.ย.นี้
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net