มิติใหม่ของกลุ่มชาติพันธุ์มอญในพม่า

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

ประเทศเมียนมาร์ในอดีตที่ผ่านมาถือว่าเป็นประเทศหนึ่งที่ถูกจับตามองมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก เพราะถูกกล่าวหาว่ามีการปกครองด้วยระบอบทหาร มีการละเมิดสิทธิ โดยผู้ถูกกระทำมีทั้งประชาชนพม่าเองและชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ

ประชาชนอยู่ด้วยความยากลำบาก มีความไม่ไว้ใจหวาดระแวงซึ่งกันและกัน ทั้งระหว่างรัฐกับประชาชนและประชาชนต่อประชาชนด้วยกันเอง อันเนื่องมากจากประเทศเมียนมาร์มีชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ มากมายทั้งที่จับอาวุธต่อสู้กับอำนาจรัฐ และทนยอมตกอยู่ภายภายใต้อำนาจรัฐ ด้วยปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้ ทำให้ประเทศเมียนมาร์ถูกกดดันอย่างหนักทั้งจากภายนอกประเทศและภายในประเทศเรียกร้องให้ปรับตัวให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของโลก พร้อมกับหยุดการละเมิดสิทธิในทุกด้าน

ปัจจุบันประเทศเมียนมาร์มีพัฒนาการด้านการปกครอง เศรษฐกิจ และสังคม อย่างกว้างขวาง มีการเจรจาสงบศึกกับชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ เปิดประเทศให้นักลงทุนจากทั่วโลกเดินทางมาลงทุน ทำให้เกิดราคาที่ดินแพงยิ่งกว่าประเทศไทยเท่าตัว ตอนนี้ประชาชนตื่นตัวสูงมากทั้งทางด้านการปกครอง สิทธิในการแสดงความคิดเห็น สิทธิในการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในชุมชนของตน

ระหว่างวันที่ 28 กันยายน - 1 ตุลาคม 2556 กลุ่มชาติพันธุ์มอญ ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธและมีการเจรจาสงบศึกกับรัฐบาลพม่ามานานหลายปี เปิดประชุมใหญ่เพื่อเตรียมตัวประชุมสมัชชาใหญ่ปลายปีนี้ และเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนากลุ่มชาติพันธุ์ตนเองต่อไปในอนาคต การประชุมครั้งนี้ได้รับงบสนับสนุนจากต่างประเทศโดยผ่านองค์กรกลุ่มนักเคลื่อนไหวมอญในเมืองมะละแหม่ง

สถานที่ประชุมเป็นหอประชุมใหญ่ใจกลางเมือง ในเมาะละแหม่ง รัฐมอญ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลพม่าเปิดโอกาสให้กลุ่มชาติพันธุ์มอญใช้หอประชุมอันเป็นสถานที่ราชการได้ โดยตัวแทนหลัก ๆ ที่เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย

  1. นายพลโทมอญ หัวหน้าพรรคมอญใหม่ ซึ่งเป็นกลุ่มทหารติดอาวุธ ที่เจรจาสงบศึกษากับพม่าแล้ว
  2. นายโงวเติ้น หัวหน้าพรรคพัฒนาประชาธิปไตยทั่วรัฐมอญ
  3. นายเจนูมอญ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์มอญ

การประชุมวันแรกคือวันเสาร์ที่ 28 กันยายน 2556 รัฐบาลพม่าส่ง นายอูอ่องมิน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มาเป็นประธานเปิดการประชุม โดยมี ผู้ว่าการรัฐมอญ ร่วมเดินทางมาเปิดการประชุมด้วย สำหรับกลุ่มชาติพันธุ์มอญนอกจากมีหัวหน้าพรรคต่าง ๆ เดินทางมาร่วมประชุมแล้ว ยังมีคณะบุคคลมอญเดินทางมาร่วมประชุมหลายประเทศ เช่นจาก ยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย แคนาดา และไทย

วันแรกของการประชุมเปิดโอกาสให้คนมีชื่อเสียงขึ้นบนเวทีแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์มอญและอนาคตคนมอญหลังเปิด AEC เพราะประชาชนคนมอญในประเทศเมียนมาร์ตื่นตัวมากกับการก้าวสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 ผนวกกับในปี 2558 ประเทศเมียนมาร์ จะมีการเลือกตั้งทั่วประเทศอีกด้วย

หลวงพ่อปาลิตะ เป็นพระมหาเถระสงฆ์มอญที่คนมอญทั่วโลกเคารพนับถือ พระสงฆ์รูปนี้เรียกร้องให้รัฐมอญ ซึ่งเป็นดินแดนของบรรพบุรุษมอญกลับมาเป็นของมอญ พร้อมเรียกร้องสิทธิต่าง ๆ ของคนมอญในฐานะเจ้าของแผ่นดินเดิม ผ่านทั้งข้อเขียนและคำเทศนา เคยถูกรัฐบาลพม่าจับกุมติดคุกหลายครั้ง เป็นพระสงฆ์ที่มีบทบาทสูงมากในหมู่คนมอญ คำพูดของท่านเมื่อขึ้นเวทีในงานนี้คำแรกคือ

 “ หมดเวลาแล้ว”

หมายถึงคนมอญหมดเวลาที่จะทะเลาะกัน ชิงดีชิงเด่นกันแล้ว มอญจะต้องร่วมมือกันเพื่อก้าวต่อไปสำหรับอนาคตที่ดีงาม

นายมิน โก นาย อดีตนายกองค์การนักศึกษาเรียกร้องประชาธิปไตย 2531 (1888) ซึ่งเป็นคนมอญ เคยถูกจับกุมขังหลายปี เรียกร้องให้คนมอญรวมตัวกันเพื่อกลุ่มชาติพันธุ์มอญเอง ซึ่งเป็นชนชาติดั้งเดิมในประเทศเมียนมาร์ พร้อมกับพัฒนาให้ก้าวทันต่อความเปลี่ยนแปลงของโลก

ด้านสิทธิสตรี ก็มีการรวมตัวกันเพื่อปกป้องสิทธิสตรีนำโดย นางมิวิหาร เรียกร้องให้สตรีมอญลุกขึ้นมาปกป้องกลุ่มชาติพันธุ์มอญ เรียกร้องด้านสิทธิและการมีส่วนร่วมทางการเมือง

ด้านวัฒนธรรม การศึกษา ผู้แสดงความคิดเห็นคือนายอ่องจะแหนะ ถือว่าเป็นนักปราชญ์มอญ เก่งทางด้านประวัติศาสตร์ รอบรู้ด้านอักษรมอญโบราณ โบราณคดี แต่งหนังสือหลายเล่ม ท่านพูดยังน่าสนใจว่าเหตุผลที่กลุ่มชาติพันธุ์มอญไม่ก้าวหน้าอันเนื่องมาจาก

“ไม่มีเงิน ไม่มีอำนาจ ทำให้ช่องทางของโอกาสตันไปหมด คนมอญทั้งมวลควรร่วมมือกันเพื่อหาเงินและอำนาจ และร่วมกันพัฒนากลุ่มชาติพันธุ์มอญต่อไป”

การประชุมวันที่ 29 กันยายน 2556 ซึ่งเป็นวันที่ 2 เปิดโอกาสให้กลุ่มชาติพันธุ์มอญที่เข้าร่วมประชุมแจ้งเจตจำนงร่วมแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ ส่วนใหญ่เรียกร้องให้พรรคการเมืองมอญทั้ง 2 พรรคยุบรวมตัวกันเป็นพรรคเดียวเพื่อสู้ลงศึกในสนามเลือกตั้งอีก 2 ปีครั้งหน้า

ซึ่งแนวคิดนี้สอดรับกับกลุ่มพระสงฆ์มอญกลุ่มหนึ่งที่ตั้งชื่อกลุ่มว่า “ผู้ประสานกลุ่มชาติพันธุ์มอญเพื่อเป็นหนึ่งเดียว” มีการประชุมนอกรอบก่อนหน้านี้และมีการเชิญผู้เขียนเข้าร่วมประชุมด้วย ชี้แจงเป้าหมายเบื้องลึกในการจัดประชุมในครั้งนี้นอกจากเพื่อเตรียมงานประชุมใหญ่ปลายปีนี้แล้ว เป้าหมายเบื้องลึกที่กลุ่มพระสงฆ์กลุ่มนี้ต้องการจริง ๆ และพยายามขับเคลื่อน กดดัน มาตลอด 18 เดือน โดยมีการพูดคุยกับแกนนำพรรคการเมือง 2 พรรค คือ พรรคพัฒนาประชาธิปไตยทั่วรัฐมอญ และพรรคประชาธิปไตยมอญ คือต้องการให้ยุบทั้ง 2 พรรครวมเป็นพรรคเดียวกัน เพราะพระสงฆ์กลุ่มนี้เชื่อว่าการที่กลุ่มชาติพันธุ์มอญมีพรรคการเมือง 2 พรรค นำมาซึ่งความแตกแยกในหมู่ประชาชนมอญ และทั้งพระสงฆ์กลุ่มนี้ยังเชื่อว่ามีแกนนำพรรคมอญบางคนถูกรัฐบาลพม่าซื้อตัวไปแล้ว

วันที่ 30 กันยายน 2556 วันสุดท้าย การประชุมในวันนี้นำความคิดเห็นของกลุ่มชาติพันธุ์มอญตลอด 2 วันที่ผ่านมา ๆมาสรุป เบื้องต้นมีข้อสรุปหลายประการอาทิ เรียกร้องให้พรรคมอญใหม่ รวมทั้ง 2 พรรคการเมือง ร่วมเจรจากับรัฐบาลพม่าแก้ไขข้อตกลงเดิมที่พรรคมอญใหม่ได้ทำไว้ก่อนเจรจาสงบศึก เพราะในการประชุมครั้งนี้ผู้ร่วมประชุมส่วนใหญ่เห็นว่าข้อตกลงเดิมที่พรรคมอญใหม่ได้ทำไว้กับรัฐบาลพม่าทางกลุ่มชาติพันธุ์เสียเปรียบ และทั้งรัฐบาลพม่าไม่มีความจริงใจในการทำตามสัญญาที่ตกลงไว้ โดยเฉพาะด้านสิทธิประโยชน์ต่าง ๆในรัฐมอญ ทั้งด้านการศึกษา สาธารณสุขและสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และรวมทั้งขอบเขตดินแดน

  1. เรียกร้องให้พรรคการเมืองมอญทั้ง 2 พรรครวมเป็นพรรคเดียวกัน โดยให้กลุ่มพระสงฆ์ผู้ประสานกลุ่มชาติพันธุ์มอญเพื่อเป็นหนึ่งเดียว พรรคมอญใหม่ เป็นผู้ประสานต่อไป

ซึ่งเรื่องนี้ทางพรรคการเมืองทั้ง 2 พรรค เห็นด้วยกับที่ประชุมแต่ขอเป็นเรื่องของอนาคต เพราะเท่าที่สังเกตทั้ง 2 พรรคยังสงวนท่าทีที่จะรวมตัวกัน ถามจากพระสงฆ์และผู้เข้าร่วมประชุมให้คำเห็นตรงกันว่าการยุบรวมเป็นพรรคเดียวระดับหัวหน้าพรรคเห็นด้วย แต่มีแกนนำพรรคบางคนที่เป็นรัฐมนตรีประจำรัฐมอญไม่เห็นด้วย ก่อให้เกิดปัญหาเรื้อรังมาจนทุกวันนี้

  1.  เรียกร้องให้กลุ่มชาติพันธุ์มอญ กำหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาตนเองพร้อมกับจะต้องเรียกร้องสิทธิต่าง ๆ ภายใต้รัฐบาลพม่าต่อไป

สำหรับเมืองมะละแหม่งตั้งอยู่บริเวณปากอ่าวลงสู่ทะเล เป็นเมืองเก่าแก่ อังกฤษเคยปกครองมาก่อน มีตึกและศาสนสถานเก่าแก่ทั้งตึก โบสถ์คริสต์ มัสยิด และวัดโบราณสถานที่เก่าแก่ ประชาชนทั่วไปร้อยละ 60 เป็นกลุ่มชาติพันธุ์มอญ มีหลายล้านคน ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นมิตรกับคนไทยเพราะส่วนใหญ่รู้จักประเทศไทยและเคยมาทำงาน มาเที่ยวในประเทศไทย สินค้าส่วนใหญ่มาจากประเทศไทย มีร้านอาหารไทย 2-3 แห่งซึ่งเปิดโดยคนท้องถิ่น มีนักลงทุนไทยไปลงทุนสนามกอล์ฟ

ปัจจุบันมีสายการบินนกแอร์ของไทยบินจากแม่สอดถึงเมืองมะละแหม่ง ซึ่งใช้เวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น และในอนาคตไม่เกินปลายปีนี้ สายการบินนกแอร์มีนโยบายบินตรงจากกรุงเทพ – เมืองมะละแหม่ง

รัฐบาลพม่า แบ่งการปกครองในรัฐมอญอออกเป็น 2 จังหวัดคือ

จังหวัดเมาะละแหม่ง และ จังหวัดสะเทิม มี 10 อำเภอ แต่สำหรับกลุ่มชาติพันธุ์มอญเองได้การปกครองในรัฐมอญออกเป็น 4 จังหวัด คือ จังหวัดมะแหม่ง จังหวัดสะเทิม จังหวัดด่านพระเจดีย์สามองค์ และ จังหวัดทะวาย

การประชุมใหญ่ของกลุ่มชาติพันธุ์มอญในครั้งนี้ แม้รัฐบาลพม่าจะแสดงความจริงใจด้วยการเปิดโอกาสให้ใช้หอประชุมอันเป็นสถานที่ราชการ ประธานาธิบดีเต่งเส่ง มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเดินทางมาเป็นประธานเปิดการประชุม แต่เท่าที่สังเกตและฟังจากผู้เข้าร่วมประชุมส่วนใหญ่ยังมีความหวาดระแวงต่ออำนาจรัฐ โดยเฉพาะวันที่เปิดการประชุมเกิดไฟดับทั่วเมืองมะละเหม่ง หอประชุมใหญ่ต้องใช้ไฟปั่น ทั้งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่านรอบเมือง ตรวจตราอย่างเข้มข้น แม้กระทั้งสนามบินมีแรงงานมอญท่านหนึ่งเดินทางไปกับผู้เขียนก็ไม่เว้นถูกสายสืบจับกุม เพราะไม่มีบัตรประชาชนพกติดตัว เหตุการณ์เหล่าทั้งหมด คนมอญบางคนเชื่อว่า เป็นเจตนาของรัฐบาลพม่าที่ต้องการขัดขวางการประชุม ซึ่งในอนาคตคงจักต้องดูต่อว่าประเทศเมียนมาร์จะไปทางไหน แต่ที่แน่ ๆ สำหรับประเทศไทย นายลีกวน ยู อดีตนายกรัฐมนตรีสิงค์โปร์เปรียบเทียบว่า

“ พม่ากำลังสังคายนาประเทศครั้งใหญ่เตรียมเปิดประตูสู่โลกภายนอก แต่ไทยยิ่งนับวัน ยังพายเรืออยู่ในอ่างไปไม่ถึงไหนสักที” 

 

หมายเหตุ

บทความใช้ เมียนมาร์ เรียกชื่อประเทศตามหลักสากล และใช้คำว่า พม่า แสดงชาติพันธุ์

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท