กนกรัตน์ เลิศชูสกุล เสนอคำถามคนตุลาเปลี่ยนหรือเราเข้าใจผิดเอง Tyrell Haberkorn เสนอประวัติศาสตร์คนชายขอบประวัติศาสตร์นิพนธ์เดือนตุลา วิจารณ์โดยประจักษ์ ก้องกีรติ
กนกรัตน์ เลิศชูสกุล: การรื้อฟื้นและการก่อร่างสร้างตัวของความเป็น ‘คนเดือนตุลา’
คำถามหลักของงานชิ้นนี้เริ่มต้นจาก คำถามยอดฮิตของคนในยุคสมัยความขัดแย้งเหลืองแดงที่ว่า “ทำไมคนเดือนตุลาฯ จึงเปลี่ยนไป” จากที่คนเดือนตุลาซึ่งเป็นแรงบันดาลใจทางการเมือง กลับกลายมาอยู่ในขั้วตรงข้ามทางการเมือง ภาพคนเดือนตุลาที่มีความเป็นกลุ่มก้อน เป็นฝ่ายก้าวหน้า เป็นฝ่ายซ้าย เป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เป็นนักต่อสู้กับเผด็จการเพื่อความเป็นธรรมของสังคม กลายเป็นกลุ่มคนที่มีความแตกแยก แบ่งขั้ว มีความขัดแย้งแตกต่างจากภาพที่เคยเห็นในอดีต
งานศึกษาชิ้นนี้พยายามก้าวข้ามการอธิบายแบบง่ายๆ ว่า เป็นเรื่องผลประโยชน์และความไร้เดียงสาทางการเมือง โดยพยายามนำเสนอคำอธิบายที่หลากหลาย
เมื่อถามว่า “ทำไมคนเดือนตุลาฯ จึงเปลี่ยนไป” คำอธิบายตั้งต้น คือ จริงๆ แล้วพวกเขาไม่ได้เปลี่ยน แต่พวกเราต่างหากที่เข้าใจผิดว่าพวกเขาเปลี่ยน ทั้งที่ความจริงพวกเขาเหมือนเดิม คือมีความหลากหลาย เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และขัดแย้งกันมาตลอดทั้งด้านความคิดและกระบวนการในการเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่เราเข้าใจผิดไปตามภาพกระแสภายหลัง ในการรับรู้ของคนวงกว้างที่ถูกสร้างขึ้น เมื่อความจริงปรากฏขึ้นเราจึงคิดว่าเขาเปลี่ยน คำถามสำคัญของงานศึกษานี้คือ เราไปเข้าใจว่าเขาเปลี่ยนได้อย่างไร กระบวนการที่ทำให้เราเข้าใจอย่างนั้นคืออะไร
ในความเป็นจริง ภาพการปรากฏตัวของคนเดือนตุลาคมที่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หรือ ‘ประวัติศาสตร์เดือนตุลาฉบับประชาธิปไตย’ นั้นเป็นเรื่องที่ใหม่มาก เพิ่งลงหลักปักฐานในทศวรรษที่ 30 ความจริงในช่วงต้นที่พวกเขาออกมาจากป่าเมื่อทศวรรษ 2520 คนเหล่านี้ไม่ได้ประสบความสำเร็จในการวมตัวกัน การรวมตัวในช่วงแรกเป็นลักษณะแบ่งแยก ไม่มีเป้าหมายทางการเมืองชัดเจน เน้นการรักษาและสานต่อเครือข่ายเพื่อนเก่า มีลักษณะเป็นการชุมนุมศิษย์เก่าเพื่อเยียวยา รักษาบาดแผลทางการเมือง ภาพในความรับรู้ของสังคมช่วงนั้นคือการเป็น ‘ฝ่ายซ้ายผู้พ่ายแพ้’
สาเหตุที่ไม่ประสบความสำเร็จในการวมตัว คือ 1.บรรยากาศทางการเมืองไม่เป็นมิตร อยู่ในช่วงการล่มสลายของ พคท.ใหม่ๆ ถูกจับตาโดยรัฐ จึงกลายเป็นอุปสรรค์ในการสานต่อกิจกรรมทางการเมือง 2.ปัญหาโครงสร้างและเครือข่ายของกลุ่มนักศึกษาในยุค 70-80 ซึ่งหลวมและกระจายอำนาจ 3.ความขัดแย้งทางการเมืองของฝ่ายซ้ายด้วยกันเอง ที่เริ่มตั้งแต่ช่วง 14 ตุลา มาจนออกจากป่า ทำให้ไม่สามารถหาข้อสรุปถึงปัญหาในอดีตและทิศทางในอนาคตร่วมกันได้
มาถึงปีทศวรรษที่ 1990 (พ.ศ.2533-2542) คนเดือนตุลาค่อยๆ ประสบความสำเร็จในกลับการมารวมตัวกันในลักษณะเครือข่ายทางการเมือง รื้อฟื้นความภาคภูมิใจทางประวัติศาสตร์การเมืองในยุค 1970 (2513-2522) และประสบความสำเร็จในการสร้างการยอมรับจากสาธารณะ พวกเขาไม่ได้อยู่ในฐานะ ‘ฝ่ายซ้ายผู้พ่ายแพ้’ แต่กลายเป็น ‘คนเดือนตุลา วีระบุรุษประชาธิปไตย แห่งทศวรรษที่ 1970 งานเฉลิมฉลอง 14 ตุลา และ 6 ตุลา กลายเป็นงานเฉลิมฉลองประชาธิปไตยระดับชาติ
เนื่องมาจากเงื่อนไข คือ 1.บริบททางการเมืองเปลี่ยน สิ้นสุดยุคสงครามเย็น มีการล่มสลายของ พคท.ทำให้รัฐบาลเลิกมองนิสิตนักศึกษาในฐานะภัยคุกคามทางการเมือง มีการเปิดเสรีทางการเมือง จากประชาธิปไตยครึ่งใบสู่ประชาธิปไตยเต็มใบ ชนชั้นกลางประสบความสำเร็จในการต่อต้านการกลับมาของระบอบทหารในยุคพฤษภาทมิฬ มีการเติบโตของขบวนการเคลื่อนไหวภาคประชาสังคม การปฏิรูปการเมือง เหล่านี้ช่วยสร้างบรรยากาศทางการเมืองที่กระตุ้นและเชื้อเชิญให้คนเดือนตุลากลับเข้ามามีบทบาททางการเมือง
และ 2.ความสำเร็จของคนเดือนตุลาที่ก้าวสู่สถานภาพทางการเมืองและสภานะภาพทางสังคมในรูปแบบใหม่ ในฐานะ นักวิชาการผู้มีชื่อเสียง นักการเมืองดาวรุ่ง นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ และเป็นนักเขียน นักแสดง นักร้องที่มีชื่อเสียง สถานภาพใหม่นี้กลายเป็นฐานอำนาจแบบใหม่ทั้งด้านวิชาการและการสื่อสารต่อสาธารณะ
เงื่อนไขที่สร้างอัตลักษณ์ความเป็นตัวตนใหม่ของคนเดือนตุลา มีกระบวนการ 3 อย่าง ที่เกิดขึ้นคู่ขนานกันตลอดช่วง 30 ปี และมาประสบความสำเร็จในช่วงทศวรรษ 2530 คือ 1.การนำเสนอประวัติศาสตร์เหตุการณ์ 14 ตุลา และ 6 ตุลา ในนามของประชาธิปไตย 2.การเลือกนำเสนอภาพลักษณ์และมรดกทางวัฒนธรรมฝ่ายซ้าย ในมุมมองที่สังคมยอมรับได้ และ 3.การสร้างความเป็นสถาบันให้กับความเป็นคนเดือนตุลาผ่านการรื้อล้างประวัติศาสตร์ประชาธิปไตย
Tyrell Haberkorn: ชายขอบประวัติศาสตร์นิพนธ์เดือนตุลา
เดือนตุลามีจำนวนวัน 31 วัน แต่มีวันสำคัญ 2 วัน วันแรก 14 ตุลา (2516) เป็นวันที่ระบอบเผด็จการล่มสลาย หลังจากประชาชนเดินขบวนเรียกร้องประชาธิปไตยที่กรุงเทพฯและทุกจังหวัด อีกวันหนึ่งคือ 6 ตุลา (2519) ซึ่งเป็นวันแห่งความรุนแรง เจ้าหน้าที่รัฐและกลุ่มขวาจัดบุกโจมตีสังหารนักศึกษาที่ชุมนุมกันอยู่ที่ธรรมศาสตร์ และมีรัฐประหารโดยกองทัพ เผด็จการกลับมา เดือนตุลาจึงหมายถึงการเริ่มต้นและสิ้นสุดของช่วงเวลาพิเศษแห่งการเปลี่ยนแปลงสังคมและการเมืองไทย
ทั้ง 14 ตุลา และ 6 ตุลา หากพิจารณาเฉพาะทั้ง 2 เหตุการณ์ในแง่การบันทึกประวัติศาสตร์ หรือการวิเคราะห์วิจารณ์ประวัติศาสตร์ เราจะไม่อาจเข้าใจถึงประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงอย่างหลากหลายที่เกิดขึ้นช่วงนั้น แม้ 14 ตุลา จะเป็นครั้งแรกที่ประชาชนจำนวนมากออกมาเต็มถนน แต่เหตุการณ์ที่กรุงเทพฯ ในวันนั้นไม่ได้ให้ภาพสมบูรณ์ของการทำให้ระบอบเผด็จการล้มลงหรือประชาธิปไตยเกิดขึ้น ส่วน 6 ตุลา ก็เกิดการนองเลือดอันขึ้นในที่อื่นๆ นอกจากกรุงเทพฯ หลังจากการรัฐประหาร
การที่เน้นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในสองวันนั้นที่กรุงเทพฯ ที่เดียวทำให้กรณีอื่นๆ ในที่อื่นๆ ถูกตัดออก และทำให้ประวัติศาสตร์ของสองวันนั้นในกรุงเทพฯ กลายเป็นประวัติศาสตร์ชาติ ทำให้กรุงเทพฯ กลายเป็นศูนย์กลางของการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ถนนเป็นพื้นที่สำคัญที่สุดของการเปลี่ยนแปลง และนักศึกษาและคนกรุงเป็นผู้กระทำเกิดให้การเปลี่ยนแปลงนี้
บทความนี้เล่าถึงและวิเคราะห์ชีวิตของประชาชน 3 คน ที่อยู่ชายขอบประวัติศาสตร์นิพนธ์เดือนตุลา ให้ชัดเจนว่าทั้งสามไม่ได้อยู่ชายขอบของประวัติศาสตร์เดือนตุลา แต่อยู่ชายขอบการเขียนประวัติศาสตร์ที่เน้นกรุงเทพฯ เน้นนักศึกษา และเน้นเหตุการณ์ใหญ่ๆ
มีวัตถุประสงค์ 3 ข้อ คือ 1.ทำให้สิ่งที่ถูกนับว่าเป็นประวัติศาสตร์เดือนตุลาขยายกว้างกว่าเดิม 2.เขียนประวัติศาสตร์ที่แสดงว่า การเปลี่ยนแปลงสังคมเป็นสิ่งที่ได้เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เฉพาะเหตุการณ์ใหญ่ทีเดียว การเปลี่ยนรูปสังคมและการเมืองเริ่มต้นตอนที่ประชาชนตั้งคำถามเกี่ยวกับระบอบระบบเก่า การเขียนประวัติศาสตร์โดยใช้เลนส์ชีวิตบุคคลทำให้เรามองและเข้าใจได้ และ 3.ยืนยันว่าชีวิตบุคคล 3 คนนี้ไม่ใช่มีแค่รายละเอียดน่าสนใจ แต่เป็นส่วนหนึ่งที่พลาดไม่ได้ หากเราจะเข้าใจการเปลี่ยนรูปแห่งเดือนตุลาก็ควรทำให้ประวัติศาสตร์นิพนธ์ช่วงนี้เปลี่ยนขยาย ทั้งเนื้อหาและกรอบคิด
คนแรก อาจารย์องุ่น มาลิก ผู้เป็นแรงผลักให้หลายคนเกิดมีจิตสำนึกทางสังคมและการเมือง เกิดและเติบโตขึ้นในครอบครัวเศรษฐีที่กรุงเทพฯ จบปริญญาโทจิตวิทยาจากสหรัฐอเมริกา อาจารย์องุ่นขึ้นไปเชียงใหม่เพื่อสอนจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยที่เพิ่งเปิดใหม่เมื่อปี 2507 ตอนที่อายุ 51 ปีแล้ว และได้รวมกับอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ จัดตั้งให้นักศึกษาไปซ่อมแซมวัดฝายหินซึ่งอยู่ติดมหาวิทยาลัย โครงการดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นขยายการเคลื่อนไหวของนักศึกษาและความสนใจของอาจารย์องุ่นต่อกิจกรรมนักศึกษา
ก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลา อาจารย์องุ่นได้ลงมือร่วมทำวารสารสิ่งพิมพ์และกลุ่มละครของนักศึกษา และเป็นสมาชิกสภาอาจารย์ และหลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลา อาจารย์องุ่นเข้าร่วมในงานกิจกรรมการเคลื่อนไหวสังคมและการเมืองที่ต่อต้านอำนาจที่ไม่ชอบธรรมอย่างเต็มที่ อีกทั้งได้มีส่วนร่วมในการผลักดัน พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าที่ด้วย ต่อมาเมื่อเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา อาจารย์องุ่นถูกกักขังภายใต้อำนาจของคำสั่งที่ 22 ที่ออกเมื่อวันที่ 13 ต.ค.19 โดยคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ร่วมกับครู ชาวนาชาวไร่ นักศึกษา และข้าราชการ อีก 40 คนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นภัยต่อสังคมทางการเมือง
คนที่ 2 หมออภิเชษฐ์ นาคเลขา แพทย์หนุ่มจากกรุงเทพฯ ที่เลือกไปทำงานเป็นแพทย์สาธารณสุขประจำที่ อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ในปี 2517 จากการที่เกิดจิตสำนึกก้าวหน้าและร่วมต่อสู้เพื่อความยุติธรรม โดยหมออภิเชษฐ์เป็นตัวอย่างชัดๆ ของจินตนาการของสังคมที่ดีกว่าในช่วงระหว่าง 14 ตุลาและ 6 ตุลา ในฐานะข้าราชการที่ทำงานเพื่อประชาชน ซึ่งมีการเคลื่อนไหว 14 ตุลา เป็นแรงบันดาลใจ
สิ่งที่ทำให้หมออภิเชษฐ์ถูกจับตาคือ ความร่วมมือกับประชาชนเพื่อปราบทุจริตใน อ.พร้าว ทำให้ถูกขู่ฆ่า และถูกเขียนจดหมายร้องเรียนว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ต่อมาเย็นวันหนึ่งในเดือน พ.ค.2518 มีการจัดงานฉายสไลด์ของของประชาชนและการเคลื่อนไหว 14 ตุลา ที่ห้องสมุดชุมชน ในคืนนั้นบ้านของบ้านนายอำเภอพร้าวถูกเผา ต่อมาจึงตัดสินใจกลับกรุงเทพฯ เพราะห่วงความปลอดภัยของคนที่อยู่ใกล้ชิด และไม่มีโอกาสกลับไปรับราชการ จนเสียชีวิตเมื่อเดือน พ.ย.2549
คนที่ 3 คือพ่อหลวงอินถา ศรีบุญเรือง ปัญญาชนชาวนาจากภาคเหนือที่ต่อสู้เพื่อ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่านา เขาเข้าร่วมการเคลื่อนไหวก้าวหน้าครั้งแรกตอนนักศึกษาประท้วงเรียกร้องให้กองทัพอเมริกาออกจากประเทศในเดือน ก.ค.2516 ต่อมาในเดือน ก.ย.2517 พ่อหลวงอินถานำกลุ่มชาวนาสารภีเข้าร่วมการชุมนุมที่กลางเมืองเชียงใหม่ และได้รับเลือกเป็นตัวแทนเดินทางไปร่วมการชุมนุมที่กรุงเทพฯ ตอนที่สหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทยก่อตั้งเมื่อวันที่ 19 พ.ย.2517 เขาถูกเลือกเป็นรองประธานระดับชาติและประธานภาคเหนือ
ความสำเร็จประการแรกของสหพันธ์ฯ คือการประกาศใช้ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่านา พ.ศ.2517 ที่ให้จำนวนข้าวที่ต้องจ่ายเป็นค่าเช่านาเดิมลดลง และทำให้ชาวนาไม่ต้องขึ้นอยู่กับอำเภอใจของเจ้าของที่ดิน ช่วง 8 เดือนระหว่างการผ่าน พ.ร.บ.ดังกล่าว ในเดือน ธ.ค.2517 จนถูกสังหารในเดือน ก.ค.2518 พ่อหลวงอินถาเดินทางไปทุกอำเภอในเชียงใหม่เพื่อคุยแลกเปลี่ยนกับชาวนาเรื่องสิทธิใหม่ที่ได้จาก พ.ร.บ.นี้
ทั้งนี้ พ่อหลวงอินถา ถูกข่มขู่ครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ไม่เคยหยุดการเคลื่อนไหว และหลังจากนั้นถูกสังหาร ตำรวจสามารถจับผู้ต้องหาได้แต่ก็ปล่อยตัวในเวลาต่อมา อีกทั้งเจ้าหน้าที่รัฐยังปฏิเสธความสำคัญและบทบาททางการต่อสู้ทางการเมืองของพ่อหลวงอินถาด้วย
บทสรุป ไม่ใช่เหตุการณ์14 ตุลา และ 6 ตุลาไม่มีความสำคัญ เพราะทั้งสองเหตุการณ์มีความหมายต่อชีวิตของแทบทุกคนในช่วงนั้น รวมทั้งบุคคลทั้งสามด้วย แต่การเน้นแต่ 2 เหตุการณ์ ทำให้ประวัติศาสตร์เดือนตุลาไม่สมบูรณ์ การมองและเขียนประวัติศาสตร์โดยเลนส์ของชีวิตบุคคลทำให้เราได้เห็นและเข้าถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบและระดับต่างๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนรุ่นหลังๆที่ไม่ใช่เป็นแค่ผู้อ่านประวัติศาสตร์แต่เป็นนักต่อสู้ที่อยากเปลี่ยนสังคมเช่นกัน
วิจารณ์โดยประจักษ์ ก้องกีรติ
ประจักษ์ ก้องกีรติ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งคำถามต่องานศึกษา ‘การรื้อฟื้นและการก่อร่างสร้างตัวของความเป็นคนเดือนตุลา’ กับคำถามที่ว่า “ทำไมคนเดือนตุลาฯ เปลี่ยนไป” แต่ทำไมไม่มีการตั้งคำถามแบบเดียวกันนี้กับคนรุ่นอื่นๆ หรือนักต่อสู้รุ่นอื่นๆ แม้แต่ในกลุ่มคนพฤษภา 35 ซึ่งก็มีความคิดไปคนละทิศละทาง ทำไมคนเดือนตุลาจึงกลายเป็นจำเลยทางประวัติศาสตร์ของสังคมและในทางวิชาการ ทั้งที่ ในประวัติศาสตร์ทุกคนเปลี่ยน และในทุกสังคมด้วย
งานศึกษานี้กำลังศึกษาในสิ่งที่ความจริงแล้วเป็นกระบวนการปกติในประวัติศาสตร์ของทุกสังคม โดยเฉพาะการต่อสู้ที่มีคนจำนวนมากเข้าร่วม ไม่มีทางที่ทุกคนจะเห็นตรงกันตั้งแต่ต้น และแน่นอนว่าเมื่อเวลาผ่านไปทุกคนเปลี่ยนได้ โดยเฉพาะเมื่อเหตุการณ์เกิดมา 40 ปีแล้ว จากคนหนุ่มสาวที่เคยเคลื่อนไหวมาเป็นคนวัย 60 ซึ่งคาดหวังให้ความคิดเหมือนเดิมไม่ได้
สิ่งที่อยากชวนคิดต่อ คือ มุมมองเปรียบเทียบกับสังคมอื่นๆ ว่ามีประสบการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นหรือไม่ เช่น คนหนุ่มสาวที่ลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวทางการเมืองในฝรั่งเศส อเมริกา ญี่ปุ่น ฯลฯ จากงานศึกษาของอาจารย์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (ANU) ศึกษาขบวนการนักศึกษาญี่ปุ่นในปี 1960 ที่เปลี่ยนไป โดยสัมภาษณ์อดีตนักศึกษาฝ่ายซ้ายซึ่งกลายมาเป็นนักคิดคนสำคัญของฝ่ายขวาที่มีชื่อเสียงในสังคม
ผู้ให้สัมภาษณ์ได้ตั้งคำถามว่าการเปลี่ยนนั้นผิดตรงไหน การคิดว่าเปลี่ยนแปลงไม่ดีนั้นมีจุดเริ่มจากความเข้าใจทางปรัชญาที่ว่า สิ่งแรกเริ่มดีกว่า เป็นความบริสุทธิ์ ส่วนการเปลี่ยนคือการถูกปนเปื้อน โดยตัวเขาคิดว่าตัวตนในปัจจุบันกำลังทำสิ่งที่ดีกว่าสิ่งที่ทำในอดีต มีความถูกต้อง และสำคัญกว่า
ในแง่นี้ หากศึกษาคนตุลาที่ไปเป็นเสื้อเหลือง แสดงให้เห็นว่าจากมุมของเขา เขาก็ยังคงต่อสู้เพื่อสังคม แต่อุดมการณ์ที่ต่อสู้เป็นคนละชุดกับอุดมการณ์ของคนเดือนตุลาที่อยู่ฝั่งเสื้อแดง เป็นคนละชุดกับตัวตนของเขาในอดีต และในขณะเดียวกันก็มีคนเดือนตุลาที่ไม่ได้สนใจการเมืองแล้วด้วย
กรอบการศึกษาแม้จะสรุปว่าคนเดือนตุลาไม่ได้เปลี่ยน เราเข้าใจผิดเอง ส่วนตัวคิดว่าความจริงมีหลายกรณีที่เปลี่ยน และคำถามที่สำคัญกว่าคือเปลี่ยนแล้วผิดตรงไหน ผิดเพราะมีการเอาชุดอุดมการณ์ของเราไปวิพากษ์วิจารณ์หรือตัดสินเขาหรือไม่
การที่งานศึกษา พูดถึงการเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ แล้วทำให้ 14 ตุลา และ 6 ตุลา กลายเป็นประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น ทำให้คนอ่านรู้สึกว่าการเขียนประวัติศาสตร์ใหม่เช่นนี้ผิด แต่ส่วนตัวรู้สึกว่าไม่ผิดที่เราจะตีความว่า 14 ตุลา และ 6 ตุลา คือส่วนหนึ่งของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย มีคุณูปการสร้างประชาธิปไตยในสังคมไทย เพียงแต่เราให้คำนิยามประชาธิปไตยอย่างไร อุดมการณ์แบบ พคท.ไม่ได้เป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยหรือมันเป็นประชาธิปไตยอีกรูปแบบหนึ่ง อาจต้องคุยในรายละเอียด
แต่งานศึกษาเขียนราวกับจะทำให้ความเป็นซ้าย ความเป็น พคท.กับประชาธิปไตยเป็นคนขั้วตรงข้ามกัน ส่วนตัวไม่เห็นด้วย และทำให้เกิดคำถามว่าการต่อสู้แบบซ้ายไม่มีส่วนในการสร้างประชาธิปไตยขึ้นมาหรือ
ส่วนงานศึกษาของ Tyrell ที่ศึกษา ชีวิตคน 3 คน คือ อาจารย์องุ่น มาลิก หมออภิเชษฐ์ นาคเลขา และพ่อหลวงอินถา ศรีบุญเรือง ตั้งคำถามว่า ‘คนเดือนตุลา’ หมายถึงใครบ้าง ทั้ง 3 คน คือคนเดือนตุลาหรือไม่ เมื่อทั้ง 3 ต่างก็เกิดความตื่นตัวเข้าร่วมต่อสู้ทางสังคมจากเหตุการณ์เดือนตุลา และถึงที่สุดคนเดือนตุลาเป็นแค่กลุ่มนักศึกษาหรือเปล่า ไม่ได้รวมกรรมการ ชาวนา หรือครูที่มาทำงานเพื่อสังคมเอาไว้ด้วย เมื่อพูดถึงคนเดือนตุลาเรานับรวมใครและไม่นับรวมใครบ้าง
งานศึกษาเป็นการศึกษาชีวิตของคนที่ไม่ถูกโฟกัสมาก่อน และเห็นด้วยกับคำวิจารณ์ที่ว่าประวัติศาสตร์นิพนธ์เดือนตุลามีศูนย์กลางกระจุกตัวอยู่ที่กรุงเทพฯ และอย่างที่หากคนวิพากษ์วิจารณ์คือเป็นประวัติศาสตร์ของธรรมศาสตร์ แม้แต่ประวัติศาสตร์นักศึกษาก็มีการตั้งคำถามว่าสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ อยู่ที่ไหน จึงไปศึกษาตัวละครอื่นๆ ไปรื้อฟื้นคนเหล่านี้ขึ้นมา แต่ถึงที่สุดแล้วคนเหล่านี้อาจไม่ใช่คนชายขอบที่ไม่มีตัวตนจริงๆ ทุกท่านมีตัวตนทางสังคม ไม่ถึงกับเป็นชายขอบ ยังมีคนที่เป็นชายขอบกว่านี้ที่เราไม่รู้จักเลย ตรงนี้คงเป็นหน้าที่ของนักประวัติศาสตร์ที่อยากศึกษาคนตัวเล็กตัวน้อยจริงๆ
จริงที่ประวัติศาสตร์ตุลากีดกันและละเลยคนจำนวนมากไป แต่ส่วนตัวมองว่าปัญหาของ 14 ตุลา และ 6 ตุลา ไม่ใช่เรื่องปัญหาของชายขอบ แต่เป็นปัญหาเรื่องศูนย์กลางที่ศึกษาไม่ได้ กลายเป็นข้อบกพร่องของประวัติศาสตร์ 14 ตุลา และ 6 ตุลา เพราะคนที่มีบทบาทมากหลายคน หลายกลุ่มที่อยู่ตรงศูนย์กลางกลับถูกทำให้พูดถึงไม่ได้อย่างสมบูรณ์ เราจึงไม่สามารถเข้าใจ 14 ตุลา และ 6 ตุลาได้อย่างสมบูรณ์
“ความขัดแย้งในหมู่ชนชั้นนำในช่วงนั้น ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความสำคัญต่อการเกิดขึ้นของ 14 ตุลา และมันจบลงตรงที่ 6 ตุลา นั้นแหละเป็นประวัติศาสตร์ที่เป็นประวัติศาสตร์ชายขอบ ในความหมายที่มันไม่เคยถูกศึกษา เจาะลึก อย่างจริงจัง ซึ่งไม่ใช่เพราะมันไม่มีความสำคัญ แต่เราไม่ได้รับอนุญาตให้พูดถึงได้” ประจักษ์ กล่าวในที่สุด
หมายเหตุ
การสัมมนา "หลัง 14 ตุลา" จัดโดย สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ร่ามกับ คณะกรรมการ 14 ตุลา เพื่อประชาธิปไตยสมบูรณ์
ในวันที่ 5-6 ตุลาคม 2556 ณ ห้องประกอบ หุตะสิงห์ ชั้น 3 ตึกอเนกประสงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
ดูกำหนดการที่ http://prachatai.com/activity/2013/09/48526