กสทช. กับความเสียหายของประเทศจากความล่าช้าในการประมูลคลื่น 4G

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

เมื่อสัปดาห์ก่อน  ผู้เขียนดูรายการตลกของคุณโน้ต อุดม แต้พานิช  คุณโน้ตบอกว่าเรา (คนไทย) มักคิดว่าเราดีกว่าประเทศเพื่อนบ้านเรา  แต่ลาวเขามี 4G มานานแล้ว  แต่ประเทศไทยสงสัยจะต้องรอ “ชาติหน้า” 

ความล้าหลังทางด้านโทรคมนาคมของประเทศไทยนั้นมิได้เป็นเพียงเรื่องขบขัน ในการจัดลำดับความสามารถในการแข่งขันล่าสุดของ Institute of Management Development (IMD) ในปี พ.ศ. 2555 พบว่า คุณภาพของบริการหลัก 5 ประเภท ได้แก่ บริการขนส่งทางบก  ขนส่งทางอากาศ  การเงิน พลังงาน และ โทรคมนาคม  ประเทศไทยมาเป็นอันดับที่สามในอาเซียนตามหลังสิงคโปร์ และ มาเลเซียทุกบริการ  ยกเว้นบริการโทรคมนาคมซึ่งมาเป็นอันดับที่ 4  แพ้ฟิลิปปินส์ซึ่งมีระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ด้อยกว่าไทย

ผู้เขียนเห็นว่า ที่ผ่านมาพัฒนาการของกิจการโทรคมนาคมล้าหลังมีปัญหามากมายสืบเนื่องจากอุปสรรคหลายประการ เช่น ระบบสัมปทาน ความล่าช้าในการสรรหากรรมการของหน่วยงานกำกับดูแล การแก้ไขกฎหมายว่าด้วยองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ การฟ้องร้องเรื่องการประมูลคลื่น 3G ครั้งแรก ฯลฯ   ปัญหาทั้งหลายเกิดจากผลประโยชน์อันมหาศาลของกิจการโทรคมนาคมทำให้เกิดการแย่งชิงผลประโยชน์กัน  แต่ในที่สุดเราก็เริ่มปลดล็อคปัญหาได้ จากการที่มีการประมูลคลื่น 3G เมื่อปลายปีที่แล้ว  แม้การประมูลคลื่นความถี่ครั้งนั้น เป็นเสมือนการ “แจกคลื่น”  มากกว่า  เพราะไม่มีการแข่งขันจริงระหว่างผู้ประมูล 3 ราย

มาปีนี้ ประเทศไทยมีความหวังที่จะได้ใช้บริการ 4G ซึ่งมีความเร็วในการดาวน์โหลดข้อมูลสูงสุดถึง 100 Mbps หรือมากกว่า 3G ห้าเท่าดังเช่นในลาว  เนื่องจากสัมปทานคลื่น 1800 MHz ของบริษัท ทรู และ ดีพีซี จะสิ้นสุดลงในเดือนกันยายน  แต่สุดท้ายแล้ว คณะกรรมการกำกับกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) กลับตัดสินใจที่ให้ผู้ประกอบการรายเดิมใช้คลื่นต่อไปอีก 1 ปี โดยอ้างว่าเพื่อที่จะให้ผู้ใช้บริการใช้บริการได้อย่างต่อเนื่อง ไม่เกิดเหตุ “ซิมดับ”  คำถามคือ ปัญหา “ซิมดับ” นั้นเป็นปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือ เป็นปัญหาที่ กสทช. ก่อขึ้นมาเอง

ผู้เขียนเห็นว่า  การกระทำของ กสทช. ที่ผ่านมาน่าจะสะท้อนกรณีหลังมากกว่า  เนื่องจาก กสทช. ละเลยที่จะดำเนินการใดๆ เพื่อป้องกันปัญหาซิมดับ  แม้จะทราบข้อมูลดังกล่าวแล้วตั้งแต่มารับหน้าที่ในปี พ.ศ. 2554  และมีการจัดทำแผนแม่บทการบริหารคลื่นความถี่ ตั้งแต่เดือนเมษายน ปี พ.ศ. 2555 ซึ่งระบุชัดเจนว่า  คลื่นความถี่เมื่อหมดอายุสัมปทานแล้วต้องคืนเพื่อนำมาประมูล บริษัทเอกชน คือทั้งทรูและดีพีซีก็เคยมีจดหมายถึง กสทช. ว่าพร้อมโอนเลขหมายทั้งหมดเมื่อหมดอายุสัญญา โดยทรูมูฟจะโอนลูกค้าไปให้เรียลมูฟ และ ดีพีซีจะโอนลูกค้าซึ่งมีเพียงไม่ถึงแสนรายให้ กสท.  แต่ กสทช. กลับนิ่งเฉยต่อข้อเสนอของเอกชนที่มีการเสนอเข้ามาตั้งแต่ ต้นปี พ.ศ. 2555

คณะอนุกรรมการเตรียมความพร้อมสำหรับการบริหารคลื่นความถี่วิทยุโทรคมนาคมระบบเซลลูล่า Digital PCN 1800 ซึ่งผู้เขียนได้เข้าร่วมเป็นกรรมการ  ได้เสนอให้ กสทช. ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการหมดอายุสัญญาสัมปทานอย่างเร่งด่วนตั้งแต่เดือนมกราคมปีนี้  เพื่อให้ผู้ใช้บริการรับทราบ และ มีโอกาสในช่วงเวลา 8 เดือนที่จะเลือกที่จะย้ายไปค่าย True move H  AIS หรือ DTAC ได้ตามความสมัครใจ  แต่ กสทช. กลับไม่ดำเนินการแต่อย่างใดในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา ผู้เขียนเพิ่งเห็นประกาศแจ้งการหมดอายุสัมปทานลงหนังสือพิมพ์เมื่อต้นเดือนสิงหาคม ก่อนสัญญาสัมปทานจะสิ้นสุดลงเพียง 1 เดือนกว่า 

การที่ผู้ใช้บริการไม่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับการหมดอายุสัมปทาน  ทำให้ยังคงมีการเปิดใช้บริการหมายเลขใหม่และสมัครบริการเสริมใหม่ที่มีรายการส่งเสริมการขายหรืออายุการใช้งานเกินระยะเวลาสัมปทาน รวมทั้งมีการเติมเงินจำนวนมากที่อาจใช้ไม่หมดเมื่อสัญญาสัมปทานสิ้นสุดลง ฯลฯ    จึงไม่เป็นที่แปลกใจว่า  เหตุใดจึงมีผู้ใช้บริการจำนวนมากที่ค้างอยู่ในระบบที่จะได้รับความเดือดร้อนหากมีการระงับการให้บริการของผู้ประกอบการรายเดิม

ความล่าช้าในการประมูลคลื่น 1800 MHz มีต้นทุนที่สูงต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย  ผู้เขียนได้เคยประมาณการอย่างคร่าวๆ ว่า ความเสียหายดังกล่าวน่าจะมีมูลค่าประมาณ แสนกว่าล้านบาทต่อปี  ตัวเลขดังกล่าวอ้างอิงมาจากบทความทางวิชาการ  ซึ่งประเมินความเสียหายจากความล่าช้าในการประมูลคลื่น 3G ในประเทศอังกฤษ ว่า ความเสียหายที่มีมูลค่าสูงที่สุด ไม่ใช่ความเสียหายจากรายได้จากการประมูล  แต่มาจากค่าเสียโอกาสของภาคธุรกิจและผู้ใช้บริการที่จะใช้บริการสื่อสารข้อมูลรูปแบบใหม่ๆ และที่รวดเร็ว ซึ่งประเมินได้ว่ามีมูลค่าประมาณ 5-7 เท่าของราคาคลื่นความถี่ที่ใช้ในการให้บริการต่อปี [1]

ผู้เขียนมีความเห็นว่า คลื่น 1800 MHz หรือ คลื่น 4G นั้นน่าจะมีราคาไม่น้อยกว่าคลื่น 3G ดังจะเห็นได้ว่า True ได้นำคลื่นที่ 2.1 GHz ที่ประมูลได้เมื่อปลายปีที่แล้วไปเปิดให้บริการ 4G แทน 3G  หากเรานำราคาคลื่น 3G ที่ 4500 ล้านบาทต่อ 5 MHz มาประมาณการรายได้ในกรณีที่มีการประมูลคลื่น 1800 MHz ซึ่งมีทั้งหมด 25 MHz ในเดือนกันยายนปีนี้ จะได้เป็นวงเงิน 22,5000 ล้านบาท  เมื่อคูณด้วย 5 – 7 ก็จะได้ค่าเสียโอกาสประมาณ 112,500 – 157,500 บาทต่อปี 

ตัวเลขดังกล่าวเป็นการประมาณการเพียงคร่าวๆ เพื่อให้สาธารณชนสามารถตระหนักถึงขนาดของความเสียหายที่เกิดกับเศรษฐกิจของประเทศจากความล่าช้าในการมีบริการ 4G  เพราะดูเหมือน กสทช. จะไม่ได้ให้ความสนใจใดๆ แก่ประเด็นนี้  หากแต่จะมุ่งเน้นแต่เรื่องของการป้องกันมิให้เกิดปัญหาซิมดับซึ่งแท้จริงแล้วตนเป็นผู้ก่อขึ้นมาเอง

อนึ่ง การที่ กสทช. ให้ข่าวว่าตัวเลขความเสียหายดังกล่าวสูงเกินควรเพราะคลื่น 1800 MHz มีการใช้งานอยู่แล้วมิใช่คลื่นใหม่เช่น 2.1 GHz นั้นฟังไม่ขึ้น เพราะลูกค้าในระบบทั้งหมดสามารถโอนย้ายไปยังคลื่นอื่นๆ ที่มีอยู่ได้ตามที่ผู้ให้บริการรายเดิมเสนอ  แต่ กสทช. คงยืนกรานว่าจะต้องให้บริษัทเอกชนใช้คลื่นที่หมดอายุสัญญาสัมปทานในการรองรับลูกค้าเท่านั้นเหมือนกับมีธงปักไว้แล้ว

ผู้เขียนได้ศึกษาแนวทางในการโอนย้ายผู้ใช้บริการจำนวนมาก (mass migration) ในต่างประเทศ  พบว่า  หน่วยงานกำกับดูแลจะทำแผนและเตรียมการประมูลและการโอนย้ายผู้ใช้บริการล่วงหน้าก่อนที่ใบอนุญาตจะหมดอายุลงล่วงหน้านับปีเพื่อหลีกเลี่ยงความจำเป็นในการยืดอายุใบอนุญาต  แต่จนบัดนี้ กสทช. ยังไม่มีแผนและมาตรการโอนย้ายและเยียวยาผู้ใช้บริการที่ประกาศใช้อย่างเป็นทางการ ไม่มีการจัดตั้งอนุกรรมการประมูลคลื่น 1800 MHz ไม่มีการจัดจ้างที่ปรึกษามาคำนวณราคาขั้นต่ำ ฯลฯ  ดังนั้น ข้ออ้างว่า “ ทำไม่ทัน” จึงเป็นข้ออ้างที่รับไม่ได้ เพราะข้อมูลเชิงประจักษ์แสดงให้เห็นชัดเจนว่า กสทช. “ไม่ได้ทำอะไร” มากกว่า

ผู้เขียนเห็นว่า เรามีความจำเป็นต้องทบทวนรูปแบบของ “องค์กรอิสระ” กำกับดูแลกิจการสาธารณูปการทั้งหลาย  เพราะดูเหมือนองค์กรเหล่านี้มีแต่ความเป็นอิสระ (independence) ทั้งในการตัดสินใจ งบประมาณ และบุคลากร หากแต่ขาดความรับผิดชอบต่อผลงาน   (accountability)  หากเราต้องการให้มีการใช้เงินของรัฐปีละ 3,500 ล้านบาทให้เกิดประโยชน์แก่กิจการโทรคมนาคม  คงจะต้องมาช่วยกันตรวจสอบการทำงานของ กสทช. มากขึ้น.

 

 

[1] Thomas Hazle, Roberto Munoz และ Diego Avanzier (2012), What Really Matters in Spectrum Allocation Design? Northwestern Journal of Technology and Intellectual Property, Vol 10. Issue 3.

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท