จดหมายเปิดผนึกถึงกระทรวงศึกษาฯ: โรงเรียนวิถีพุทธ...วิถีของใคร ?

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

ลูกชายของดิฉันอายุ 2 ขวบครึ่ง อยู่ในวัยกำลังซน ช่างพูดช่างถาม อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็จะเข้าโรงเรียนแล้ว รอบบ้านของดิฉันมีโรงเรียนอนุบาลหลากสไตล์ให้เลือกช็อป ทั้งนานาชาติเน้นลูกฝรั่ง นานาชาติกลิ่นอายปลาดิบ หรือโรงเรียนไทยก็มีทั้งของรัฐและเอกชน ทั้งแบบภาษาไทยและสองภาษา ระหว่างที่ดิฉันกำลังขะมักเขม้นหาโรงเรียนให้ลูก ก็มีอันต้องสะดุดกับโรงเรียนอนุบาลทางเลือก ที่บางแห่งก็เรียกตัวเองว่า “โรงเรียนวิถีพุทธ” บางแห่งก็สรรค์สร้างเป็น “โรงเรียนพุทธปัญญา” อืมมม... มันคืออะไรนั่น ดิฉันคิดอยู่ในใจด้วยความทึ่งแกมระทึกใจ โรงเรียนอนุบาลมีแบบเป็นโรงเรียนสอนศาสนาด้วยหรือ                                                                                                                         

ข้อมูลจากเว็บไซต์ของโรงเรียนวิถีพุทธระบุว่า โครงการนี้เป็นความร่วมมือกันระหว่างสำนักพัฒนานวัตกรรมการจัดการศึกษา ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ และมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยให้คำจำกัดความ “โรงเรียนวิถีพุทธ” ว่า “คือโรงเรียนระบบปกติทั่วไปที่นำหลักธรรมพระพุทธศาสนามาใช้ หรือประยุกต์ใช้ในการบริหารและการพัฒนาผู้เรียนโดยรวมของสถานศึกษา เน้นกรอบการพัฒนาตามหลักไตรสิกขาอย่างบูรณาการ”[1]

นอกจากนี้ยังอธิบายถึงแนวคิดโรงเรียนวิถีพุทธ โดยสรุปมาจากการบรรยายของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโน) ณ หอประชุมพุทธมลฑล เมื่อ พ.ศ. 2547 ว่า “โรงเรียนวิถีพุทธเป็นสถาบันที่มีความสำคัญทั้งนี้เพราะ พระพุทธศาสนามีความสําคัญต่อการศึกษาไทยมีสูงมาก การศึกษาที่เรียกร้องว่า ต้องการคุณธรรม  จริยธรรมให้พระพุทธศาสนาเพาะเลี้ยงคนตั้งแต่เยาว์วัยให้เกิดความเคยชินกับความดี สร้างความรู้สึกนึกคิดสูงขึ้นตามวัยและหน้าที่ ผู้ใหญ่จึงต้องประคับประคองให้อยู่ในความดีงามไม่หลงจนไม่มีหลักของตัวเอง สิ่งสําคัญ   คือ  การรักษาความอิสระทางสติปัญญา กลัวตกเป็นทาสทางสติปัญญาจนลืมความเป็นไทย โรงเรียนที่กล้าแสดงตนเป็นโรงเรียนวิถีพุทธ  จึงเป็นความสําเร็จขั้นหนึ่ง และเป็นเกียรติ โรงเรียนวิถีพุทธจะเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงความดีงาม งดงามให้แก่ชาติหากเฉยนานไปเด็กไทยจะตกเป็นทาสทางสติปัญญา โรงเรียนวิถีพุทธต้องแข็งแกร่งเพื่อประเทศชาติ ดังนั้นการที่รัฐบาลมีนโยบายดำเนินงานโรงเรียนวิถีพุทธก็เพื่อให้เกิดพลังร่วมกันให้โอกาสพลังที่มีอยู่และสังคมไทยมีพระพุทธศาสนาเป็นรากฐาน”[2]  (อันนี้ก็อปปี้มาทั้งย่อหน้านะคะ ไม่มีการแก้ตัวสะกดหรือตัดต่อใด ๆ)

ตัวเลขล่าสุดเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2556 ระบุยอดรวมโรงเรียนที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการโรงเรียนวิถีพุทธแล้วทั้งสิ้น 17,733 โรงเรียน[3] (เริ่มดำเนินโครงการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2546)

คำนำของเอกสารแนวทางการดำเนินงานโรงเรียนวิถีพุทธ โดย ดร. สิริกร มณีรินทร์ ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการในขณะนั้น (พฤษภาคม 2546) ได้อ้างสถิติว่าประเทศไทยมีพุทธศาสนิกชนถึง 95%[4] (ดิฉันไม่ทราบที่มาของตัวเลขนี้ เนื่องจากเอกสารไม่ได้ระบุไว้) โดยเอกสารดังกล่าวยังกำหนดแนวทางการดำเนินงานโรงเรียนวิถีพุทธไว้อย่างครอบคลุมทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการเรียนการสอนและการพัฒนาบุคลากรและคุณลักษณะบุคลากร ที่มีการแนะแนวให้เน้นการจัดกิจกรรมทางพุทธศาสนา เช่นในส่วนของนักเรียนก็ให้มีพิธีแสดงตนเป็นพุทธมามกะ กิจกรรมค่ายพุทธบุตร บรรพชาสามเณรฤดูร้อน การไหว้พระสวดมนต์หน้าเสาธงทุกเช้า นิมนต์พระมาสอนธรรมะ กิจกรรมสวดมนต์สรภัญญะและทำบุญตักบาตรประจำสัปดาห์ การเดินพร้อมท่องคติธรรมขณะเข้าห้องเรียน ฯลฯ โดยทั้งนี้ยังไม่รวมกิจกรรมพิเศษอื่น ๆ เนื่องในวันสำคัญทางพุทธศาสนา

ส่วนในด้านบุคลากรของโรงเรียน ก็ให้ “ส่งเสริมการปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน  ทั้งนี้เพื่อให้บุคลากรมีคุณลักษณะที่ดีตามวิถีพุทธ”[5] อีกทั้งยังระบุไว้ชัดเจนว่าผู้บริหารสถานศึกษา ครู อาจารย์ และบุคลากรต้องมีคุณลักษณะสำคัญเป็นอันดับแรกคือเป็นผู้ที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนา[6]

ในระยะ 10 ปีตั้งแต่จัดตั้งโครงการโรงเรียนวิถีพุทธเป็นต้นมา กระทรวงศึกษาธิการได้ริเริ่มโครงการที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันนี้อีกหลายโครงการ เช่น โครงการโรงเรียนดีศรีตำบล (ซึ่งกำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์มาก เนื่องจากวัดพระธรรมกายได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ทำหน้าที่อบรมธรรมะแก่บุคลากรของโรงเรียน) โครงการโรงเรียนคุณธรรมชั้นนำ (พัฒนาต่อยอดมาจากโครงการโรงเรียนวิถีพุทธอีกที  โดยเพิ่มเติมเรื่องการให้อิสระในการนับถือศาสนาและแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง แต่ยังคงอยู่ภายใต้การกำกับดูแลร่วมกับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย) และโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน เป็นต้น

นโยบายซึ่งนำไปสู่ความร่วมมือกันระหว่างกระทรวงศึกษาธิการและองค์กรทางพุทธศาสนาเหล่านี้ เป็นนโยบายที่ดิฉันมองว่าทั้ง aggressive และสวนกระแสโลกไม่น้อย สังคมในระบอบประชาธิปไตยยึดหลักการเคารพสิทธิส่วนบุคคลและความเสมอภาคของคนทุกคน ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะสังกัดอยู่ในกลุ่มชนหมู่น้อย หมู่ใหญ่ หรือหมู่ไหนของสังคม ผู้กำหนดนโยบายเคยสอบถามความคิดเห็นของคนที่นับถือศาสนาอื่น หรือคนที่ไม่ต้องการนับถือศาสนาบ้างไหม ว่าคนเหล่านั้นเห็นดีเห็นงามกับโครงการเช่นนี้หรือไม่ นอกจากนี้ งบประมาณค่าใช้จ่ายในโครงการฯก็ย่อมต้องมาจากภาษีของประชาชนชาวไทยทุกคน  ไม่ได้เลือกเก็บจากเฉพาะคนที่นับถือศาสนาพุทธใช่มั้ยคะ

ตัวเลข 95% ไม่ได้แปลว่าคนที่ประกอบวิชาชีพในสถานศึกษาและนักเรียนทุกคนจะนับถือศาสนาพุทธนะคะ ดิฉันคิดว่าการอ้างตัวเลขนี้ไม่มีความหมายอะไรเลย เพราะไม่ว่าประเทศไทยจะมีพุทธศาสนิกชนอยู่ 99%, 50%, 30% หรือ 2% ก็ตาม รัฐบาลไม่มีสิทธิที่จะดำเนินนโยบายซึ่งปฏิบัติราวกับว่าประชาชนในประเทศไทยทุกคนนับถือศาสนาพุทธ

ที่สำคัญที่สุด โครงการเหล่านี้กำลังบอกอะไรแก่สังคม หรือพูดให้ชัด ๆ คือกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ กำลังส่งสัญญาณถึงคนที่พำนักอยู่ในประเทศไทยทุกคนว่า รัฐบาลไทย favour ศาสนาพุทธเหนือศาสนาอื่น ใช่หรือไม่ ?  นั่นไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือคะ  รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปี 2550 มาตรา 30 วรรค 3 ระบุว่า “การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ จะกระทำมิได้”

ดิฉันคิดว่าไม่ถูกต้องที่รัฐบาลพยายามผลักดันศาสนาหนึ่งศาสนาใดให้มีบทบาทและอิทธิพลเหนือโรงเรียนและหลักสูตรการเรียน สถานการณ์เช่นนี้ไม่เพียงแต่จะบ่อนทำลายระบบการศึกษาของรัฐโดยรวมเท่านั้น แต่ยังแสดงว่ารัฐกำลังล่วงละเมิดและลิดรอนสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน นั่นคือสิทธิและเสรีภาพในการนับถือศาสนาของนักเรียน ครูอาจารย์ รวมถึงบุคลากรในโรงเรียนนั้น ๆ                                                                           

ดิฉันเห็นด้วยว่า เยาวชนจำเป็นต้องเข้าใจในบทบาทที่ศาสนามีต่อสังคม ตลอดจนตระหนักในความสำคัญที่ระบบความเชื่อมีต่อคนจำนวนหนึ่ง

อย่างไรก็ดี ดิฉันเชื่อว่าการอบรมสั่งสอนในเชิงลึกเกี่ยวกับศาสนาใดศาสนาหนึ่งนั้น ควรเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ (ด้วยความสมัครใจทั้งผู้สอนและผู้เรียน) ไม่ใช่หน้าที่ของระบบการศึกษาของรัฐ

การเรียนการสอนเกี่ยวกับศาสนามีคุณประโยชน์มากมายในแง่ของการสร้างความเข้าใจและความสามัคคีในชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกที่มีคนหลากหลายอยู่รวมกัน และในสังคมประชาธิปไตยซึ่งยึดถือหลักความเสมอภาคและเสรีภาพเป็นสำคัญ  เยาวชนจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะทำความเข้าใจ เคารพ และอดทนในจุดยืนที่แตกต่างของคนแต่ละคน ดังนั้นหลักสูตรวิชาศาสนาจึงควรเน้นการนำเสนอความหลากหลายและความแตกต่าง เพื่อปูทางให้เยาวชนเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพของโลกและสังคมประชาธิปไตย

ดังนั้น ดิฉันขอเรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการและผู้ที่เกี่ยวข้อง ทบทวนนโยบายการแปลง “โรงเรียน” ให้เป็น “วัด” ซึ่งกำลังปรากฏเป็นรูปธรรมผ่านโครงการเช่น โรงเรียนวิถีพุทธ ฯลฯ แล้วทดแทนด้วยหลักสูตรการเรียนการสอนที่เน้นเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ศึกษาเกี่ยวกับประเด็นศีลธรรมและจริยธรรมด้วยทัศนคติที่เปิดกว้างและเป็นกลางมากที่สุด

ดิฉันอยากเห็นการเรียนการสอนเกี่ยวกับศาสนามีเนื้อหาที่ครอบคลุมปรัชญาทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับศาสนา ไม่ว่าจะเป็นความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับศาสนา ลัทธิ และความเชื่อต่าง ๆ ไปจนถึงแนวคิดการไม่นับถือศาสนา (irreligion) และฆราวาสนิยม (secularism) ด้วย                          

ที่สำคัญ หลักสูตรการเรียนการสอนนี้ควรต้องปลอดจากการแทรกแซงขององค์กรทางศาสนาหรือกลุ่มลัทธิความเชื่อ ส่วนผู้ที่ทำหน้าที่ร่างหลักสูตรควรเป็นนักวิชาการหรือนักการศึกษาที่ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน หรือได้รับอิทธิพลจากองค์กรทางศาสนาหรือกลุ่มลัทธิใด ๆ รวมทั้งควรเป็นผู้ที่สามารถแยกแยะความเชื่อส่วนตัวออกจากการปฏิบัติงานเพื่อสาธารณะได้

ดิฉันคิดว่าเด็ก ๆ ในสังคมประชาธิปไตยต้องการระบบการศึกษาที่เตรียมความพร้อมให้พวกเขาสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง และมีความรับผิดชอบต่อชีวิตและชุมชนของพวกเขา นั่นคือหลักสูตรการเรียนที่เน้นให้พวกเขามีความรู้และความเข้าใจในเรื่องการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม และกฏหมาย ไม่ใช่ระบบการศึกษาที่ต้องการหล่อหลอมให้พวกเขาเป็นเหมือนผลิตภัณฑ์ที่โขกออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน หรือพยายามสร้างให้พวกเขาเป็นพลเมือง “ตัวอย่าง” ตามหลักศาสนาใดศาสนาหนึ่ง

ในทัศนะของดิฉัน การเป็น “คนดี” ในสังคมประชาธิปไตยนั้นมีความหมายกว้างไกลกว่าความหมายในเชิงศีลธรรมและจริยธรรม เพราะระบอบประชาธิปไตยจะดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อประชาชนมีความตื่นตัวที่จะมีส่วนร่วมในกิจการสาธารณะด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม รวมถึงเห็นความสำคัญของกฏหมาย สิทธิมนุษยชน และความเสมอภาค มีความปรารถนาที่จะพึ่งพาตนเอง ตลอดจนใส่ใจในสวัสดิภาพและคุณภาพชีวิตของคนในสังคมโดยรวม

ความหวังของดิฉันคือการได้เห็นเจ้าลูกชายตัวน้อยเติบโตขึ้นในสังคมที่เจริญงอกงามตามวิถีระบอบประชาธิปไตย สังคมที่ตั้งมั่นอยู่บนหลักของการให้โอกาสทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าคุณจะนับถืออะไร หรือไม่นับถืออะไรเลยก็ตาม สังคมที่มีพื้นที่เสมอสำหรับจุดยืนที่แตกต่าง สังคมที่พร้อมจะรับฟัง ทำความเข้าใจ แล้วถกเถียงกันบนหลักเหตุผล และที่สำคัญ ใจกว้างเสมอต่อคำวิพากษ์วิจารณ์                                                                                 

ถ้าให้เปรียบเทียบรัฐกับคน ดิฉันคิดว่ารัฐในระบอบประชาธิปไตยน่าจะเป็นเหมือนคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง ใจกว้าง และรู้จักไว้เนื้อเชื่อใจคนอื่น ไม่ใช่คนอ่อนแอที่ขาดความมั่นคงทางอารมณ์ และขี้ระแวงเสียจนต้องพยายามควบคุมและครอบงำคนอื่นอย่างไม่ลืมหูลืมตาเช่นนี้

-----------------------------------------



[1] http://www.vitheebuddha.com/main.php?url=about&code=story

[2] เว็บไซต์เดียวกัน

[3] http://www.vitheebuddha.com/main.php?url=school

[4] กระทรวงศึกษาธิการ, แนวทางการดำเนินงานโรงเรียนวิถีพุทธ. (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์, 2546), ปฐมบท.

[5] เรื่องเดียวกัน, น. 5.

[6] เรื่องเดียวกัน, น. 30.

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท