Skip to main content
sharethis

ศาลอาญาเลื่อนนัดการตรวจพยานหลักฐานในคดีแกนนำพันธมิตรฯ บุกรุกทำเนียบรัฐบาลปี 51 และอนุญาตให้พิจารณาคดีลับหลังจำเลยได้ โดยทนายอ้างเหตุจำเลยเดินทางไปต่างประเทศบ่อยครั้ง ด้านสนธิให้สัมภาษณ์พร้อมจับมือกลุ่มอื่นหากมุ่งปฏิรูปประเทศ

 
เว็บไซต์ข่าวสด รายงานว่า เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 26 สิงหาคม  ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า ที่ห้องพิจารณาคดี 708 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดตรวจพยานหลักฐานคดีกลุ่มพธม.บุกรุกทำเนียบรัฐบาล ปี 2551 ในคดีหมายเลขดำ อ. 4925/2555 ที่อัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง, นายสนธิ ลิ้มทองกุล พร้อมพวกซึ่งเป็นแกนนำรวม 4 คน และคดีหมายเลขดำ อ.276/2556 ที่ยื่นฟ้องนายสมศักดิ์ โกศัยสุข และนายสุริยะใส กตะศิลา ในความผิดฐานร่วมกันบุกรุกโดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป และร่วมกันทำให้ให้เสียทรัพย์กรณีร่วมกันบุกรุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล เมื่อปี 2551 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 , 91 , 358 , 362 และ 365  ซึ่งในชั้นสอบคำให้การจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ 
         
โดยวันนี้นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความจำเลย แถลงต่อศาลขอเลื่อนตรวจพยานหลักฐานไปอีก 1 นัด เนื่องจากจำเลยได้ขอแต่งตั้งทนายความเพิ่มเติมอีก 2 คน ส่วนอัยการโจทก์แถลงคดีมีเอกสารต้องพิจารณาจำนวนมาก  ขณะเดียวกันทนายความจำเลยได้ยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีลับหลังจำเลย เนื่องจากระบุว่าจำเลยทั้ง 6 คนติดภารกิจเดินทางไปต่างจังหวัดและต่างประเทศบ่อยครั้ง ไม่สามารถเดินทางมาศาลได้ทุกนัด ซึ่งศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้พิจารณาคดีลับหลังจำเลยได้ และสั่งเลื่อนการตรวจพยานหลักฐานไปวันที่ 28 พฤศจิกายนนี้ เวลา 09.00 น. 
         
ด้านนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำ พธม. กล่าวภายหลังว่า  กลุ่มพันธมิตรฯ ได้แถลงยุติบทบาทลง เพราะมีเป้าหมายสำคัญที่ต้องการเปลี่ยนแปลงและปฎิรูปการเมืองของประเทศไทย โดยขณะนี้มวลชนก็สามารถไปเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มต่างๆได้อย่างอิสระ ส่วนในวันข้างหน้าหากประชาชนส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันแล้วว่ามีความจำเป็นที่จะต้องปฏิรูปประเทศไทย ทางแกนนำพันธมิตรฯ ก็สามารถจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง  และพร้อมจะเข้าร่วมกับทุกกลุ่ม ไม่เว้นแม้กับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เพราะทั้ง 2 มีกลุ่มมีอุดมการณ์การสู้เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติเหมือนกัน แต่กลุ่มนปช. ต้องก้าวข้ามพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก้าวข้ามการหมิ่นสถาบันไปได้ 
 
นอกจากนั้น นายสนธิ ยังยืนยันว่า การยุติบทบาทของกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่ได้รับเงินจากพ.ต.ท.ทักษิณ อย่างที่หลายฝ่ายเข้าใจ
 
ด้านเว็บไซต์ผู้จัดการ เผยแพร่คำให้สัมภาษณ์ของนายสนธิ ต่อบทบาทหลังการยุติกลุ่มพันธมิตรฯ และจุดยืนต่อการปฏิรูปประเทศ ดังนี้
       
สนธิ : อย่างที่ได้แถลงไปแล้ว การยุติบทบาทก็คือว่า เราเปิดโอกาสให้พวกพันธมิตรฯทั้งหลายซึ่งมันเป็นนามธรรมสามารถจะเลือกตัดสินใจได้ว่าจะเข้าไปต่อสู้เรื่องอะไรบ้าง สำหรับเราแล้ว เราสู้เรื่องเดียวเท่านั้นเอง คือเรื่องการปฏิรูปการเมือง เราต้องการจะเปลี่ยนแปลงประเทศ ประเทศไทยมีความจำเป็นต้องเปลี่ยน ไม่เปลี่ยนไม่ได้ ถ้าไม่เปลี่ยนแล้วพังพินาศหมดเลย เพราะฉะนั้นแล้วการปฏิรูปการเมืองที่รัฐบาลทำนั้น เป็นเรื่องหลอกลวงคน ในที่สุดแล้วก็กลับไปสู่ความพินาศชิบหายเหมือนเดิม
       
ประเทศต้องรื้อใหม่หมด ระบบการเมืองต้องเปลี่ยน การแบ่งชนชั้นต้องลดน้อยลง ความไม่เท่าเทียมกันในทางด้านเรื่องรายได้ต้องแคบลง คนไทยจะต้องมีโอกาสมากขึ้นในการทำมาหากิน แล้วก็บริบทของทุนจะต้องถูกกำจัดลงไป แล้วการที่จะมีตัวแทนของประชาชนเข้าไปนั้น ไม่ใช่จะมีจากการเลือกตั้งอย่างเดียว เพราะการเลือกตั้งอย่างเดียวนั้นคือการสะสมคะแนน สะสมตัวเลข เพื่อไปบวกลบคูณหารกันในสภา แล้วทำอย่างไรที่จะให้ฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัตินั้นต้องแยกจากกันโดยเด็ดขาด เพราะว่าโดยพื้นฐานแล้ว บริหารกับนิติบัญญัติต้องเป็นคนละพวกกัน แต่การเมืองเมืองไทยเป็นมาหลายสิบปีแล้ว บริหารกับนิติบัญญัติเป็นพวกเดียวกันหมด ประธานรัฐสภาก็เป็นพวกเดียวกัน
       
เพราะฉะนั้นแล้วอนาคตทางการเมืองแบบนี้จะนำพาประเทศไทยไปสู่ความพินาศชิบหาย พันธมิตรฯ แกนนำพันธมิตรฯ เห็นแล้วว่ามันไปไม่ได้ เราก็เลยคิดว่าถ้าอย่างนั้นแล้ว เรายุติบทบาทของเราก่อนเป็นยุทธวิธี แล้ววันหนึ่งข้างหน้าถ้าคนเห็นด้วยกับเราก็จะกลับมาหาเรา ถ้าวันนั้นถ้าเขาพร้อม เราพร้อม เราก็จะเข้าร่วมกับเขา ไม่จำเป็นต้องเป็นแกนนำอีก ไม่จำเป็น อันหนึ่งที่แน่นอนคือแกนนำพันธมิตรฯ ไม่ได้มีเงินรายได้พิเศษมาจากทักษิณ ชินวัตร เหมือนคนอื่นเขามี เพราะฉะนั้นแล้วทุกอย่างที่เราทำ ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ จบไหม
       
นักข่าว : แล้วในเรื่องของที่ตอนนี้มันมีหลายกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหว
       
สนธิ : ก็ต้องปล่อยเขาว่ากันไป จะกลุ่มไหนก็ตาม แต่สำหรับพวกเราแล้ว ผมในขณะนี้เป็นแค่พันธมิตรฯ คนหนึ่ง ถ้าผมจะเข้าร่วมกับใครนั้น กลุ่มนั้นจะต้องเป็นชูธงการปฏิรูป เปลี่ยนแปลงประเทศ ผมต้องการความเปลี่ยนแปลง ผมต้องการความเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าเสื้อแดง เสื้อเหลือง การเปลี่ยนแปลงสำคัญมาก เปลี่ยนแปลงให้ลูกหลานเราได้รับการศึกษาที่ดีขึ้น เปลี่ยนแปลงยังไงที่จะทำให้เด็กบ้านนอกเรียนหนังสือได้สู้เด็กในกรุงเทพฯ เปลี่ยนแปลงยังไงจะทำให้คนจนมีโอกาสทำมาหากิน ได้รับทุนอุดหนุนสนับสนุนให้เขาเจริญเติบโตได้ เปลี่ยนแปลงยังไงที่จะให้คนจน เวลาไปรักษาพยาบาลไม่ต้องกินยาพาราเซตามอล เพื่อแลกกับนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค นั่นคือสิ่งที่ผมอยากจะเปลี่ยนแปลง
       
และผมคิดว่านี่เป็นสิ่งซึ่งไม่มีสี ถ้าเสื้อแดงก้าวข้ามทักษิณ ชินวัตร ไปได้ ต้องก้าวข้ามทักษิณ ชินวัตรให้ได้ แล้วถ้าเสื้อแดงก้าวข้ามเรื่องสถาบันกษัตริย์ไปได้ ผมคิดว่าสิ่งที่เสื้อแดงกับพวกเราเรียกร้องไม่ต่างกันเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะประชาธิปไตยของผมไม่ได้ว่าเป็นประชาธิปไตยที่จะเอาทักษิณกลับบ้าน หรือประชาธิปไตยของผมไม่ใช่เป็นประชาธิปไตยที่จะให้รัฐบาลมีอยู่ต่อแล้วก็คดโกง แล้วนักการเมืองร่ำรวย แล้วใช้มวลชนเป็นเครื่องมือ นั่นคือสิ่งที่ผมต่อสู้ให้
       
นักข่าว : ก็หมายความว่าถ้าสมมติว่าเสื้อแดงก้าวข้ามทักษิณอะไรได้ ถ้ามีจุดประสงค์เดียวกันเราก็พร้อมที่จะร่วม
       
สนธิ : ผม ส่วนตัวผมพร้อม ถ้าเขาก้าวข้ามทักษิณได้ ก้าวข้ามเรื่องสถาบันกษัตริย์ได้ เขายังเทิดทูนสถาบันกษัตริย์เหมือนกัน ผมคิดว่าสิ่งที่เขาสู้ไม่ได้ต่างอะไรกัน เราสู้เรียกร้องให้เอา ปตท. กลับคืนมาสู่ประเทศไทย คนไทยมันบ้ากันไปแล้ว น้ำมัน 2 ลิตรร้อยบาทมันอยู่กันได้ยังไง แล้วให้ไอ้พวก ปตท.มันรวย ให้พวกนักการเมืองที่ถือหุ้น ปตท.อยู่รวย แล้วคนไทยลำบากถ้วนหน้า นี่คือสิ่งที่ผมสู้ ถ้าไม่อยากเห็นด้วย ไม่อยากจะร่วมด้วยก็ไม่เป็นไร ก็ปล่อยให้ชาติบ้านเมืองมันชิบหายไปเลย ชัดเจนไหม
 
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net