Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

สรุปความเป็นมาของกรณีที่ดินแม่ตาว
 
1. ประมาณปี 2547 (2003) คนอเมริกันกลุ่มหนึ่งระดมทุนได้ 2.5 ล้านมอบให้หมอซินเธีย หม่อง ผู้อำนวยการคลินิกแม่ตาว เพื่อซื้อที่ดินสองแปลง แปลงหนึ่งไว้ขยายโรงพยาบาล อีกแปลงไว้ทำโรงเรียนเด็กยากจน/ต่างด้าว จดหมายของหมอซินเธียที่ตอบขอบคุณชาวอเมริกันมีดังนี้ (click)
 
2. ในขณะนั้น มีการเสนอให้มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ช่วยจดทะเบียนครอบครองที่ดินมูลค่ารวมกัน 2.5 ล้าน ซึ่งตั้งอยู่ที่ต.แม่ตาว อ.แม่สอด จ.ตาก (โฉนดที่ดินเลขที่ 1108 เนื้อที่ 1 งาน 13.3 ตรว. และโฉนดที่ดินเลขที่ 13389 เนื้อที่ 2 งาน 2 ตรว.) เนื่องจากคลินิกแม่ตาวไม่เป็นนิติบุคคลและหมอซินเธียไม่ได้เป็นบุคคลที่ถือสัญชาติไทย ในขณะนั้น มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์มี อ.ประมวล เพ็งจันทร์ เป็นประธาน อ.ชัชวาล ปุนปันเป็นกรรมการ และมีกรรมการท่านอื่น ๆ รวมทั้ง พระกิตติศักดิ์ กิติโสภโณที่ต่อมาได้ขึ้นเป็นประธานมูลนิธิแทนด้วย
 
ที่ผ่านมาที่ดินทั้งสองแปลงยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ แปลงหนึ่งติดกับคลินิกแม่ตาว อีกแปลงอยู่ห่างออกมา แต่มีแผนการขยายบริการรักษาพยาบาลและงานด้านการศึกษา ไม่ใช่ที่ตั้งของคลินิกแม่ตาวในปัจจุบัน
 
3. การทำนิติกรรมจดทะเบียนที่ดินเมื่อปี 2547 ทำที่สำนักงานที่ดินแม่สอด โดยอ.ประมวลกับอ.ชัชวาลเป็นคนเดินทางไป (ปรากฏรายละเอียดตามสำเนาโฉนดที่ดินดังนี้  (click) จะเห็นได้ว่าราคาที่ดินทั้งสองแปลงรวมกัน 2.5 ล้านพอดี ไม่มีเงินเหลือไป “เคลื่อนไหวทางการเมือง” เหมือนที่กล่าวอ้าง
 
4. มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ก่อตั้งขึ้นโดยความดำริของ อ.สุลักษณ์ ศิวรักษ์ กรรมการยุคเริ่มต้น ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ปรึกษามูลนิธิ ได้แก่ พระสิงห์ทน นราสโภ (ซึ่งเป็นผู้ครอบครองที่ดินของสำนักสงฆ์เมตตาธรรม อ.ฝาง เชียงใหม่), อ. สุลักษณ์ ศิวรักษ์,นายพิภพ ธงไชย, นายสุรสีห์ โกศลนาวิน และนายอนันต์ วิริยะพินิจ
 
5. นอกจากรับจดทะเบียนครอบครองที่ดิน ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ยังรับเอาโครงการคลินิกแม่ตาว โครงการเกี่ยวกับชายแดน องค์กรสิ่งแวดล้อมจากต่างประเทศบางแห่งเข้ามาอยู่ใต้ร่ม ทำให้มูลนิธิมีรายได้จากการเก็บค่าธรรมเนียมการโอนเงินจากแหล่งทุนในต่างประเทศ ผ่านบัญชีมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ปีละเกือบล้านบาททุกปี นอกเหนือจากการขอทุนจากสสส.และหน่วยงานอื่น
 
6. จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่คลินิกแม่ตาวเมื่อปลายเดือน มิ.ย.56 ที่ผ่านมา พบว่ามีการโอนสิทธิครอบครองที่ดินทั้งสองแปลงจากมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ไปให้กับนายตำรวจรายหนึ่ง ตั้งแต่เดือนพ.ย.55 และเม.ย.56 ที่ผ่านมา ซึ่งการกระทำดังกล่าว ขัดกับความประสงค์ของคลินิกแม่ตาวและคุณหมอซินเธีย ซึ่งได้เขียนจดหมายถึงประธานมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ ตั้งแต่เดือนพ.ย. 55 ขอให้มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจากมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ไปให้กับมูลนิธิสุวรรณนิมิต ซึ่งมีคุณหมอวิชัย โชควิวฒนเป็นประธาน
 
ก่อนหน้านั้นเมื่อปี 2553 ตัวแทนจากคลินิกแม่ตาวได้เคยเดินทางไปยังสำนักสงฆ์เมตตาธรรมที่อ.ฝาง เชียงใหม่ เพื่อร้องขอด้วยวาจาว่าให้โอนที่ดินกลับมาที่มูลนิธิสุวรรณนิมิต ซึ่งเป็นองค์กรร่มดูแลคลินิกแม่ตาวในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา แต่ที่ผ่านมายังไม่มีการปฏิบัติตาม
 
ข้อโต้แย้งจากพระกิตติศักดิ์ ประธานมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์  (click) (เอาเฉพาะที่สำคัญ) (หมายเหตุ ปรากฏว่า หลัง 9.00 น.วันที่ 5 ก.ค.นี้เอง พระกิตติศักดิ์น่าจะมีการลบ status หรือเปลี่ยน security ของ status ตัวเอง ทำให้ไม่สาธารณชนไม่สามารถเข้าไปดูข้อมูลได้อีก ด้านล่างเป็นข้อมูลที่ผม copy ไว้ก่อนการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว หรือสามารถดูภาพที่ capture ไว้ได้จาก (click) )  

“๕. การดำเนินงาน และการดำเนินการของมูลนิธิฯ อันเนื่องมาจากการถูกกดดันให้กระทำนิติกรรมอำพราง และภายหลังเป็นการพยายามแก้ไขต่อความผิดพลาด ที่ถูกบีบบบังคับให้กระทำ เช่น การที่บุคคลบางกลุ่มประสงค์จะรับเงินจากต่างประเทศ แล้วล่อลวงให้มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ร่วมรับผิด หรือรับผิดแทน นั้น ย่อมมีความชอบธรรม ที่มูลนิธิฯ จะแก้ไขข้อผิดพลาดในอดีต และพยายามดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย เท่าที่สามารถจะกระทำได้

๖. การกระทำการ หรือการกระทำใดๆ ที่ส่อให้เห็นว่ามีความพยายาม ในอันที่จะทำลายชื่อเสียงของมูลนิธิฯ หรือผู้เกี่ยวข้อง จะต้องมีการดำเนินการตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้ต่อไป
 
๗. ในกรณีที่มีการระบุว่า มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ จะดำเนินการยึดที่ดินคืน หรือเปิดโอกาสให้บุคคล หรือกลุ่มบุคคลใดๆ ยึดที่ดินคืน หรือขัดขวางการดำเนินงานของคลินิคที่มีการกล่าวอ้างในส่วนของการช่วยเหลือบุคคลข้ามแดน ล้วนแล้วแต่เป็นการกล่าวหาอันเป็นเท็จทั้งสิ้น

๘. อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินของมูลนิธิฯ ในสถานที่ซึ่งมีการกล่าวอ้าง ย่อมถือว่าเป็นการพ้นความรับผิด หรือปลดเปลื้องการถูกกล่าวหา ว่ามูลนิธิฯ ให้การช่วยเหลือกลุ่มบุคคลผู้กระทำผิด ทั้งในส่วนของกฎหมายความมั่นคงในราชอาณาจักร และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องนั้น และจากนี้ไป หากไม่มีการอนุญาตโดยลายลักษณ์อักษรจากมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ ก็ถือได้ว่า ไม่มีผู้ใดสามารถกล่าวอ้างได้ ว่ากระทำการภายใต้ความรับผิดชอบของมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์”
 
สรุปก็คือพระกิตติศักดิ์ ประธานมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์บอกว่า “สาเหตุที่ต้องโอนที่ดินให้กับตำรวจนายนั้นเพื่อให้มูลนิธิปลดเปลื้องภาระและความเสี่ยงจากการดำเนินงานของคลินิกที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องความมั่นคง และคลินิกทำผิดข้อตกลงกับมูลนิธิ เช่นการขอเลขที่บ้าน การก่อสร้างโดยอ้างชื่อมูลนิธิ แต่สาเหตุที่เกิดเรื่องขึ้นมาเนื่องจากเป็นประเด็นขัดแย้งทางการเมือง พระมีคดีฟ้องร้องกับเสื้อแดงที่ใกล้ชิดกับรัฐบาล เลยต้องการลดความน่าเชื่อถือของพระ” (ขออนุญาตแชร์จาก Pratheep Mekatitam)
 
ข้อโต้แย้งของผม
 
1. พระกิตติศักดิ์ ในฐานะประธานมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์อ้างว่า การเข้าไปจดทะเบียนครอบครองที่ดินของคลินิกแม่ตาวเป็นเรื่อง “รู้เท่าไม่ถึงการณ์” (โปรดดู คำให้สัมภาษณ์กับ National Channel 4 ก.ค. 56 ) โดยระบุว่า มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ยอมรับว่าจัดซื้อที่ดินนี้มาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่เมื่อได้ทำไปแล้ว มูลนิธิก็ได้ช่วยดูแลคลินิกแม่ตาว แล้วต้องชี้แจงกับฝ่ายความมั่นคงบ้าง ฝ่ายเจ้าหน้าที่ของรัฐบ้าง...ในกรณีที่คลินิกแม่ตาวไม่ได้ทำตามเงื่อนไขของกฎหมายไทย
 
สอดคล้องกับที่พระมาเขียนใน facebook ในเวลาต่อมาว่า การดำเนินการของมูลนิธิฯ อันเนื่องมาจากการถูกกดดันให้กระทำนิติกรรมอำพราง (เน้นโดยผู้เขียน)
 
ประเด็นของผมคือ มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์รับเอาคลินิกแม่ตาวและโครงการที่ทำงานด้านชายแดนหลายแห่งเข้ามาอยู่ใต้ร่มกว่า 10 ปี ตั้งแต่ก่อนปี 2547 ถ้าโครงการเหล่านี้กระทำการผิดกฎหมาย คณะกรรมการมูลนิธิน่าจะพิจารณาให้โครงการเหล่านี้ออกไปนานแล้ว แต่เหตุใดจึงไม่ทำ
 
ส่วนการครอบครองและใช้ประโยชน์ในที่ดิน ตั้งแต่เริ่มต้นทางมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยว แต่ภายหลังน่าจะเกิดกรณีที่มีการ “ขอเลขที่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต” ตามที่พระชี้แจง (เนื่องจากตอนนั้นทางคลินิกแม่ตาวต้องการก่อสร้างอาคารในที่ดิน จึงต้องขอเลขที่บ้านเพื่อขอติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้า) เป็นเหตุให้มีการจัดทำ MoU บันทึกความเข้าใจทั้งสองฝ่ายระหว่างมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ฝ่ายหนึ่ง กับคุณหมอซินเธีย คลินิกแม่ตาวอีกฝ่าย เมื่อเดือนเมษายน 2553 นี้เองเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว (click)
 
MoU ฉบับนี้กำหนดกรอบคร่าว ๆ ในการใช้ประโยชน์ในที่ดิน ไม่ได้มีระเบียบชัดเจนกว่านั้นที่ออกตามมา การที่พระอ้างว่า เหตุที่ต้องโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินไปให้เอกชนนั้น เพราะ “คลินิกทำผิดข้อตกลงกับมูลนิธิ เช่นการขอเลขที่บ้าน การก่อสร้างโดยอ้างชื่อมูลนิธิ” เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนการจัดทำ MoU ฉบับนี้ และหลังจากนั้นมา ทางคลินิกแม่ตาว โดยตัวแทน นอกจากจะเดินทางไปขอโทษพระถึงสำนักสงฆ์เมตตาธรรม อ.ฝางแล้ว ยังได้ยุติการดำเนินงานใด ๆ ในที่ดินดังกล่าวด้วย
 
การอ้างว่าคลินิกแม่ตาวทำผิด “ข้อตกลง” (ซึ่งคงหมายถึง MoU ฉบับนี้) จึงไม่มีมูลความจริง
 
2. พระกิตติศักดิ์อ้าง “มูลนิธิฯ (ถูกกล่าวหาว่า) ให้การช่วยเหลือกลุ่มบุคคลผู้กระทำผิด ทั้งในส่วนของกฎหมายความมั่นคงในราชอาณาจักร และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องนั้น ความเสี่ยงจากการดำเนินงานของคลินิกที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องความมั่นคง” เป็นเหตุให้ต้อง “พยายามแก้ไขต่อความผิดพลาด ที่ถูกบีบบังคับให้กระทำ เช่น การที่บุคคลบางกลุ่มประสงค์จะรับเงินจากต่างประเทศ แล้วล่อลวงให้มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ร่วมรับผิด หรือรับผิดแทน” (ข้อความจาก facebook ของพระ)
 
ประเด็นของผมคือ การดำเนินงานที่ผ่านมากว่า 10 ปีของคลินิกแม่ตาวและคุณหมอซินเธียเป็นที่ประจักษ์ต่อหน่วยงานราชการไทย ทั้งในส่วนท้องถิ่นและส่วนกลาง ใน “แต่ละปีแม่ตาวคลินิกให้บริการกับแรงงานข้ามชาติและชนกลุ่มน้อยในพื้นที่ และต่างพื้นที่ ปีละนับแสนคน เป็นศูนย์การทำเอกสารรับรองการเกิด เพื่อให้เด็กที่มีปัญหาสัญชาติได้เรียนและ มีสิทธิ์ตามที่ควรได้รับ เป็นหน้าด่านที่คอยเฝ้าระวังโรคระบาดให้กับสาธารณสุขในพื้นที่ ผมว่าพื้นที่ตรงนั้นสร้างประโยชน์มหาศาล แถบจะเป็นกระทรวงสาธารณสุขของชนกลุ่มน้อยแถบชายแดนตะวันตก” (ขออนุญาตแชร์จาก Klaikong Vaidhyakarn)
 
ไม่นับรางวัลเกียรติคุณ ทั้งในทางส่วนตัวและองค์กรของคุณหมอซินเทียและคลินิกแม่ตาวอีกมากมาย (click)
 
น่าสนใจว่า ข้อกล่าวหาของพระที่ว่าคลินิกแม่ตาวเป็น “กลุ่มบุคคลผู้กระทำผิด ทั้งในส่วนของกฎหมายความมั่นคงในราชอาณาจักร และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง” นั้น มีข้อมูลมารองรับอย่างไรบ้าง และถ้าเป็นอย่างนั้นจริง จะอธิบายอย่างไรว่า เหตุใดทางมูลนิธิยังรับโครงการนี้มาอยู่ใต้ร่ม และอนุญาตให้คลินิกแม่ตาวใช้ประโยชน์จากที่ดินทั้งสองแปลงที่มูลนิธิครอบครองได้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา   
 
และตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา ทางคลินิกแม่ตาวได้ย้ายสังกัดมาอยู่ใต้ฉายามูลนิธิสุวรรณนิมิต ซึ่งมีคุณหมอวิชัย โชควิวัฒน เป็นประธาน มีคุณหมอพลเดช ปิ่นประทีปเป็นรองประธานกรรมการ (ตามรายงานการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิสุวรรณนิมิตครั้งที่ 2/2554 (click)) โดยในการประชุมครั้งนั้นมีการแต่งตั้งคุณหมอซินเทียกับคณะที่คลินิกแม่ตาวเป็นอนุกรรมการบริหาร เพื่อดำเนินงานโครงการของมูลนิธิฯ ถ้าการดำเนินงานของคุณหมอซินเทียและคลินิกแม่ตาวเป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงต่อกฎหมายอาญา กฎหมายความมั่นคง น่าสนใจว่าเหตุใดมูลนิธิสุวรรณนิมิตจึงรับโครงการเหล่านี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานของมูลนิธิฯ และแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการดำเนินงานภายใต้มูลนิธิฯ เอง  
 
3. พระกิตติศักดิ์ระบุต่อไปในข้อความใน facebook (4 ก.ค.56) ว่า การเปลี่ยนแปลงผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินของมูลนิธิฯ ในสถานที่ซึ่งมีการกล่าวอ้าง ย่อมถือว่าเป็นการพ้นความรับผิด หรือปลดเปลื้องการถูกกล่าวหา ซึ่งตรงกับที่ให้สัมภาษณ์ใน Nation TV เมื่อ 4 ก.ค.56 ว่าสุดท้ายทางคณะกรรมการมูลนิธิเห็นว่าควรที่จะต้องมีการเปลี่ยนมือผู้รับผิดชอบต่อที่ดินทั้งสองแปลงนี้ เพื่อว่ามูลนิธิจะได้ไม่ต้องรับผิดทางกฎหมาย
 
ประเด็นของผมคือ ที่ประธานมูลนิธิฯ อ้างว่า ต้องการปลดเปลื้องตนเองจากความรับผิดทางกฎหมาย โดยการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินไปให้กับนายตำรวจคนหนึ่ง เป็นการแก้ปัญหานี้ได้จริงหรือ ในคำสัมภาษณ์ของพระในรายการ Nation TV ครั้งเดียวกัน พระยังระบุว่า จะยังไม่ไล่คลินิกแม่ตาวออกไปจากที่ดิน (“แต่มูลนิธิก็ไม่ใช่ว่าจะขาดมนุษยธรรมในกรณีที่ว่าที่เขาพยายามจะกล่าวอ้างว่าต่อไปทางคลินิกแม่ตาวจะใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เพียงแต่มีการเปลี่ยนชื่อผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ดิน เพื่อผลในทางกฎหมายที่ทางมูลนิธิไม่ต้องรับผิด”) 
 
นั่นย่อมหมายถึงว่า ถ้าการดำเนินงานของคลินิกแม่ตาวเป็นเรื่องที่สุ่มเสียงต่อการผิดกฎหมาย ทั้ง “กฎหมายความมั่นคงในราชอาณาจักร และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง” แสดงว่า นายตำรวจซึ่งรับมอบกรรมสิทธิ์ที่ดินไป ต้องเป็นผู้รับผิดจากการกระทำดังกล่าวแทนมูลนิธิฯ อยู่ดี หรือพระเห็นว่า การเอานายตำรวจ ซึ่งพระอ้างว่าเป็น “ที่ปรึกษา” ของมูลนิธิฯ มาเป็นผู้ครอบครองที่ดิน จะช่วย “ข่มขู่” ไม่ให้กิจการเพื่อคนต่างด้าวเหล่านี้ดำเนินการนอกกฎหมายได้
 
4. นอกจากพระจะไม่ยอมเปิดเผยชื่อ “ที่ปรึกษา” มูลนิธิซึ่งได้รับมอบกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งสองแปลงแล้ว ยังไม่ยอมเปิดเผยว่า การโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินไปให้กับนายตำรวจรายนี้ มีการซื้อ-ขายที่ดินที่มูลค่าเท่าใด เพราะมูลค่าเดิมของที่ดินเมื่อเกือบ 10 ปีก่อนคือ 2.5 ล้าน ในปัจจุบัน แม่สอดเป็นเมืองหน้าด่านการค้าและอุตสาหกรรม ราคาที่ดินจะเพิ่มขึ้นไปเท่าไรแล้ว กรณีที่มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์เป็นองค์กรสาธารณะประโยชน์ ควรเป็นตัวอย่างของความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ยิ่งที่เกี่ยวข้องกับเงินจำนวนหลายล้าน น่าจะสามารถเปิดเผยได้ว่ามีการดำเนินการอย่างไรกับเงินเหล่านั้น ขอให้หน่วยราชการและหน่วยงานอิสระที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบด้วยครับ
 
5. ประเด็นเรื่อง “ดิสเครดิต” พระกิตติศักดิ์ โดยพระอ้างทำนองว่า เป็นประเด็นขัดแย้งทางการเมือง พระมีคดีฟ้องร้องกับเสื้อแดงที่ใกล้ชิดกับรัฐบาล เลยต้องการลดความน่าเชื่อถือของพระ จึงเป็นเหตุให้มีการปล่อยข่าวเรื่องการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งเป็นของคลินิกแม่ตาวออกมาในช่วงนี้ ตรงนี้ผมไม่ขอโต้แย้ง เพราะความจริงในช่วงที่ผ่านมา ผมไม่เคยยกประเด็นเรื่อง “สี” ขึ้นมาเลย ถ้าพระคิดว่าเป็นเรื่องสี ก็ขอให้อธิบายให้ชัดเจนกว่านี้ อย่างเช่น ผมไปเกี่ยวข้องกับพรรครัฐบาลอย่างไรบ้าง เคยมีเรื่องฟ้องร้องกับท่านมาก่อนหรือ ที่ผ่านมาผมเคยดำเนินการทางการเมืองเพื่อสนับสนุนรัฐบาลอย่างไร เหตุใดผมต้องมาเป็นคู่พิพาทกับท่านในเรื่องนี้ เหตุใดต้องจงเกลียดจงชังท่านถึงขั้นเอาเรื่องนี้มาดิสเครดิตกัน
 
สุดท้าย ด้วยความเคารพ ขอร้องพระกิตติศักดิ์ว่าอย่าชกใต้เข็มขัด อย่าไปเขียนข่าวโคมลอยกล่าวหาว่า บุคคลที่มีชื่อคล้ายกับผมไปมีเพศสัมพันธ์กับเด็กนักเรียนโรงเรียนหมู่บ้านเด็ก มูลนิธิเด็ก ที่สำนักงานที่ผมเคยทำงาน แล้วพระไปขัดขวาง ทำให้ผมจงเกลียดจงชังมาดิสเครดิตท่าน (click)  เพราะนอกจากไม่มีมูลความจริง ยังสร้างความเสียหายแก่บุคคลที่สาม (ซึ่งกรณีนี้พระยังได้ระบุชื่อที่คล้ายกับชื่อภรรยาของผมที่แต่งงานกันมา 17 ปีอีก) และสร้างความเสียหายแก่มูลนิธิเด็กอีกด้วย ถ้าเป็นความจริง ขอให้เปิดเผยรายละเอียดให้มากกว่านี้ เพื่อให้ดำเนินการทางกฎหมายกับผมต่อไป และผมยินดีรับโทษทัณฑ์ ทั้งในทางศีลธรรมและทางกฎหมายต่อไป
 
 
 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net