จักรกริช สังขมณี อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นหนึ่งในทีมวิจัย “ทบทวนภูมิทัศน์การเมืองไทย” เขาลงพื้นที่ศึกษาตัวอย่างหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในจังหวัดอุบลราชธานี นามสมมติว่า “ชุมชนปรารถนา” โดยเหตุที่ต้องปกปิดชื่อที่แท้จริงก็เพื่อความปลอดภัยของผู้ให้ข้อมูล
งานวิจัยส่วนนี้เป็นการลงพื้
จักรกริชกล่าวด้วยว่า การศึกษาในแต่ละภูมิภาค ผู้ศึกษามีความสนใจและข้อสันนิษฐานที่แตกต่างกัน เช่นในภาคเหนือ อาจารย์ปิ่นแก้วสนใจศึกษาอุดมการณ์ประชาธิปไตยของคนในพื้นที่ ในภาคใต้อาจารย์อนุสรณ์สนใจศึกษาปัจจัยทางวัฒนธรรมที่มีผลต่อสำนึกทางการเมืองของคนใต้ สำหรับภาคอีสานเขาสนใจศึกษาความมุ่งมาดปรารถนาที่เปลี่ยนแปลงไปของคนชนบท
ถามว่าทำไมต้องเป็นหมู่บ้านดังกล่าว คำตอบคือเนื่องจากหมู่บ้านนี้มีลักษณะกึ่งเมืองกึ่งชนบท คือมีระบบการผลิตแบบตลาดอย่างชัดเจน แต่ก็มีการผลิตในครัวเรือนหลงเหลืออยู่ไปพร้อมๆ กันด้วย และมีความสัมพันธ์กับธุรกิจการท่องเที่ยวหรือธุรกิจชุมชนอื่นๆ อีกมากมาย เขาไม่ได้มองหมู่บ้านนี้ในฐานะที่เป็นตัวแทนของชนบท หรือตัวแทนหมู่บ้านที่ภาคอีสาน เพราะโดยหลักการมันทำไม่ได้อยู่แล้ว นี่เป็นแค่เพียงความพยายามทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงในชนบท เพื่อนำไปสู่การสลายกรอบ ความเข้าใจเดิมๆ เกี่ยวกับชนบทเท่านั้น
“หมู่บ้านนี้จึงเป็นเพียงแค่ตัวอย่าง มิใช่ตัวแทนหรือตัวแบบ การศึกษาในชุมชนอื่นอาจได้ผลที่แตกต่างกันออกไป เพราะฉะนั้นเวลาลงชุมชนเราจึงไม่สนใจแค่ประเด็นเหลือง-แดง ในตอนต้นของการศึกษาอาจจะใช่ แต่เราพบว่ามันเป็นกรอบที่แคบเกินไปในการพิจารณาชนบท” จักรกริชกล่าว
สำหรับวิธีวิจัยนั้น จักรกริชกล่าวว่า เบื้องต้นมีการใช้แบบสอบถามเพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงในวิถีการผลิต รายได้ และการเคลื่อนย้ายประชากร ในฐานะปัจจัยสำคัญที่ทำให้โครงสร้างทางสังคมชนบทเปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ยังอาศัยการลงไปอยู่ในพื้นที่เป็นแรมเดือนเพื่อศึกษาวัฒนธรรมทางการเมือง และการเมืองในชีวิตประจำวันของคนในพื้นที่ รวมถึงการสัมภาษณ์กลุ่ม และรายบุคคล สัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการ และการสังเกต
จากการลงพื้นที่พบว่า การเปลี่ยนแปลงของความสัมพันธ์
การสร้างช่องทางและหลักประกั
ยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า หากเราศึกษาเรื่องการเลือกตั้
การศึกษานี้ชี้ว่า เงินเป็นการแสดงออกเชิง "คุณภาพ" ด้วย พูดอีกอย่างก็คือว่า เงินได้ทำหน้าที่เชิงสัญลั
นอกจากนี้การมองการเมืองผ่านมิ
เขาระบุด้วยว่า เมื่อมองผ่านปฏิบัติการของชาวบ้
เมื่อถามว่าข้อค้นพบเขาเขาสามารถแย้งทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตยของอเนก เหล่าธรรมทัศน์ ได้หรือไม่ เขาตอบว่า จริงๆ ไม่ได้มีเจตนาจะล้มหรือโต้แย้งทฤษฎีดังกล่าวโดยตรง ตรงกันข้าม เขาต่อยอดจากอาจารย์อเนกเยอะพอสมควร ตัวอย่างเช่นเรื่องวัฒนธรรมทางการเมืองที่แตกต่างกันของเมืองกับชนบท อเนกกล่าวว่าการ “ซื้อสิทธิขายเสียงในสังคมชนบทมีความใกล้ชิดกับระบบอุปถัมภ์อันเนื่องมาจากสังคมเกษตรดั้งเดิม ซึ่งระบบอุปถัมภ์ดังกล่าวได้ปะทะสังสรรค์กับปรากฏการณ์ใหม่ๆ” เขาสนใจว่า “ปรากฏการณ์ใหม่ๆ” ที่อาจารย์อเนกไม่ได้ขยายความไว้คืออะไร และมันส่งผลอย่างไรต่อมโนสำนึกของคนในชนบท
ปรากฏการณ์ใหม่ๆ ที่สำคัญอันหนึ่ง แน่นอนก็คือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ซึ่งเรื่องนี้มีคนกล่าวถึงไว้เยอะแล้ว แต่คำถามคือการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลอย่างไร เรามักจะเชื่อว่าเมื่อมีการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจมากขึ้น ชนบทพัฒนาเป็นเมืองหรืออุตสาหกรรมมากขึ้น การซื้อสิทธิขายเสียงจะลดน้อยลง หรือนักรัฐศาสตร์บางท่านอาจจะเสนอว่าการกระจายอำนาจจะช่วยลดบทบาทของผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นลงได้ คำอธิบายทั้งสองล้วนเป็นทฤษฎีที่มีพลังในการอธิบายระดับหนึ่ง แต่ยังขาดมิติเชิงวัฒนธรรม ซึ่งข้อค้นพบของเขา สรุปอีกครั้ง ก็คือ
- การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจได้ทำให้เกิดผู้ประกอบการเกษตร คนพวกนี้ต่างจาก ชาวสวน ชาวนา เนื่องจากคนเหล่านี้ “ลงทุน” ในการผลิต ผ่านการกู้ยืมเงินจาก ธกส. ซื้ออุปกรณ์ และปรับเปลี่ยนพืชที่เพาะปลูกตามความต้องการของตลาด คนเหล่านี้ต้องลงทุน ต้องแบกรับความเสี่ยงจากความผันผวนทางเศรษฐกิจ จึงต้องหาหลักประกันความเสี่ยงโดยการเข้ามามีความสนใจและมีส่วนร่วมกับนโยบาย เพราะมันสามารถสร้างความมั่นคงซึ่ง “ระบบอุปถัมภ์เพียงอย่างเดียวไม่สามารถมอบให้พวกเขาได้”
- คนเหล่านี้มีรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น มีตำแหน่งแห่งที่ทางสังคมที่กว้างขวางขึ้น ต้องติดต่อกับคนหลากหลายแบบ คนพวกนี้ตระหนักถึงศักยภาพ และอำนาจของตน นี่เองที่นำมาสู่การที่พวกเขาต้องการการยอมรับทางการเมือง (political recognition) ที่มากขึ้นด้วย
- การใช้เงินในการหาเสียงยังคงมีอยู่ มันทำหน้าที่เชิงสัญลักษณ์เป็นเบิกทางในการสร้างความสัมพันธ์กับคนในพื้นที่ แต่มันไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาดอีกต่อไป “เพราะความผันผวนทางเศรษฐกิจที่ชาวบ้านต้องแบกรับ มันต้องการมากกว่าเงินเพียง 300-500 บาท”
เขาระบุว่า จะเห็นได้ว่าข้อค้นพบเหล่านี้ไม่ได้ขัดกับทฤษฎีของอเนก แต่ต่อยอดจากมันมากกว่า
“กระแสวิพากษ์วิจารณ์หนึ่งที่ทำให้ผมอึดอัดคือ การเชื่อมโยงการเมืองชนบทกับระบบอุปถัมภ์ แน่นอนว่าในความเป็นจริงเราปฏิเสธไม่ได้ว่าการเมืองท้องถิ่นในชนบทมีความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์อยู่ แต่ถึงอย่างนั้น เราไม่ควรไปแปะป้ายแบบง่ายๆ ว่าระบบอุปถัมภ์จะมีแค่ในสังคมชนบทเท่านั้น เพราะในทุกระดับการเมืองก็มีระบบอุปถัมภ์ ตั้งแต่การเมืองในระดับองค์กรจนถึงการเมืองระหว่างประเทศ การมองว่าระบบอุปถัมภ์ต้องยึดโยงอยู่กับชนบทเท่านั้นจึงเป็นการด่วนสรุปจนเกินไป ในเมื่อทุกระดับก็มีระบบอุปถัมภ์ เราก็ควรศึกษาว่าระบบอุปถัมภ์ในระดับต่างๆ มันมีลักษณะอย่างไร แล้วเราจึงจะเข้าใจว่าเราควรจะจัดการกับมันอย่างไรมากกว่าที่จะโยนบาปให้กับชนบทแต่เพียงอย่างเดียว” จักรกริช กล่าว
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)