Skip to main content
sharethis

หมอสิชลร่วมแต่งดำประท้วงหลังถูกปรับลดเบี้ยกันดารวัดผลงานด้วยการล่าแต้ม

(2 เม.ย.) ที่ โรงพยาบาลสิชล จ.นครศรีธรรมราช ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แพทย์และบุคลากรทางแพทย์หลายรายได้ร่วมกันแต่งกายชุดดำ หรือสัญลักษณ์สีดำ เพื่อแสดงออกถึงการประท้วงแนวนโยบายการปรับลดเบี้ยกันดาร และปรับการทำงานของแพทย์ บุคลากรทางแพทย์แบบทำคะแนนเพื่อผลงาน พร้อมกันนั้นได้ขึ้นป้ายแสดงความไม่พอใจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขด้วย ข้อความว่า “โรงพยาบาลสิชลไม่ยินดีต้อนรับนายประดิษฐ์ สินธวณรงค์” และจัดนิทรรศการภาพถ่าย และสาเหตุที่แพทย์ได้ร่วมกันประท้วงที่หน้าทำเนียบรัฐบาลเมื่อสัปดาห์ที่ ผ่านมา ขณะที่ผู้ป่วยมาใช้บริการในโรงพยาบาลจำนวนมาก ส่วนแพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ต่างปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามปกติ
      
นายแพทย์อารักษ์ วงษ์วรชาติ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสิชล แกนนำแพทย์ชนบท เปิดเผยว่าตลอด 26 ปีเข้าสู่ปีที่ 27 อยู่ในโรงพยาบาลชุมชนมาโดยตลอด โรงพยาบาลแห่งนี้ได้รับความร่วมมือจากประชาชนมาโดยตลอด จากโรงพยาบาล 30 เตียง มาจนเวลานี้ขยายเป็น 250 เตียงใช้กำลังอย่างมาก ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา แพทย์เพิ่มขึ้นน้อยมาก สัดส่วนที่เพิ่มขึ้นมีแพทย์เฉพาะทาง 9 คน มีแพทย์ใช้ทุน 3-4 คน กับอัตรากำลังที่ต้องดูแล 250 เตียง ไม่รวมผู้ป่วยนอกอีกหลายร้อยคนต่อวัน ที่ผ่านมามีปัญหาแพทย์ลาออก เรียนต่อ และอีกหลายประการ
      
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสิชล แกนนำแพทย์ชนบท ตั้งแต่ช่วงกุมภาพันธ์ ถึงมีนาคม ช่วงที่รัฐมนตรีประกาศนโยบายใหม่ มีการลาออกในช่วงที่ประกาศจะเดินหน้าเรื่องนี้ ลาออกไปแล้วถึง 146 คน เหล่านี้ยังไม่ถึงกระทรวงที่ต้องผ่านไปหลายขั้น กว่าจะถึงกระทรวง ขณะนี้แพทย์ที่ โรงพยาบาลท่าบ่อ แพทย์เชี่ยวชาญเวชกรรมฟื้นฟู พูดชัดเจนว่า รับไม่ได้ที่เปลี่ยนให้หมอเป็นหมอล่าแต้ม ทำแพทย์ให้เป็นเครื่องจักร ไม่ได้ดูคุณภาพของงาน ภาพที่แพทย์ทำงานอย่างน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าไม่มี ความโกลาหลขัดแย้งจะเกิดขึ้นในวงการ ไม่รู้ใครจะกำหนดคิดค่าแต้มค่าคะแนน มันเป็นระบบที่ไม่พร้อมเลย วันนี้บอกว่า 1 เมษายนเริ่ม ยังไม่มีเอกสารใดๆ มากำหนดน้ำหนักค่างานวิชาชีพ
      
อย่างไรภาพที่ออกมากระทรวงสาธารณสุขเองโดยตัวรัฐมนตรีมีอะไรซ่อนเร้น อยู่ข้างหลัง เรารู้ข้อเท็จจริงวันนี้บอกว่าจะถอยกลับสังคมไม่เชื่อ เพราะเอกสารที่จะเสนอต่อ ครม.นั้น จะยังเดินหน้าเรื่องนี้ต่อไป ความไว้วางใจไม่มีแล้ว เราไม่ทำอย่างอื่นด้วยวิธีอารยะขัดขืน ไม่ให้ความร่วมมือ แต่เราจะเน้นภารกิจหลักคือการดูแลผู้ป่วย
      
“นอกเหนือจากนี้เราจะไม่ให้ความร่วมมือใดๆ ที่สำคัญเราจะแต่งดำ ว่ารัฐมนตรีตายจากโรงพยาบาลชุมชนไปแล้ว ในอนาคตจะเดือดร้อนเพราะหมอจะลาออกต่อไปเรื่อยๆ ไปอยู่ที่สามารถสร้างโอกาสได้มากกว่า อย่าไปโทษว่าไม่เสียสละ ไม่มีน้ำใจ ตอนที่รัฐมนตรีจบหมอใหม่ๆ มีน้ำใจหรือไม่”
      
ในวันที่ 3 เม.ย.นี้ แพทย์ใน 3 จังหวัดใต้ รวมทั้งสตูล สงขลา 5 จังหวัด จะไปประชุมในกลุ่มเครือข่ายทุกโรงพยาบาลใน 5 จังหวัด เพื่อให้ทุกโรงพยาบาลดำเนินการไปตามมาตรการ ส่วนชมรมแพทย์ชนบท ทันตภูธร จะมีการทำความเข้าใจเอาความจริงมาตีแผ่ ให้โรงพยาบาลชุมชนทราบในวันที่ 9 เม.ย.นี้ ที่ กทม. และหากรัฐมนตรียังเดินหน้า เราจะต่อต้านต่อไป และท้ายสุดเชื่อว่ารัฐมนตรีจะอยู่ในตำแหน่งไม่ได้ ผอ.โรงพยาบาลสิชล กล่าว
      
ขณะที่ นางฉวีพงศ์ บุญกาญจน์ พยาบาลวิชาชีพ หัวหน้าตึกผู้ป่วยหนัก แสดงความเห็นว่า ในเรื่องค่าตอบแทนเบี้ยกันดารนั้น เห็นใจหมู่โรงพยาบาลชุมชนที่ต้องดูแลคนไข้รากหญ้า ค่าตอบแทนเบี้ยกันดารเหมือนแรงจูงใจ มาตรการของการจดแต้มนั้น งานพยาบาลจะต้องมีการดูแลเป็นทีมที่จะให้กับคนไข้ ต้องช่วยกันทำงาน แล้วจะบอกว่าคนไข้เป็นของใคร มันพูดยาก เป้าหมายสูงสุดคือ การให้คนไข้ได้หายเร็วๆ และได้กลับบ้าน ไม่ใช่แค่การจดแต้ม
      
เช่นเดียวกับ นายวิชัย ใจซื่อ อายุ 38 ปี ชาว ต.สี่ขีด อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช แสดงความเห็นว่าสงสารหมอหากมาตรการนี้ ส่งผลกระทบกับหมอจนหมอออกหมด ชาวบ้านจะทำอย่างไร จะต้องเดินทางเข้าไปรักษาในตัวเมือง ก็กระไรอยู่ ดังนั้นผู้บริหารระดับสูงควรจัดการเรื่องนี้ให้ชัดเจน

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 2-4-2556)

 

เงินกองทุนประกันสังคมพุ่งกว่า 1 ล้านล้าน

นพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน(รง.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประกันสังคม(บอร์ด สปส.) เปิดเผยผลประชุมคณะกรรมการการแพทย์ของสปส.เมื่อวันที่ 3 เม.ย.ที่ผ่านมาว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวปฏิบัติในการจ่ายค่ารักษาโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงตาม ข้อสรุปซึ่งสปส.ได้ประชุมทำความตกลงกับโรงพยาบาลระบบประกันสังคมและโรง พยาบาลคู่สัญญาที่มีศักยภาพสูง(Supra Contractor )ไปเมื่อเร็วๆนี้โดยหากผู้ประกันตนที่มีระดับความรุนแรงของโรค(RW)อยู่ใน ระดับ 2 ขึ้นไปแล้วเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลระบบประกันสังคมที่ผู้ประกันตนมีบัตร รับรองสิทธิอยู่ สปส.จะจ่ายค่ารักษาให้ RW ระดับละ 11,500 บาทไปก่อนจากวงเงินที่กำหนดไว้ RW ระดับละ 15,000 บาท หลังจากนั้นช่วงปลายปีเมื่อสปส.สรุปผลค่ารักษาโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงใน ภาพรวมแล้ว หากมีงบเหลือจากที่ตั้งงบรองรับไว้ 4,460 ล้านบาท สปส.ก็จะจ่ายเงินค่ารักษาส่วนที่เหลือให้แก่โรงพยาบาลระบบประกันสังคม แต่หากไม่มีงบเหลือและประเมินแล้วพบว่ารพ.ระบบประกันสังคมมีภาระค่ารักษามาก ก็จะหาทางช่วยเหลือต่อไป

นพ.สมเกียรติ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีโรงพยาบาลที่ผู้ประกันตนมีบัตรรับรองสิทธิส่งต่อผู้ป่วยไปให้โรง พยาบาลคู่สัญญาที่มีศักยภาพสูงช่วยรักษาต่อ สปส.จะจ่ายค่ารักษาให้โรงพยาบาลคู่สัญญาที่มีศักยภาพสูงที่ RW ระดับละ 15,000 บาท แต่หากค่ารักษาทั้งหมดเกินกว่าวงเงินที่สปส.กำหนดไว้ โรงพยาบาลในระบบประกันสังคมซึ่งเป็นผู้ส่งต่อผู้ประกันตน จะต้องเป็นผู้จ่ายเงินส่วนต่างให้แก่โรงพยาบาลคู่สัญญาเอง ซึ่งจากการหารือกันโรงพยาบาลระบบประกันสังคมไม่ขัดข้องในเรื่องนี้โดยแนว ปฏิบัตินี้จะใช้เพียงแค่ 6 เดือนโดยสิ้นสุดเดือนตุลาคมนี้

นพ.สมเกียรติ กล่าวอีกว่า ได้กำชับให้ที่ประชุมเร่งจัดทำทะเบียนโรงพยาบาลคู่สัญญาที่มีศักยภาพสูงตาม เกณฑ์มาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)ซึ่งมีประมาณ 50-60 แห่งให้แล้วเสร็จภายในเดือนเม.ย.นี้ เพื่อไม่ให้โรงพยาบาลคู่สัญญามีปัญหาในการเบิกจ่ายเงินค่ารักษาจากสปส. และหากผู้ประกันตนต้องการที่จะไปเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูง ซึ่งเป็นคู่สัญญาของโรงพยาบาลระบบประกันสังคมเอง ก็สามารถทำได้สะดวกมากขึ้นโดยติดต่อมายังสปส. ทั้งนี้ ขณะนี้มีโรงพยาบาลระบบประกันสังคม 8 แห่งที่ยังไม่มีโรงพยาบาลคู่สัญญา ซึ่งสปส.จะเร่งให้โรงพยาบาลกลุ่มนี้ติดต่อกับโรงพยาบาลที่อยู่ในทะเบียน เพื่อให้มาเป็นรพ.คู่สัญญาโดยเร็วที่สุด

นายอารักษ์ พรหมณี รองเลขาธิการสปส. กล่าวว่า จากข้อมูลของ สปส. ณ เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีจำนวนผู้ประกันตนทั้งหมด 11,820,108 คน แบ่งเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 จำนวน 9,465,388 คน มาตรา 39 จำนวน 999,991 คน และมาตรา 40 จำนวน 1,354,729 คน ปัจจุบันกองทุนประกันสังคมมีเงินสะสมทั้งหมดกว่า 1,083,198 ล้านบาท นอกจากนี้ สปส.สามารถทวงเงินสมทบจากนายจ้างมาได้กว่า 130 ล้านบาท จึงเหลือเงินที่นายจ้างค้างจ่ายเงินสมทบกว่า 3,650 ล้านบาท

(เนชั่นทันข่าว, 4-4-2556)

 

จับ ร.อ.เก๊เปิดโรงงานนรกทารุณแรงงานต่างด้าว 

(5 เม.ย.)  พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ ที่ปรึกษา(สบ10) สั่งการให้ พล.ต.ต.ชวลิต แสวงพืช ผบก.ปคม.  พ.ต.อ.ปัญญา ปิ่นสุข รองผบก.ปคม. พ.ต.ท.อัศวิน หวังสู้ศึก รองผกก.1 บก.ปคม.  ประสานงานกับ พ.ต.ท.วิฑูรย์ นุชบุษบา สวป.สน.บางขุนเทียน นำหมายค้นศาลอาญาธนบุรี เลขที่ 93/2556 ลงวันที่ 5 เม.ย. เข้าตรวจค้นโรงงาน ที่.พี.เอ็น.อุตสาหกรรม เลขที่ 26/729 ซอยเอกชัย69/3 แขวงและเขตบางบอน  หลังได้รับแจ้งจากพลเมืองดีสถานที่ดังกล่าวเป็นโรงงานนรกกักขังหน่วงเหนี่ยวและทำร้ายร่างกายคนงานต่างด้าว  พบเป็นอาคารพาณิชย์ 4 ชั้น 2 คูหา ทำประตูเหล็กสีฟ้าปิดมิดชิด มีป้ายติดด้านหน้าระบุชื่อ ร.อ.ธิติพัฒน์  และมีเครื่องหมายทหารติดทั่วบริเวณหน้าอาคาร  ตรวจสอบภายในบริเวณชั้น 1 เป็นโรงงานปั๊มซีลตู้ปลา พบคนงานหญิงสาวชาวลาว 2 คน อายุ 15 ปี และ17 ปี หญิงสาวชาวพม่า อายุ 18 ปี อีก 1 คน กำลังทำงานอย่างขะมักเขม้น เจ้าหน้าที่จึงสั่งให้หยุดทำงาน และขึ้นไปจับกุมนายธิติพัฒน์ หรือ ผู้กองเปิ้ล หรือ สารวัตรเปิ้ล นิธิเสถียร อายุ 41 ปี บนชั้นลอยที่เปิดเป็นออฟฟิศของโรงงาน 

จากการตรวจค้นในห้องพบอาวุธปืนขนาด 11 มม.พร้อมกระสุน 7 นัด แม็กกาซีนปืน 3 อัน ปืนสั้นบีบีกันส์ 1 กระบอก เสื้อนายทหารติดยศร้อยเอก 3 ตัว และติดยศพันโทอีก 1 ตัว กุญแจมือ 2 อัน บัตรนายทหารปลอมระบุชื่อ ร.อ.ธิติพัฒน์ นิธิเสถียร หัวหน้าหน่วยรบพิเศษ จปร.ชุดที่2 จำนวน 3 ใบ เครื่องช๊อตไฟฟ้า 1 อัน ซองปืน2 อัน โซ่ 1 เส้น พร้อมรถยนต์เบนซ์ สีน้ำเงิน ทะเบียน อพส 643 กรุงเทพมหานคร  รถยนต์วอลโว่ สีทอง ทะเบียน 3อ8321 กรุงเทพมหานคร  รถจยย.ฮอนด้า พีซีเอ็กซ์ สีดำ ทะเบียน ณฉ 1920 กรุงเทพมหานคร ทั้ง 3 คันติดตราสัญลักษณ์ทบ.ไว้จำนวนมาก  จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน 

บริเวณชั้นที่ 2 พบว่าเป็นห้องพัก 2 ห้อง และห้องครัว บริเวณชั้น 3 ใช้เป็นห้องพักคนงานทั้ง 3 ห้อง และเป็นที่ผลิตผ้าก๊อตพันแผล ส่วนบริเวณชั้น 4 เป็นห้องพักคนงานอีก 2 ห้อง และห้องผลิตและเก็บผ้าก๊อตอีก 1 ห้อง นอกจากนี้บริเวณผนังในห้องเก็บของยังพบรอยกระสุนปืนอีกหลายนัด และมีโซ่ที่ใช้สำหรับล่ามคนงานผูกติดอยู่กับจักรเย็บผ้าอีกด้วย 

พ.ต.ท.อัศวิน เผยว่า สืบเนื่องจากทางปคม.ได้รับการประสานงานจากรายการโทรทัศน์ ว่ามีหญิงสาวหนีออกมาจากโรงงานดังกล่าว โดยเล่าให้ฟังว่าถูกเจ้าของบังคับให้ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ถ้าใครไม่ทำงานและทำอะไรผิดก็จะถูกเฆี่ยนตีอย่างทารุน และถูกใส่กุญแจมือ เอาโซ่ล่ามติดไว้กับจักรเย็บผ้า และยังบังคับให้คนงานชายชาวพม่าข่มขืนคนงานหญิงชาวลาว เพื่อไม่ให้คิดหลบหนีอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีเพื่อนที่ถูกกักอยู่ด้านในอีก3คน เจ้าหน้าที่จึงเฝ้าสังเกตการณ์มาระยะหนึ่ง กระทั่งขออำนาจศาลออกหมายค้นเพื่อเข้าตรวจสอบ และจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ดังกล่าว นอกจากนี้จากการตรวจสอบประวัติผู้ต้องหาพบว่า  เมื่อกลางปี2555 นายธิติพัฒน์ ได้ก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงแขนตัวเองภายในบ้าน เนื่องจากภรรยาหนีออกไปจากบ้านหลายวัน ทำให้เกิดความเครียด แต่ก็ไม่ได้เป็นคดีความแต่อย่างใด 

สอบสวนนายธิติพัฒน์ ให้การอ้างว่า เรียนจบแค่ม.3 ใฝ่ฝันอยากจะเป็นนายทหาร แต่ที่บ้านเป็นคนเชื้อสายจีนต้องการให้ออกจากโรงเรียนมาค้าขาย ทำธุรกิจต่อจากครอบครัว จึงได้ไปซื้อเครื่องแบบทหาร และทำบัตรทหารปลอมมาเก็บไว้ ไม่ได้มีเจตนาเอาไปใช้แอบอ้าง  ปืนก็ซื้อต่อจากเพื่อนมายังไม่ได้โอน ส่วนรอยกระสุนที่พบบนกำแพงห้องชั้น 4นั้น เกิดจากการซ้อมยิงปืน เนื่องจากไม่กล้ายิงขึ้นฟ้า เพราะกลัวจะเกิดอันตรายตกใส่ศีรษะคนอื่น และจะยิงในเวลากลางวันขณะที่คนละแวกบ้านไปทำงานกันหมด  

"คนงานที่ถูกทำร้ายนั่นเป็นเพราะชอบขโมยเงินของภรรยาเป็นประจำ และทำงานผิดพลาดจนทำให้ธุรกิจเสียหาย ส่วนที่ต้องล่ามโซ่ข้อเท้าก็เพราะเกรงว่าคนงานจะคิดสั้นกระโดดตึกตาย อีกทั้งผมมักจะขู่ด้วยการซ้อมยิงปืนใส่กำแพงให้เห็นเป็นประจำเพื่อให้เกิดความกลัว ค่าแรงก็ให้วันละ 300บาท เท่าค่าแรงขั้นต่ำ ไม่ได้เอาเปรียบคนงานแต่อย่างใด"นายธิติพัฒน์กล่าว 

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาค้ามนุษย์โดยการกักขังหน่วงเหนี่ยว ให้ที่พักพิงคนต่างด้าว ครอบครองอาวุธปืนผิดมือไว้ในครอบครอง กระทำการเป็นเจ้าพนักงานโดยตนเองมิได้เป็นเจ้าพนักงาน ใช้ยศโดยไม่มีสิทธิ ปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม ก่อนจะนำตัวส่งปคม.ดำเนินคดีต่อไป 

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 5-4-2556)  

 

ทะลักด่านแม่สอด-เมียวดี แรงงานพม่าแห่กลับบ้านเที่ยวสงกรานต์มหาศาล 

ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 7 เมษายนว่า แรงงานพม่านับ 1,000 คน จากกทม.และเขตปริมณฑล เดินทางกลับไปภูมิลำเนา เพื่อไปเที่ยวเทศกาลสงกรานต์ ในปีนี้ ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยความแออัด โดยเฉพาะที่บริเวณหน้าด่านพรมแดนไทย – พม่า  ที่  แม่สอด – เมียวดี ซึ่งแรงงานพม่าส่วนมากได้ใช้หนังสือเดินทางหรือ พาสปอร์ตแรงงานในการกลับไปภูมิลำเนา ทำให้เจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตาก ต้องทำงานหนัก เนื่องจากต้องตรวจหนังสือเดินทางขาออก บริเวณสะพานมิตรภาพไทย – พม่า และแรงงานพม่าส่วนหนึ่งต้องกลับทางท่าขนส่งสินค้า โดยสารเรือไปยังฝั่งพม่า 

(มติชนออนไลน์, 7-4-2556) 

 

"หมอชลน่าน" เล็ง ตั้งอาสาสมัครสาธารณสุขแรงงานต่างด้าว ดูแลโรคติดต่อกันเอง 

นายชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการหอกระจายข่าวออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เอฟเอ็ม 92.5 เมกะเฮิรตซ์ ถึงการให้ความช่วยเหลือประชาชนให้สามารถเข้าถึงการใช้บริการสาธารณขั้นพื้นฐาน ว่า ความเป็นอาสาสมัครสาธารณสุขของประเทศไทยได้รับการยกย่องจากองค์การอนามัยโลก และองค์การสหประชาชาติว่าสามารถพัฒนาประชากรได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม. ที่ถูกคัดเลือกโดยชุมชน ซึ่งทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเข้าไปจัดตั้งศูนย์ดูแลสุขภาพเบื้องต้นให้กับประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบ โดยที่ผ่านมาพบว่าทั้งการจัดการสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และชุมชนในพื้นที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก 

อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุข ยังมีนโยบายที่จะขยายโครงการนำร่องเข้าสู่ชุมชน เพื่อจัดการระบบสุขภาพของประชาชนให้เข้มแข็งใน 1,756 ตำบล โดยจะนำเอานวัตกรรมใกล้บ้านใกล้ใจแบบมีส่วนร่วม เข้าไปดูแลสุขภาพประชาชนในชุมชน นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุข ยังเตรียมที่จะจัดตั้งอาสาสมัครสาธารณสุขแรงงานต่างด้าว หรือ อสต. ซึ่งเป็นแรงงานต่างด้าวที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าไปช่วยดูแลสุขภาพของแรงงานเพื่อป้องกันโรคติดต่อ หรือโรคร้ายแรงต่างๆ ที่อาจเข้ามาแพร่เชื้อในประเทศไทย 

(มติชนออนไลน์, 7-4-2556) 

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net