บทความชิ้นแรกในชุดบทความ ข้าวนาปรัง : ความสัมพันธ์ ความเปลี่ยนแปลงและความขัดแย้งของสังคมไทยในชุมชนเกษตรภาคกลาง โดยจะทำการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับการผลิต ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับระบบเศรษฐกิจ การเมืองและวัฒนธรรมไทย ในการศึกษาชุดความรู้นี้ ทางประชาไทจะทยอยนำเสนอบทวิเคราะห์ที่มีความเชื่อมโยงกับประเด็นข้างต้นจำนวน 6ชิ้น อนึ่ง ภายในไตรมาสที่สองของปี 2556 ประชาไท จะทยอยนำเสนอบทความที่จะพยายามทำความเข้าใจวิถีชีวิตและความสัมพันธ์การผลิตของชนบทไทยในปัจจุบัน 4ประเด็นคือเกษตรอินทรีย์, เกษตรพันธสัญญากรณีข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภาคเหนือ,พืชเศรษฐกิจในภาคอีสาน และการทำนาปรังในภาคกลางที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ |
คำแนะนำของนายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ให้ชาวนาไทยเลิกปลูกข้าวปรัง เพราะต้นทุนในการปลูกข้าวของไทยเริ่มสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงลดการผลิตพืชหลัก 6 ชนิด คือ ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์มน้ำมัน อ้อย ข้าวโพด และควรนำเงินที่อุดหนุนสินค้าเกษตรดังกล่าวเอาไปพัฒนาระบบชลประทาน[2] ออกมาหลังจากที่ก่อนหน้าข่าวกระทรวงพาณิชย์ จะเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ให้ปรับลดราคารับจำนำลงจากตันละ 15,000 บาท เหลือ 13,000 บาท [3] ซึ่งต่อมานายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประธาน กขช. ได้จะออกมายืนยันหลังการประชุมคณะกรรมการฯ ว่า รัฐบาลจะยังเดินหน้าโครงการจำนำข้าวในรอบการผลิตข้าวปี 2555/56 ตามเดิม แต่นาปรัง ปี 2557 จะมีการทบทวนราคาใหม่ให้สอดคล้องกับแผนการปรับเขตพื้นที่ปลูก (zoning) ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ฯ ได้ออกประกาศ เรื่องการกำหนดเขตเหมาะสมสำหรับการปลูกข้าวลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2556 อีกทั้งสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ร่วมกับกรมการข้าว ได้ทำการวิจัยซึ่งจะเสร็จใน ปี 2556 และเตรียมจะออกประกาศเขต zoning ภายในเดือนมิถุนายน และหากนำระบบนี้มาใช้ ประเทศไทยจะมีพื้นที่ที่เหมาะสมในการปลูกข้าวประมาณ 38% ของพื้นที่ปลูกข้าวในปัจจุบัน ซึ่งเป็นพื้นที่ปลูกข้าวนาปีราว 67 ล้านไร่ และข้าวนาปรังราว 16 ล้านไร่[4] โดยพื้นที่เหมาะสมกับการลูกข้าวนี้กระจายอยู่ใน 75 จังหวัด 793 อำเภอ 5,669 ตำบล นั่นคือมีเพียง พังงา จังหวัดเดียวที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าว [5]
หรือนี่จะเป็นทางลงให้กับโครงการจำนำข้าวหลังจากที่ โครงการจำนำซึ่งข้าวถูกวิพากษ์วิจารณ์มาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประกาศให้มีการดำเนินโครงการครั้งแรก หลังเข้ารับตำแหน่ง?
โครงการจำนำข้าว : โอกาสที่เลือกได้จากนโยบายพรรคการเมือง
โครงการจำนำข้าว เป็นการเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับ ชาวนา แรงงาน และอุตสาหกรรมข้าวของไทย ดัง นิธิ เอียวศรีวงศ์ ออกมาสนับสนุนโครงการรับจำนำข้าวว่าเป็นนโยบาย “เปลี่ยนประเทศไทย” ชาวนาอาจนำรายได้ที่เพิ่มขึ้นไปใช้ในการเลื่อนสถานภาพทางสังคม [6] และพัฒนาตนเองเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองของตนเองและหรือลูกหลานในตลาดแรงงานในอนาคต และเห็นว่าการคัดค้านโครงการรับจำนำข้าวของฝ่ายจารีตนิยมนั้นเป็นเพียงเพื่อเก็บชาวนาให้เป็นเพียงปัจเจกบุคคลตัวเล็ก ที่เป็นแรงงานราคาถูก และอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของปราชญ์ชาวบ้านที่สยบยอมต่อระบบเท่านั้น[7]
ข้อมูลจาก: ประชาชาติธุรกิจ
ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมข้าวไม่ใช่แต่เพียงกลุ่มชาวนาเท่านั้น ยังไม่นับรวมแรงงานรับจ้างรายวันที่ได้อานิสงค์การเพิ่มค่าจ้างจากนโยบายค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท และโครงการรับจำนำข้าว ทั้งนี้ แรงงานรับจ้างในอุตสาหกรรมข้าวมี ทั้งประเภท ; การฉีดพ่นสารเคมีกำจัดศัตรูพืช หว่านปุ๋ย แช่ข้าวพันธุ์ กีดน้ำ ตัดข้าวดีด ปั่นนา ตีเทือก บรรทุกข้าวส่งโรงสี คนขับและเด็กรถเกี่ยว ที่บางรายก็เป็นชาวนารายย่อย มีทุนสะสมต่ำที่ออกรับจ้างหารายได้เพิ่มอีกทางจากการทำนา
นอกจากนี้ยังมีหน่วยธุรกิจที่เกี่ยวข้อง อาทิ กลุ่มโรงสีและท่าข้าว ซึ่งหากนับเฉพาะที่อยู่ในโครงการจำนำข้าวนั้นมีอยู่ ในสุพรรณบุรี 87 จุด และ พระนครศรีอยุธยา 32 จุด , เครือข่ายผู้ประกอบการรถเกี่ยวนวดข้าว 21 จังหวัดในภาคเหนือตอนล่างและภาคกลาง รวม 882 ราย ซึ่งในสุพรรณบุรีมากที่สุด คือมีถึง 203 ราย และในพระนครศรีอยุธยา มี 82 ราย เป็นอันดับ 4 ของกลุ่ม รวมไปถึงเครือข่ายผู้ผลิตเครื่องเกี่ยวนวดไทย และเครือข่ายผู้เกี่ยวข้าว ซึ่งให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจการเกี่ยวข้าว เช่น รถเกี่ยวข้าวและความเหมาะสมต่อการใช้งาน บริการขนย้ายรถ และอื่นๆ ซึ่ง ในปี 2556 นี้ กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลการเกษตร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ประมาณการร์ว่านโยบายประชาจำนำสินค้าเกษตร โดยเฉพาะข้าว จะสร้างมูลค่าตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรในไทย มีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์คือมากกว่า 1.1 แสนล้านบาท[8]
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มอุตสาหกรรมข้าวครบวงจรรายใหญ่ของไทยอย่าง บริษัท ซี.พี.อินเตอร์เทรด จำกัด ได้ออกมาสนับสนุนโครงการจำนำข้าวว่าต้องมีกระบวนการที่โปร่งใสมากขึ้นแล้ว ภาครัฐฯและภาคเอกชนจำเป็นต้องผนึกกำลังปรับประสิทธิภาพการส่งออกข้าวไทยเพื่อสร้างศักยภาพความสามารถในการแข่งขันภายใต้โครงการรับจำนำ โดยเน้นการผลิตข้าวคุณภาพดี ประหยัดต้นทุนด้วยพันธุ์ข้าวดีที่เพิ่มผลผลิต/ไร่สูงขึ้น [9] ทั้งนี้เครือเจริญโภคภัณฑ์เตรียมความพร้อมเข้าสู่การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ปี 2558 โดยทุ่มงบประมาณกว่า 3,000 ล้านบาทเพื่อธุรกิจข้าวสารครบวงจร ที่อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ภายในพื้นที่กว่า 270 ไร่ มีกำลังการผลิต 3,600 ตัน/วัน หรือกว่า 1,080,000 ตัน/ปี ซึ่งผลิตผล 80% จะส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ 120 ประเทศทั่วโลก [10]
การเมืองเรื่องข้าวกับชาวนายุคโลกาภิวัตน์
ขึ้นชื่อว่า “ข้าว” พืชเศรษฐกิจสำคัญที่มีพื้นที่ปลูกกว่า 61 ล้านไร่ และไทยที่ผลิตส่งออกข้าวจนเป็นอันดับหนึ่งผู้ส่งออกข้าวชาวนาไทยรู้กันดีว่าราคาข้าวที่ตนผลิตขายนั้นถูกตีราคามาจากราคาค้าขายข้าวในตลาดโลก พ่อค้าส่งออกข้าวไทยก็ยังไม่สามารถกำหนดราคาขายข้าวได้เอง และใช้วิธีไล่เบี้ยเอากับชาวนา
และการขายข้าวได้ราคาดี ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะมีพ่อค้าข้าวคนดี หรือรัฐบาลคนดีมารับซื้อในราคาที่พวกเขาพึงพอใจ
ภายใต้โครงสร้างตลาดข้าวที่ชาวนาผู้ผลิตข้าวจะไม่สามารถกำหนดราคาขายข้าวของตัวเอง ยังมีนโยบายของรัฐที่เข้ามาควบคุมเสถียรภาพราคาข้าวให้กับผู้บริโภคภายในประเทศเป็นหลัก และส่งผลกระทบต่อชาวนามาตั้งแต่เริ่มมีการส่งออกข้าว
นับตั้งแต่มีการส่งออกข้าวในอดีต ซึ่งยังใช้เทคโนโลยีการผลิตข้าวยังอิงกับสภาพธรรมชาติ การเพาะปลูกมีจำกัด และผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภค จนถึงยุคที่มีการบุกเบิกคลองชลประทานเพื่อส่งเสริมการทำนาเพื่อการค้าสมัยรัชกาลที่ 5 และเดินหน้าเข้าสู่ยุคปฏิวัติเขียว ซึ่งพัฒนารูปแบบการผลิตจนอุปทานข้าวมีมากกว่าอุปสงค์และราคาข้าวในตลาดโลกมีแนวโน้มลดลง การเก็บค่าพรีเมี่ยมจึงได้ยกเลิกไป ปี 2529 จนกระทั่งต่อมามีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตก้าวหน้ามากขึ้นจนผลผลิตข้าวมีอุปทานมากเกินอุปสงค์จนราคาข้าวที่ชาวนาขายได้ตกต่ำ สร้างผลกระทบต่อความอยู่รอดของชาวนา มีผลทำให้รัฐต้องเปลี่ยนมาใช้นโยบายการแทรกแซงกลไกตลาดเพื่อให้การอุดหนุนแก่ผู้ผลิตแทน [11] ดังเราจะเห็นภาพคุ้นชินกับกลุ่มชาวนาเช่น สมาคมชาวนาไทย และเครือข่ายชาวนากลุ่มต่างๆ ออกมารวมตัวกันประท้วงเพื่อเรียกร้องให้รัฐหันมาแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพวกในเรื่องต่างๆ
ความเปราะบาง กับโอกาส และการต่อรอง
สิ่งที่สร้างความเปราะบางต่อชาวนาไม่ใช่แค่เพียงต้องราคาขายที่ถูกกำหนดจากตลาดโลกท่ามกลางความเสี่ยงที่ต้อง เผชิญกับน้ำ ฝน ชลประทาน และสภาพอากาศ ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อการเจริญเติบ การให้ผลผลิตข้าว และนำมาถึงกระบวนการต่อรองระหว่างชาวนากับรัฐอยู่เป็นระยะๆ
กรณีเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล
การแพร่ระบาดของเพลี้ยกระโดด และสร้างความเสียหายต่อชาวนาทั้งในประเทศไทย และเวียดนาม ประเทศคู่แข่งส่งออกข้าวของไทย ในไทยมีรอบการแพร่ระบาดทุกๆ 10 ปี สร้างความเสียหายต่อชาวนาอย่างรุนแรงและกว้างขวาง อยู่เป็นระยะๆ[12] เวียดนาม คู่แข่งของไทยก็เผชิญปัญหานี้เช่นเดียวกับไทย ใน ปี 2550 มีการระบาดของเพลี้ยกระโดดหลังขาว และสร้างความเสียหายต่อพื้นที่ปลูกข้าวของเวียดนามเกือบทั้งหมด [13] ประกอบกับช่วงกลางปี 2550 สต๊อกข้าวโลกลดลงเหลือ 8 % เพราะผลิตข้าวในประเทศแถบภูมิภาคเอเชียและตะวันออกกลางมีผลผลิตลดลง โดยเฉพาะจีน และอินเดีย หยุดส่งออก น้ำมันดิบราคาแพงขึ้นจนเกษตรกรส่วนหนึ่งหันไปปลูกพืชพลังงานทดแทนมากขึ้นเพราะได้ราคาดีกว่า แต่ปริมาณความต้องการบริโภคข้าวโลกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 1.5 หรือ 6.3 ล้านตัน ส่งผลให้การค้าข้าวโลกปี 2550 จะเพิ่มขึ้นเป็น 29.7 ล้านตัน ในปีช่วงต้นปี 2551 จึงเป็นโอกาสของอุตสาหกรรมส่งออกข้าวไทย [14] และช่วงนี้เองที่ชาวนาได้เรียกร้องให้ นายสมัคร สุนทรเวช นายกในขณะนั้น ประกาศราคารับจำนำในฤดูนาปรังปี 2551 ให้เท่ากับราคาตลาดซึ่งในขณะนั้นราคาข้าวเปลือกที่ระดับฟาร์มได้ขึ้นไปสูงถึงตันละ 15,000 บาท มีผลทำ คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบให้กระทรวงการคลังและ ธกส. ดำเนินการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังความชื้นไม่เกิน 15% ที่ตันละ14,000 บาท [15]
กรณี ภัยแล้ง น้ำท่วม: ความเสี่ยงที่ชาวนาภาคกลางเจอจนชิน
การปรับโครงสร้างการผลิตและระบบชลประทาน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการปลูกข้าวของชาวนาก็ยังเป็นที่ต้องสงสัยต่อกลุ่มชาวนาเสมอๆ โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดวิกฤตภัยแล้ง และอุทกภัย ซึ่งนับวันปัญหาความขัดแย้งระหว่างชาวนาด้วยกันเองในช่วงการผลิต และชาวนากับเมืองและอุตสหากรรม
ในพระนครศรีอยุธยา ในอดีต ช่วงพฤษภาคม – มกราคม พื้นที่นาลุ่มที่น้ำท่วมในหน้าน้ำมีระดับความสูงของน้ำ 1.50 – 4 เมตร นั้น เคยปลูกพันธุ์ข้าวฟางลอย ซึ่งเป็นการทำนาที่อาศัยน้ำฝนโดยปลูกพันธุ์ข้าวข้าวที่สามารถยืดตัวลอยขึ้นตามระดับน้ำได้โดยไม่ตาย ทั้งในเขตพระนครศรีอยุธยาบางส่วน รวมถึง อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท และสุพรรณบุรี เคยมีที่นาฟางลอยกว่า 6 ล้านไร่ แต่ปัจจุบันพื้นที่การเพาะปลูกข้าวนาปีที่เป็นข้าวฟางลดลงเป็นจำนวนมาก เนื่องมาจากการเปลี่ยนโครงการการจัดการน้ำและที่ดินให้กลายเป็นพื้นที่รับน้ำท่วม และตลาดไม่เป็นที่นิยมข้าวฟางลอยเพราะเป็นข้าวด้อยคุณภาพ และให้ผลผลิตต่ำ [16] อีกทั้งการปลูกข้าวฟางลอยในยุคปัจจุบันยังมีปัญหาขัดแย้งเรื่องการใช้น้ำกับกลุ่มชาวนาปรังในพื้นที่เดียวกันที่กำลังมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ระดับน้ำที่ท่วมสูงและไวในปี 2549 และ 2554 มีผลทำให้ ปริมาณผลผลิตข้าวฟางลอยลดต่ำ รวมทั้งการปลูกข้าวฟางลอยปนกับข้าวนาปรังยังส่งผลกระทบถึงการระบายน้ำเพื่อให้น้ำท่วมนองในทุ่งนาแทนเขตเมืองด้วย[17] ปัจจุบัน พระนครศรีอยุธยาจึงมีรูปแบบการผลิตข้าวมีรอบการเพาะปลูกไม่แตกต่างกับทางสุพรรณบุรีมากนัก จะยังมีอยู่บางพื้นที่เท่านั้นที่น้ำท่วมสูงและโครงสร้างทางชลประทานยังไม่ดีพอจนชาวนาไม่กล้าเสี่ยงลงทุนปรับแปลงนา ดังเช่น ต.หนองน้ำใหญ่ อ.ผักไห่
หากเข้าใจถึงสภาพภูมิศาสตร์และปัญหาการจัดน้ำที่เกิดขึ้นกับชาวนาแล้ว เราอาจะเข้าใจได้ว่า การเลือกปลูกข้าวอายุสั้นกว่า 110 วัน ของชาวนากับโครงการจำนำข้าวที่กำลังเป็นปัญหาอยู่นี้มีความสำคัญและจำเป็นจะต้องปรับเงื่อนไขให้ยืดหยุ่น และสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงในระดับพื้นที่
ชาวนาอยุธยาส่วนใหญ่ที่เปลี่ยนรูปแบบมาทำนาปรัง ต้องเร่งการปลูกข้าวนาปรังครั้งที่ 2 ให้ทันในช่วงสิ้นเดือนสิงหาคม แล้วจึงปล่อยให้น้ำท่วมนองนาน 4 เดือน คือ กันยายน –ธันวาคม หรืออาจจะเลยไปยังต้นเดือนมกราคมในปีที่น้ำมากอยู่เสมอ หลังวิกฤตน้ำท่วมเฉียบพลัน ปี2549 สร้างทั่วทั้งพื้นที่ราบลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง ความเฉพาะพื้นการเกษตรของ อ.ผักไห่ เสียหายถึง 206,000 ไร่ ต่อมาที่นารอบเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยาและเขตอุตสาหกรรมจึงกำหนดให้เป็นพื้นที่ที่รับน้ำนองในโครงการพระราชดำริ แก้มลิงบางบาล1 [18] และกลายเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ในโครงการรับน้ำนองที่มีขึ้นหลังปีมหาอุกทกภัยครั้งล่าสุดเมื่อปี 2554 [19]
ประสบการณ์ในภาวะขาดแคลนน้ำทำนาปรังครั้งที่2 ในช่วงฤดูแล้ง และต้องเป็นที่รับน้ำนองในช่วงฤดูน้ำหลาก ของชาวนาในเขตพระนครศรีอยุธยา มักทำให้เกิดข้อร้องเรียนต่อปัญหาการจัดการน้ำที่ไม่เท่าเทียม เมื่อเทียบเคียงชาวนาสุพรรณบุรี ซึ่งมีบางพื้นที่ที่ติดต่อกันกับเขตพระนครศรีอยุธยา[20] ดังกรณีที่ชาวนาในพระนครศรีอยุธยาไม่สามารถทำนาในฤดูหน้าแล้ง และต้องเลื่อนการปลูกข้าวนาปรังครั้งที่2 ไปตามแผนการส่งเสริมของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามแผนการจัดการน้ำของกรมชลประทาน แต่ต้องเผชิญปัญหาน้ำท่วมและเกี่ยวข้าวเขียวหนีน้ำในฤดูปลูกนั้น เมื่อปี 2553 นั้นที่มีพื้นที่ขัดแย้งรุนแรงกว้างขวางครอบคลุมพื้นที่การเกษตรกว่า 4 ล้านไร่ จนถึงกับมีคำสั่งจากผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกกำชับให้ทหารประสานงานกับฝ่ายปกครองในพื้นที่เฝ้าระวังประตูกั้นน้ำที่ พระนครศรีอยุธยา และ สุพรรณบุรี [21]
ชาวนาไทยหรือที่ไหนในโลกก็คงไม่นึกว่า ตนต้องเจอ ภัย 3 เด้ง ในรอบปีเดียว !?
ต้นปี 2553 ชาวนาในภาคกลางยังต้องเผชิญภัยเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลต่อเนื่องมาตั้งแต่ ปี 2552 และถูกซ้ำเติมด้วยภาวะภัยแล้งในช่วงฤดูแล้ง จนกระทั่งช่วงปลายสิงหาคม น้ำไหลบ่าลงมาจากตอนบน ก็ได้เอ่อนองท่วมพื้นผืนนาในเขตนี้ไว้กว่าปกติกว่า 10 ทำให้ข้าวที่กำลังเขียวและต้องถูกกลืนหายไปกับน้ำ โดยรัฐบาลยุคนายกอภิสิทธิ เวชชาชีวะ จ่ายค่าชดเชยน้ำท่วมให้ชาวนาเพียง 55 % ของต้นทุนการผลิตโดยเฉลี่ย หรือ 2,098 บาท/ไร่ รวม 1.4 หมื่นล้านบาท [22]
หลังจากเจอ 3 เด้งในรอบปีเดียวไปหมาดๆ แต่ชาวนาก็ยังความหวังกับข้าวซึ่งเป็นพืชอายุสั้นอยู่บ้างหากไม่โดนภัยธรรมชาติซ้ำเติมอีก แต่ข้อเท็จจริงก็คือเรามี ปี 2554 เป็นปีมหาอุทกภัย ซึ่งสร้างปัญหาให้กับผู้คนหลากอาชีพได้อย่างกว้างขวาง
เฉพาะต้นเดือนกันยายน ปี 2554 ที่ อ.ผักไห่ ซึ่งเป็นเขตติดต่อระหว่าง จ.พระนครศรีอยุธยา – สุพรรณบุรี และ อ่างทอง มีเหตุประท้วงจากปัญหาการจัดการน้ำท่วมที่ไม่สามารถแก้ไขให้ลงรอยกันได้ ถึง 4 ครั้ง ซึ่ ง 3 ครั้งแรกเกิดที่จุดประตูน้ำลาดชะโด โดย ชาวบ้าน กับชาวนา ผักไห่ ชาวนาจากสุพรรณบุรีกับชาวบ้านผักไห่ [23] และชาวบ้านผักไห่ราว 300 คนออกมากดดันให้เปิดประตูน้ำอีกรอบ ส่วนครั้งสุดท้ายที่ชาวบ้านริมน้ำต้องออกมาประท้วงให้เปิดบานประตูน้ำระบายน้ำลาดชิด ซึ่งหลังจากวันที่มีการเปิดประตูน้ำนี้แล้ว คาดว่ามีชาวนาผักไห่ต้องเกี่ยวข้าวเขียวกลางน้ำนับ 100,000 ไร่ [24]
สรุปความเสียหายของชาวนาทั่วประเทศในปี 2554 พบมี พื้นที่นาเสียหาย 7 ล้านไร่ ชาวนากว่า 3.5 แสนครัวเรือนที่ถูกน้ำท่วม รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จ่ายค่าชดเชยไร่ละ 2,222 บาท และแจกเมล็ดพันธุ์ข้าวไร่ละ 10 กก. แต่ไม่เกิน 10 ไร่ ส่วนชาวนาที่เร่งเก็บเกี่ยวข้าวในช่วงเดือนสิงหาคม – กันยายน ประมาณ 8.8 ล้านไร่ จำนวนผลผลิต 4.5 ล้านตัน จะได้รับเงินเยียวยาเพิ่มตันละ 1,437 บาท โดยไม่จำกัดจำนวนเนื่องจากเป็นช่วงรอยต่อโครงการประกันรายได้เกษตรกรปิดโครงการเมื่อ 15 กันยายน 2554 และโครงการจำนำข้าว ภายใต้เงื่อนไขว่าชาวนาที่ได้รับการเยียวยาดังกล่าวแล้วจะไม่สามารถเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวครั้งที่ 1 ซึ่งจะเริ่มดำเนินการ 7 ตุลาคม 2554 ได้อีก (แทรกภาพที่ 005)
โครงการจำนำข้าวที่ประกาศรับซื้อข้าวตันละ 15,000 บาท ที่ความชื้น 14 % ทันทีในเมื่อตุลาคม 2554 จึงเป็นฝันที่เป็นจริงของชาวนาใน เขต ม.9 ต.หนองน้ำใหญ่ อ.ผักไห่ ที่ต้องการปรับโครงสร้างการผลิตที่ส่วนใหญ่ยังทำนาฟางลอยแต่กำลังให้กลายเป็นนาปรังทั้งทุ่ง เพื่อหลีกหนีจากการเผชิญกับหายนะจากภาวะน้ำท่วมซ้ำซาก ผลผลิตตกต่ำ และมีปัญหาขัดแย้งเรื่องการจัดน้ำทั้งกับชาวนาปรังด้วยกันเองและกับการจัดการน้ำภาพรวมของโครงการชลประทาน โดยหวังว่าพวกเขาจะสามารถทำนาปรังได้ปีละ 2 ครั้ง ขายข้าวตันละไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท ไปพร้อมๆ กับยอมรับภาวะจำยอมเป็นพื้นที่รับน้ำนองให้กับเมืองและอุตสาหกรรมในยามน้ำหลาก
น่าสนใจว่า ชาวนาหนองน้ำใหญ่ และเครือข่ายธุรกิจอุตสาหกรรมข้าวจะ ที่ต้องการเปลี่ยนโครงสร้างจากความล้มเหลวในการนาปีข้าวฟางลอย มาสู่วิถีการทำนาปรัง ที่แม้จะมีความเสี่ยงและลงทุนเพิ่มขึ้น แต่ก็ให้ผลผลิตได้มากขึ้นด้วย พวกเขาจะปรับตัวและงัดกลยุทธ์ใดมาใช้ท่ามกลางภาวะที่ยังหวั่นวิตกว่าในฤดูนาปรังหน2 ที่จะเริ่มในเดือนพฤษภาคมนี้ อาจจะไม่มีน้ำให้ทำนาอย่างที่คาดไว้ ? (โปรดติดตามตอนหน้า)
[1] บทความชุดที่สังเคราะห์ขึ้นจาก กรณีศึกษา “โครงการจำนำข้าว: โอกาสและกลยุทธ์การลดต้นทุนและพัฒนาการผลิตของชาวนารายย่อยและแรงงานในอุตสาหกรรมข้าว” กรณีศึกษา ต.หนองน้ำใหญ่ อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา และ ต.สระแก้ว อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี ระหว่าง มกราคม – พฤษภาคม 2556 โดยการสนับสนุนของ ประชาไท และ ศูนย์ศึกษาสังคมและวัฒนธรรมร่วมสมัย คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
[2] ขย่มล้มนาปรังแนะโยกงบฟื้นอีสเทิร์นซีบอร์ด โพสต์ทูเดย์ 19-03-56 http://bit.ly/ZWrDrV
[3] ปลดล็อกโครงการรับจำนำข้าว ถอยคนละก้าวหาสมดุลชาวนา-ส่งออก ไทยรัฐ 11-03-56 http://www.thairath.co.th/column/eco/ecoscoop/331480
[4] รัฐถังแตกดัน"โซนนิ่ง"คุมจำนำข้าว ดีเดย์นาปรังปี"57เลิกซื้อทุกเมล็ด ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ 13-03-56 http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1363153049&grpid=09&catid=19&subcatid=1900
[5] โซนนิ่งพืช 6 ชนิด พังงาไม่เหมาะปลูกข้าว ไทยรัฐ 19-02-56 http://www.thairath.co.th/content/edu/327401
[6] นิธิ เอียวศรีวงศ์ : เปลี่ยนประเทศไทย ด้วยการรับจำนำข้าว มติชนรายวันรายวัน 5-11-55 http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1352088566&grpid=03&catid=03
[7] เปลี่ยนประเทศไทยด้วยการจำนำข้าว (อีกที) โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์ มติชนรายวัน 3-12-55 http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1354506138&grpid=03&catid=03
[8] จำนำดันเครื่องจักรกลเกษตรโต ฐานเศรษฐกิจ 11-01-56 http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=163302:2013-01-11-09-22-18&catid=87:2009-02-08-11-23-26&Itemid=423
[9] บิ๊กซีพี ชี้ "จำนำข้าว" จะดีมาก ถ้าเพิ่มอีก 5 เรื่องที่ต้องทำ !!! มติชนออนไลน์ 26-12-56 http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1356511798&grpid&catid=05&subcatid=0500
[10] ซีพีทุ่ม 3 พันล้านยกระดับข้าว เตรียมพร้อมเข้าสู่ประชาคม AEC ไทยรัฐ 20-12-55
[11] นโยบายสาธารณะว่าด้วยเรื่องข้าว , สมพร อิศวิลานนท์
[12] การแพร่ระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เกิดขึ้นครั้งแรกในไทย เมื่อประมาณปี 2520 ต่อมาใน ปี 2532 - 2533 , ปี 2540- 2541 และล่าสุดคือ ปี 2552 - ช่วงต้นปี 2553 (ดูตารางประกอบ)
[13] งานวิจัย "ดำรงชีวิตท่ามกลางความเสี่ยง : การรับมือและการปรับตัวต่อภัยพิบัติของชาวนารายย่อยภาคกลาง กรณีศึกษาภัยน้ำท่วมและภัยจากเพลี้ยกระโดด" โดย ชลิตา บัณฑุวงศ์ นิรมล ยุวนบุณย์ และ นันทา กันตรี , เมษายน 2554
[14] ตลาดข้าวปี"51 แนวโน้มสดใส ไทยคาดส่งออก 9 ล้านตัน ประชาชาติธุรกิจ 12-11-50
[15] สมพร อิศวลานนท์ , 2555 (อ้างแล้ว , หน้า 16)
[16] ความหลากหลายทางพันธุกรรมของข้าวขึ้นน้ำภาคกลาง กรณีศึกษา ต.บ้านขล้อ อ.บางประหัน จ.พระนครศรีอยุธยา , สุขสรรค์ กันตรี 2554
[17] ชลิตา บัณฑุวงศ์ นิรมล ยุวนบุณย์ และ นันทา กันตรี , เมษายน 2554 (อ้างแล้ว)
[18] “โครงการนำร่องการบริหารจัดการและพัฒนาพื้นที่การเกษตรเป็นพื้นที่รับน้ำ นองเพื่อการบรรเทาอุทกภัยขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ของพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตาม แนวพระราชดำริ แก้มลิงพื้นที่บางบาล(1)” ; ชูเกียรติ ทรัพย์ไพศาล , 2009
[19] ดู "เปิดแนวพื้นที่แก้มลิงกว่า 1 ล้านไร่รับน้ำท่วมพร้อมจ่ายชดเชย" ฐานเศรษฐกิจ 23 มีนาคม 2555
และ "ก.เกษตรฯคลอดแผนชดเชยพื้นที่รับน้ำนอง" ศูนย์ข่าวเพื่อชุมชน 30 มีนาคม 2555
[20] “ชาวนาจวก4ส.ส.พท.1ชทพ.อยุธยาอมอะไรไว้ในปาก ไม่คิดช่วยถูกน้ำท่วม” มติชนออนไลน์ 29-10-53 http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1288331280&catid=no
[21] กลางระส่ำศึกน้ำ ใต้หลอนฝันร้ายหาดใหญ่ โพสต์ทูเดย์ 30-10-53
[22] ชาวกรุงเก่าเปิดฉากทะเลาะกันเรื่องน้ำท่วม ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1-09-54 http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000110646
[23] ถนนกรุงเก่าขาด ผวาน้ำทะเลหนุน จี้รัฐเร่งช่วยเหลือ น.ส.พ.เดลินิวส์ 3-09-54 (หน้า 1, 15)
[24] ชลประทานผักไห่เสริมกระสอบทรายป้องกันน้ำเซาะประตูระบายน้ำพัง มูลนิธิเตือนภัยพิบัติ 3-09-54