Skip to main content
sharethis

ร้องคณะกรรมการสิทธิฯ ไทย ‘โครงการท่าเรือน้ำลึกและเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย’ กระทบวิถีชีวิต-สิทธิมนุษยชนคนท้องถิ่น 3 พื้นที่ กว่า 30,000 คน ‘หมอนิรันดร์’ รับเรื่อง ชี้เป็นการตรวจสอบ รัฐบาลไทย-นักลงทุนไทยที่เข้าไปลงทุนในพม่า

 
วันนี้ (5 มี.ค.56) ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ชาวบ้านพื้นที่โครงการท่าเรือน้ำลึกและเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายในนามสมาคมพัฒนาทวาย (Dewei Development Association: DDA) ราว 20 คน เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อ นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ประธานคณะอนุกรรมการด้านสิทธิชุมชนและฐานทรัพยากร คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ระบุข้อกังวลเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนและสิทธิชุมชนในโครงการท่าเรือน้ำลึกและเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ในประเทศพม่า พร้อมร่วมให้ข้อมูลเพิ่มเติมต่อที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯ
 
หนังสือจากสมาคมพัฒนาทวาย ระบุถึงความกังวลต่อสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องกับโครงการท่าเรือน้ำลึกและเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายที่กำลังเกิดขึ้นในแคว้นตะนาวศรี และหวังว่าทางคณะกรรมการสิทธิของไทยจะมีมาตรการในการส่งเสริมให้เกิดสิทธิมนุษยชนในมาตรฐานสากลต่อโครงการนี้
 
ปัจจุบัน โครงการนี้ได้กลายมาเป็นโครงการระหว่างรัฐต่อรัฐ คือรัฐบาลไทยและรัฐบาลพม่า ภายใต้บันทึกความเข้าใจ หรือเอ็มโอยู เมื่อเดือนกรกฎาคม 2555 จากที่ก่อนหน้านี้ เมื่อปี 2551 บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลง หรือเอ็มโอเอ กับการท่าเรือพม่า เพื่อพัฒนาโครงการท่าเรือน้ำลึกและเขตนิคมอุตสาหกรรม ในฐานะเป็นผู้ลงทุนหลัก
 
 
โครงการท่าเรือน้ำลึกและเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ประกอบไปด้วยองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น ท่าเรือน้ำลึก โรงกลั่นน้ำมัน อุตสาหกรรมปิโตรเคมี โรงงานถลุงเหล็ก โรงไฟฟ้าถ่านหิน และโรงงานอื่นๆ รวมถึงโครงการสร้างเขื่อนเก็บน้ำเพื่อใช้ในเขตนิคมอุตสาหกรรม และการสร้างถนนเพื่อเชื่อมต่อกับประเทศไทย
 
หนังสือจากสมาคมพัฒนาทวาย ระบุด้วยว่า โครงการนี้ได้สร้างผลกระทบต่อวิถีชีวิตและสิทธิมนุษยชนของประชาชนท้องถิ่นที่อาศัยอยู่ใน 3 พื้นที่ คือ 1.พื้นที่ 204.5 ตารางกิโลเมตรของท่าเรือน้ำลึกและเขตนิคมอุตสาหกรรมทวายในเขตนาบูเล่ ซึ่งห่างจากเมืองทวายไปทางเหนือ 20 กิโลเมตร มีประชากร 32,274 คน จาก 3,977 ครัวเรือน ใน 21 หมู่บ้าน
 
2.หมู่บ้านกาโลนท่า ห่างจากเมืองทวายไปทางเหนือ 36 กิโลเมตร ซึ่งมีแผนจะสร้างเขื่อนที่แม่น้ำตะลายยาร์ มีประชากรประมาณ 1,000 คน จาก 182 ครัวเรือน และ 3.พื้นที่ก่อสร้างถนนที่มีความยาว 132 กิโลเมตรที่เชื่อมต่อระหว่างเขตนิคมอุตสาหกรรมทวายกับบ้านพุน้ำร้อนของประเทศไทย มีประชากรประมาณ 50,000 คนที่จะถูกผลกระทบ
 
Ye Lin Myint ตัวแทนจากสมาคมพัฒนาทวาย กล่าวถึงการเดินทางมาจากทวายเพื่อยื่นหนังสือต่อกรรมการสิทธิฯ ว่า เพื่อให้ได้รับทราบข้อมูลว่าชุมชนได้รับผลกระทบด้านจากการพัฒนาอย่างไรบ้าง และชุมชนมีปัญหาถูกขับไล่ออกจากพื้นที่เพื่อเอาที่ดินไปใช้ดำเนินโครงการ โดยบริษัทของคนไทย ดังนั้นจึงเดินทางมายื่นหนังสื่อต่อคณะกรรมการสิทธิฯ ของไทยเพราะหวังจะได้รับความช่วยเหลือในการแก้ปัญหา
 
ทั้งนี้ นอกเหนือจากกรณีโครงการท่าเรือน้ำลึกและเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายแล้ว ยังมีผู้ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ตะกั่วในทวายที่ดำเนินการโดยบริษัทของคนไทยเดินทางมาร่วมยื่นหนังสือด้วย
 
Ye Lin Myint ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า พวกเขามีความมุ่งหวังให้คณะกรรมการสิทธิฯ มาดูแลการละเมิดสิทธิมนุษยชนทั้งในส่วนของโครงการฯ และพื้นที่ก่อสร้างถนนเชื่อมต่อมายังประเทศไทย และว่าที่ผ่านมาชาวบ้านไม่ได้รับรู้ข้อมูลของโครงการฯ จากบริษัทอิตาเลียนไทยเลย การจ่ายค่าชดเชยที่ดินมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน ไม่เป็นธรรม มีการเลือกปฏิบัติ และบริษัทไม่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการจ่ายค่าชดเชยให้ชุมชนได้ทราบ
 
ส่วนการโยกย้ายชุมชนนั้น บ้านถูกสร้างขึ้นอย่างไม่มีคุณภาพ และพื้นที่รองรับการโยกย้ายไม่เหมาะสม การโยกย้ายชาวบ้าน 32,000 คน จากพื้นที่นาบูเล่ซึ่งจะกลายเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษนั้น กว่า 86% เป็นเกษตรกร แต่ที่ดินที่จะถูกย้ายเข้าไปอยู่กลับเป็นพื้นที่ซึ่งไม่เหมาะสมต่อการทำการเกษตร
 
ส่วน Than Zint จากสมาคมพัฒนาทวาย กล่าวว่า โครงการท่าเรือน้ำลึกและเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายใหญ่กว่ามาบตาพุด 7-10 เท่า แต่ถึงขณะนี้ยังไม่มีการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) หรือ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) เลย เห็นได้ชัดว่าไม่มีความรับผิดชอบและการเข้ามาลงทุนไม่ให้ข้อมูลกับชุมชน
 
 
ขณะที่ชาวบ้านคนหนึ่งในพื้นที่ซึ่งจะต้องถูกโยกย้ายกล่าวว่า อยากให้บริษัทผู้ก่อสร้างโครงการฯ ให้ข้อมูลและให้ค่าชดเชยที่เป็นธรรมกับชุมชนหากจะก่อผลกระทบขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา ผู้ก่อสร้างโครงการฯ ไม่เคยถามชุมชน ไม่เคยจัดให้มีการรับฟังความเห็นจากชุมชน ทั้งที่โครงการมาก่อสร้างในชุมชนดั้งเดิมที่อยู่กันมาอย่างยาวนาน อีกทั้ง การสร้างถนนจากทวายถึงกาญจนบุรีนั้นให้ค่าตอบแทนอย่างไม่เสมอภาค ชาวบ้านหลายคนยังไม่ได้เงินชดเชย และมีกรณีของการไล้รื้อเกิดขึ้นด้วย
 
“การที่ไทยมาลงทุนในพม่าดี แต่มาทำอย่างนี้ ไม่ให้ข้อมูล ไม่ฟังความต้องการ ไม่ดี และชุมชนจะไม่ยอมรับด้วย” ชาวบ้านในพื้นที่ผลกระทบกล่าว และว่าการดำเนินโครงการในรูปแบบดังกล่าวทำให้ชุมชนหมดความเชื่อถือ
 
ชาวบ้านรายเดิมกล่าวถึงข้อเรียกร้องต่อกรรมการสิทธิฯ ด้วยว่า การลงทุนในทวายหากยังคงดำเนินต่อไป อยากให้กรรมการสิทธิฯ ของไทยไปเข้าดำเนินการดูแลเรื่องสิทธิมนุษยชนในพื้นที่รวมทั้งเรื่องกฎหมายด้วย
 
“การที่บริษัทไทยเข้าไปลงทุนแล้วไม่รับผิดชอบต่อสิทธิมนุษยชน ก่อผลกระทบให้เกิดความเกลียดชังขึ้นในพื้นที่ได้” ชาวบ้านอีกรายหนึ่งกล่าว
 
 
ด้าน นพ.นิรันดร์ กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของกรรมการสิทธิฯ ที่จะตรวจสอบทั้ง โครงการท่าเรือน้ำลึกและเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย และกิจการเหมืองแร่ แต่การตรวจสอบนี้เป็นการตรวจสอบนักลงทุนไทยและรัฐบาลไทยที่เข้าไปลงทุนในพม่า ตามอำนาจหน้าที่ และกรณีดังกล่าวถือเป็นตัวอย่างของการละเมิดสิทธิข้ามพรมแดน ทั้งนี้ กรรมการสิทธิฯ ชุดที่แล้วเคยตรวจสอบกรณีเขื่อนฮัตจี ประเทศพม่า ทำให้โครงการชะลอแม้จะไม่สามารถยุติได้ และกรรมการสิทธิฯ ก็มีการรับหนังสือให้ตรวจสอบในหลายเรื่อง เช่น โรงไฟฟ้าหงสาและเขื่อนไซยะบุรีในลาว เกาะกงในกัมพูชา เป็นต้น
 
ส่วนข้อเสนอ นพ.นิรันดร์ กล่าวว่า 1.ทำเรื่องข้อมูลของท้องถิ่น ทั้งพื้นที่ เศรษฐกิจ ชุมชน วิถีชีวิต ซึ่งไทยเรียกว่าการประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน หรือ CHIA ในพื้นที่โครงการฯ 2.ต้องมีนักกฎหมายในพื้นที่ เพราะประเด็นกฎหมายเป็นประโยชน์ในการต่อสู้ด้วย อยากให้ทำงานในทั้ง 2 ส่วนนี้ด้วย นอกเหนือจากการทำงานเคลื่อนไหว
 
สำหรับการทำงานต่อไปกรรมการสิทธิฯ จะเชิญหน่วยงานรัฐและเอกชนมาชี้แจงเพื่อรับทราบข้อเท็จจริง และหากเป็นไปได้จะหาโอกาสลงพื้นที่ไปพูดคุยกับชาวบ้านด้วย
 
 
 
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net