Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis
บทความนี้ผู้เขียนมุ่งหมายให้ผู้อ่านที่เป็นกลุ่มผู้ใช้แรงงานผลิตสินค้าและบริการในสถานที่ทำงานต่างๆ เช่น ในโรงงานอุตสาหกรรม  รวมถึงปัญญาชนในฐานะที่เป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคด้วย  และเพื่อต้องการทราบว่า ความสัมพันธ์ของคนในระบบทุนนิยมดำเนินไปอย่างไร มีความขัดแย้งในตัวเองหรือไม่ ก่อให้เกิดสภาวะแปลกแยก แตกต่างระหว่างมนุษย์ของคนในชนชั้นหลัก 2 ชนชั้นคือชนชั้นกรรมาชีพและนายทุนหรือไม่ อย่างไร  หรือระบบความสัมพันธ์ของคนในสังคมทุนนิยมกำลังบ่อนทำลายความเป็นมนุษย์หรือไม่ เพียงใด โดยในตอนที่ 1 จะเป็นการสรุปความคิดของมาร์คซ์จากหนังสือเรื่อง Alienation: Marx’s Conception of Man in Capitalist Society ของ Bertell Ollman นักรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก (เบอร์เทล โอลล์แมน. ความแปลกแยก : แนวความคิดของมาร์คซ์ว่าด้วยความเป็นมนุษย์ในสังคมทุนนิยม ตีพิมพ์ครั้งที่ 2 ปี 2519 สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ : ลอนดอน นิวยอร์ก และเมลเบิร์น) และตอนที่ 2 รัฐทุนนิยมกับการสร้างสภาวะแปลกแยก จะเป็นการนำทฤษฎีความแปลกแยกที่พัฒนาโดยนักวิชาการ เช่น จอร์ช ลูคักซ์ มาอธิบายการสร้างความแปลกแยกในความสัมพันธ์ระหว่างทุนกับแรงงาน และนำงานของอันโตนิโอ กรัมชี่ว่าด้วยการครองใจของชนชั้นนายทุนภายใต้รัฐสมัยใหม่ โดยใช้กลไกกล่อมเกลาทางอุดมการณ์และกลไกปราบปราม เมื่อผู้ถูกปกครองต่อต้าน  แต่บทความนำเสนอในภาพใหญ่ เพื่อใช้เป็นกรอบในการประยุกต์ วิเคราะห์ปัญหาความขัดแย้งทางชนชั้นในรูปแบบและมิติต่างๆ ต่อไป
 
ระบบทุนนิยมที่หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ ไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ ก่อให้เกิดการยอมรับในปรัชญาของระบบนี้ไปอย่างปริยาย  ในขณะที่อีกซีกโลกหนึ่งในแถบยุโรปกำลังตั้งข้อสงสัยและไม่พอใจกับระบบทุนนิยมอย่างมากที่ก่อให้เกิดวิกฤตสังคมซ้ำซากและทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น  เพราะนายทุนบรรษัทข้ามชาติกับรัฐมีอำนาจกำหนดชะตาชีวิตของคนทำงานมากเกินไปจนชีวิตของพวกเขานั้นขาดความมั่นคง สังคมขาดการคุ้มครอง คนตกงาน ฆ่าตัวตาย
 
สิ่งที่น่าสังเกตในสังคมอุตสาหกรรม คือ ทำไมคนทำงานนานหลายชั่วโมงแต่ความเป็นอยู่ยังไม่ดีเทียบเท่ากับคนรวยชั้นสูงและชั้นกลาง  ทำไมงานที่ทำให้พวกเขาเมื่อยล้า แต่ตัวเองกลับไม่มีความสุข ความพึงพอใจในชีวิตเท่าที่ควร ต้องเรียกร้องอยู่เสมอ  ทำไมยิ่งทำงาน ยิ่งทำให้แรงงานไร้อำนาจที่จะเข้าถึงปัจจัยการผลิตและสินค้าที่ตัวเองผลิต ในขณะที่มีคนเพียงจำนวนน้อยไม่ได้ผลิตแต่ได้เป็นเจ้าของมัน  หรือเมื่อแรงงานลุกขึ้นสู้ นัดหยุดงาน เรียกร้องสิทธิกลับถูกนายทุนใช้ความรุนแรงตอบโต้ทุกรูปแบบ (กอปรกับมีศาลช่วยคุ้มครอง) ทั้งๆที่เขาทำงานหนัก เร่งผลิตให้แทบไม่ได้หยุด
 

ตอนที่ 1 สรุปทฤษฎีสภาวะแปลกแยกของคาร์ล มาร์คซ์

 
คาร์ล มาร์คซ์ นักเศรษฐศาสตร์การเมือง อธิบายสภาวะแปลกแยกว่าเป็นความเหินห่าง เหลื่อมล้ำ แตกต่างกันของมนุษย์  เป็นความขัดแย้งทั้งภายในตัวเองและระหว่างคนสองชนชั้น คือทุนกับแรงงานในสังคมทุนนิยม  และความแปลกแยกนี้เป็น “ความผิดพลาด/จุดอ่อน” ของระบบการผลิตแบบทุนนิยมที่ส่งผลต่อมนุษย์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทั้งตัวของนายทุนและผู้ใช้แรงงาน แต่ผู้ใช้แรงงานจะได้รับผลกระทบจากความผิดพลาดของระบบนี้รุนแรงกว่านายทุน (Bertell Ollman. สภาวะแปลกแยก : แนวความคิดของมาร์คซ์ว่าด้วยความเป็นมนุษย์ในสังคมทุนนิยม ตีพิมพ์ครั้งที่ 2 ปี 2519 สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ : ลอนดอน นิวยอร์ก และเมลเบิร์น, หน้า 132) แล้วแต่ว่าอยู่ในตำแหน่งใดและมีรูปแบบการใช้ชีวิตอย่างไร การที่ผู้ใช้แรงงานทุกข์ทรมานกับความแปลกแยกนั้นมาจากกิจกรรมการผลิตที่ผู้ผลิต (ผู้ใช้ความสามารถในการทำงาน-labor power) ไม่ได้เป็นเจ้าของผลผลิต (labor) นั้น แต่กลับไปเป็นของนายทุนแทบทั้งหมด โดยได้รับเพียงค่าจ้าง/เงินเดือนตอบแทนความสามารถในการทำงานของตัวเอง
 
ดังนั้น สิ่งที่เราจะเข้าไปดูคือ ความสัมพันธ์ทางการผลิตในระบบทุนนิยม ระบบที่เน้นการผลิตสินค้าเพื่อแลกเปลี่ยน สะสมทุน ความมั่งคั่ง แต่มองข้ามความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ธรรมชาติของมนุษย์และการเคารพซึ่งกันและกัน  ในที่สุดเป็นระบบที่นำไปสู่ความสัมพันธ์ที่แตกหักกันระหว่างแรงงานกับทุน โดยมีรัฐทุนนิยมเป็นตัวสร้างความแตกแยกของคนในสังคมทุนนิยมให้แหลมคมมากขึ้น  ระบบทุนสร้างสภาวะแปลกแยกของทั้งสองชนชั้น อธิบายได้ดังนี้
 
สภาวะแปลกแยกของแรงงาน
 
ในระบบการผลิต แรงงานมักถูกตัดขาดแบ่งแยกออกจากงานที่ตัวเองทำ กล่าวคือ คนไม่มีอำนาจตัดสินใจว่าจะทำอะไร ผลิตอะไรและผลิตอย่างไร ปัจเจกบุคคลจึงถูกแบ่งแยกกีดกันออกไปจากกิจกรรมในชีวิตประจำวัน  คนถูกแบ่งแยกออกจากผลผลิตของตัวเอง คือ ไม่มีอำนาจเหนือสิ่งที่ตัวเองผลิต ซึ่งเป็นความแตกแยกระหว่างปัจเจกบุคคลกับโลกแห่งวัตถุทั้งหลาย  คนถูกแบ่งแยกออกจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพราะมีการแข่งขันและการเป็นศัตรูทางชนชั้น ไม่สามารถร่วมมือกันทำงานได้จริง  และการแตกแยกระหว่างชนชั้นในระบบทุนนิยม คนที่แปลกแยกมากๆ จะกลายเป็นคนว่างเปล่า อยู่ในสภาวะสูญสิ้นอำนาจในตัวเองในที่สุด
 
ความแปลกแยกมาจากความสัมพันธ์ของมนุษย์ 4 ด้านกว้างๆ ที่ครอบคลุมความมีอยู่ของมนุษย์แทบทั้งหมด ระบบความสัมพันธ์ของมนุษย์ 4 ด้าน คือความสัมพันธ์ของมนุษย์กับกิจกรรมการผลิต  กับผลิตภัณฑ์สินค้า กับมนุษย์คนอื่นๆและกับเผ่าพันธุ์ของตัวเอง
 
1.     ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับกิจกรรมการผลิต (Man’s relation to his productive activity) มาร์คซ์อธิบายความแปลกแยกระหว่างมนุษย์กับกิจกรรมการผลิตว่า เมื่อผลผลิตถูกทำให้แยกออกจากสารัตถะของความเป็นมนุษย์ คือ คนงานไม่ได้เป็นเจ้าของงานที่ตัวเองทำ จึงพยายามปฏิเสธตัวเอง ไม่ยืนยันความเป็นตัวของตัวเอง และไม่มีความสุขกับงาน ไม่พัฒนาพลังกายและใจแต่กลับทรมานตัวเอง ทำลายจิตวิญญาณ มีความรู้สึกในลักษณะแบบ อยู่บ้านเพราะไม่ได้ทำงาน และเมื่อทำงานก็ไม่ได้อยู่บ้าน ผลผลิตที่ได้จึงไม่ใช่มาจากความเต็มใจ แต่มาจากการถูกใช้ถูกบังคับ (อ้างแล้ว, น.136) และนี่มักเกิดขึ้นกับผู้ใช้แรงงาน
 
กิจกรรมการผลิตในระบบทุนนิยมมีลักษณะแบบแบ่งงานกันทำ การทำงานซ้ำซากในแต่ละแผนก ภาระงานแต่ละอย่าง  ทำให้งานไปลดทอนศักยภาพการใช้อำนาจของมนุษย์ในการผลิต  ผลงานที่มาจากกระบวนการใช้แรงงานในระบบทุนนิยมที่ผู้ผลิตไม่ได้เป็นเจ้าของเลยนั้น ทำให้อำนาจของมนุษย์ถูกลดทอน อำนาจของมนุษย์ที่ระบบทุนนิยมกลับหัวกลับหางไปหมด คือแทนที่จะพัฒนาศักยภาพที่อยู่ในพลังของมนุษย์ แต่ทุนคอยแต่บริโภคและบั่นทอนโดยไม่ไปเติมเต็มพลังของมนุษย์เลย ราวกับว่าพวกเขาเป็นเชื้อเพลิงให้เผาไหม้และทิ้งพวกเขาให้ยากจนลง นี่คือการถอยหลังสู่ภาวะไร้อำนาจของมนุษย์ผู้ใช้แรงงาน มาร์คซ์จึงมองว่าแรงงานคือมนุษย์ที่สูญเสียความเป็นตัวเอง
 
ยกตัวอย่างให้เห็นคือ ความถดถอยของร่างกาย ร่างกายแคระแกร็น หลังงอ กล้ามเนื้อล้า ไม่แข็งแรง  หรือโตเกินไป นิ้วตะปุ่มตะป่ำ ปอดใหญ่ หน้าซีดเผือด  ทั้งนี้มนุษย์ถูกใช้แรงงานจนเป็นโรคจากการทำงานในระบบอุตสาหกรรม เพราะเขากลายเป็นติ่งหนึ่งของเครื่องจักรไปแล้ว
 
นอกจากทางกายภาพข้างต้น ทางจิตวิญญาณก็ถูกบั่นทอนเช่นกัน คือ นำมาซึ่งความอ่อนแอทางสติปัญญา (Cretinism or idiocy) ความไม่พอใจกับงาน กิจกรรมการผลิตกลายเป็นความทุกข์ทรมาน เป็นสิ่งที่น่าหลีกเลี่ยงราวกับว่าเป็นโรคระบาด ทำงานเพื่อกินเพื่ออยู่รอดเท่านั้นหรืออย่างมากสุดเพื่อหาบ้านอยู่อาศัย และสนุกกับแต่งตัวบ้าง แต่เป็นแค่สัญชาตญาณทั่วๆไป ทั้งนี้เพราะในระบบทุนนิยม ผลงานกลายเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคลของคนที่ไม่ทำงาน ที่ก่อให้เกิดการกลับหัวกลับหางของลักษณะความเป็นมนุษย์ เพราะกิจกรรมการทำงานอยู่ภายใต้การบังคับใช้แรงงาน การควบคุมการทำงานและการครอบงำของนายทุนนั่นเอง
 
2.     ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับผลิตสินค้าสินค้าและบริการ (Man’s relation to his product)   ผลงานที่มาจากกระบวนการใช้แรงงานกลายเป็นวัตถุแปลกแยกที่มีอำนาจเหนือผู้ผลิต  เมื่อคนไม่ได้ตัดสินใจเองว่าจะผลิตอะไร อย่างไร ฉะนั้นผลิตภัณฑ์สินค้าและบริการที่ผลิตออกมาจึงถูกแปลกแยกไปด้วย ซึ่งก็เท่ากับว่าเขากำลังสร้างรอยร้าวระหว่างตัวเองกับตัวเองมากขึ้นทุกที เหมือนกับที่ร่างกายและจิตใจนั้นแยกออกจากกัน (อ้างแล้ว, น.141)  ผลิตภัณฑ์สินค้าและบริการกลายเป็นวัตถุที่ดำรงอยู่ภายนอกตัวของผู้ผลิตอย่างอิสระ จนเป็นวัตถุที่ทรงอำนาจวางอยู่ต่อหน้าของคนทำงาน
 
เนื่องจากธรรมชาติของมนุษย์นั้นคือการมีอำนาจในสิ่งที่ตัวเองผลิตและแสดงออกต่อวัตถุนั้นอย่างเต็มที่ ไม่สูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง กล่าวคือ มนุษย์คือพลังการผลิต การดัดแปลงโลกแห่งวัตถุให้เป็นผลิตภัณฑ์สินค้าเพื่อสนองต่อความต้องการของตัวเอง กิจกรรมการผลิตที่ควรจะเป็นนั้นคือ การทำงานอย่างมีชีวิตจิตใจ และพัฒนาลักษณะเผ่าพันธุ์ของมนุษย์เช่นนี้ต่อไป แต่การผลิตในระบบทุนนิยมนั้น ได้ตัดขาดสินค้าและบริการออกไปจากผู้ผลิตอย่างอิสระ สินค้านั้นอยู่เหนือการควบคุมของผู้ผลิต ไม่สามารถนำไปใช้ดำรงชีวิตหรือเอาไปใช้ในการทำการผลิตต่อเนื่องได้ เข้าทำนอง “ยิ่งผลิตมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งบริโภคน้อยลง”  เมื่อเทียบกับชนชั้นนายทุน หากธรรมชาติของมนุษย์ข้างต้นถูกบั่นทอนจะทำให้คนยิ่งรู้สึกขาดแคลนสิ่งดำรงชีวิต เพราะสิ่งที่ผลิตขึ้นมา (objects) ถูกขโมยไปเป็นของคนอื่นนั่นเอง
 
ในสังคมทุนนิยม สินค้าและบริการถูกทำให้กลายเป็นเหตุการณ์สำคัญสำหรับการแลกเปลี่ยนซื้อหาในตลาด  การผลิตสินค้าจึงเป็นไปเพื่อแลกเปลี่ยน ที่ผู้คนต่างติดตามความก้าวหน้าของสินค้าในตลาดราวกับว่ากำลังจองมองการแสดงที่มีชีวิตเลือดเนื้อจริง และในการแสดงนี้เล่นโดยปัจเจกที่เป็นเจ้าของสินค้าเท่านั้น  ดังนั้นความสัมพันธ์ของมนุษย์ในตลาดจึงเป็นความสัมพันธ์ของสินค้าของพวกเขา และความสัมพันธ์ทางสังคมของคนจึงเป็นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งของ ซึ่งทำให้การแลกเปลี่ยนสินค้า เช่นรองเท้าแลกกับเสื้อผ้าหรือสิ่งที่มีค่าเท่ากัน เป็นเพียงฉากหน้าที่บดบังความสัมพันธ์ระหว่างคนที่เกี่ยวข้องกันในกระบวนการผลิต
 
ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในกิจกรรมการผลิตระหว่างพลังของมนุษย์และผลงานที่ทำ ในระบบทุนนิยมเน้นผลงานเพียงด้านเดียว และสร้างให้มันมีตำแหน่งมีอำนาจเหนือผู้ผลิต และผู้ผลิตหรือแรงงานจึงกลายเป็นผู้ไร้อำนาจในการตัดสินใจในการผลิต ไร้ความสามารถที่จะหาปัจจัยการผลิตมาทำการผลิต และสูญเสียโอกาสที่จะพัฒนาผลผลิตของตัวเองไปจนถึงการขาดแคลนปัจจัยการดำรงชีพ  ลักษณะการผลิตแบบทุนนิยมจึงนำมาซึ่งความสัมพันธ์ที่ผกผันกันสิ้นเชิงระหว่างแรงงานที่มีชีวิตกับแรงงานที่ตายแล้ว (เช่นเครื่องจักรที่มาจากการผลิตของแรงงานมาก่อนหน้านี้ ตั้งอยู่และคอยดูดเอาพลังของแรงงานที่กำลังทำงานอยู่ ปัจจัยทุนจึงมีอำนาจเหนือแรงงานผู้ผลิต)
 
สำหรับผลิตภัณฑ์สินค้าที่ทำให้ดูมีชีวิต มีอำนาจ มีอิสระตัดขาดจากผู้ผลิตนั้น มาจากการโหมประโคมเรื่องการบริโภค ที่นายทุนกำหนด กระตุ้นให้ผู้คนต้องการบริโภคสินค้าอย่างไม่จำกัด ทำให้คนหลงใหลตัวสินค้า สร้างความบันเทิง ความพึงพอใจ ความงาม ศิลปะให้แก่สินค้าเพื่อให้ดูน่าบริโภค และทำให้คนตัดสินใจซื้อ และแทบควบคุมตัวเองไม่อยู่ ความอยากได้ไปไกลกว่าที่ตัวเองต้องการจริงๆ (น.146)
 
นอกจากนี้การครอบงำความต้องการของมนุษย์ได้ไปกำหนดรูปแบบการบริโภคต่างๆนานา สินค้าแต่ละชิ้นที่เซ็ทมาพร้อมกับการใช้สอยของมัน และกำหนดวิถีชีวิตของผู้คน  และวิถีชีวิตของผู้ใช้แรงงานในระบบทุนนิยมตกต่ำลงไปเป็นวิถีชีวิตที่ตอบสนองความต้องการสินค้าเท่านั้น เพราะสินค้ามีความสำคัญเหนือกว่าคนผลิตนั่นเอง คนผลิตถูกละเลย ถูกทำให้ไร้ค่า แม้ปัจจุบันคนงานจะสามารถซื้อหาสินค้าที่ตัวเองผลิต เช่น รถ ตู้เย็น เครื่องดูดฝุ่น ชุดว่ายน้ำ เสื้อผ้า ได้ทันทีในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาด แต่ต้องได้รับอนุญาต ผ่านอำนาจการตัดสินใจของจากนายจ้างก่อน  ส่วนผลิตภัณฑ์สินค้าที่ผลิตมาผิดสเป็ค ก็จะถูกเจ้าของโรงงานนำไปทำลาย
 
3.     ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับมนุษย์ (Man’s relation to his fellow men)  จากการที่สินค้าของคนงานที่ผลิตกลายเป็นปฏิปักษ์กับตัวเองเพราะตกไปเป็นของนายทุน ที่ผลประโยชน์ของเขานั้นสวนทางกับของคนงาน สินค้าที่มาร์คซ์มองเป็นทั้งหน้ากากและเครื่องมือทางอำนาจของนายทุน  นี่คือข้อได้เปรียบของทุนที่จะสามารถแสดงวิธีการต่างๆที่บอกว่าเขามีอำนาจควบคุมสินค้าได้
 
ในฝ่ายของผู้ใช้แรงงาน ยกตัวอย่างเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับสินค้าและกับมนุษย์คนอื่น บ้านที่เขาอยู่นั้นอาจอยู่ได้เพียงชั่วคราว ซึ่งเป็นการอยู่อาศัยแบบแปลกแยก เพราะถ้าวันใดไม่จ่ายค่าเช่า หรือผ่อนตามกำหนด ก็จะถูกไล่ออกไป อยู่ในบ้านที่ตัวเองไม่ได้เป็นเจ้าของ อยู่อย่างไม่สนิทใจเช่นปลาอยู่ในน้ำ ทำให้ขาดความไว้วางใจ กลัวคนที่มีอำนาจมากกว่าคือเจ้าของบ้าน/ที่ดิน เพราะในธรรมชาติของมนุษย์ควรเป็นเจ้าของในเรื่องพื้นฐานเช่นที่อยู่อาศัย  เมื่อแรงงานแปลกแยกจากคนที่เป็นเจ้าของสินค้าที่เขาผลิต จากกิจกรรมการผลิต ตำแหน่งแห่งที่ จุดยืน มุมมองของคนสองชนชั้นจึงอยู่กันคนละฝั่งและแข่งขันกันเพื่อให้ได้ผลประโยชน์และอำนาจในการผลิต
 
4.     ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับเผ่าพันธุ์ของตัวเอง (Man’s relation to his species) เผ่าพันธุ์มนุษย์คือ เผ่าพันธุ์ที่มีพลังในสิ่งที่ตัวเองทำ การพัฒนาความคิด การสร้างสรรค์ที่สอดรับความต้องการของตัวเอง การเข้าถึงโลกแห่งวัตถุ ปัจจัยทุนสำหรับใช้ผลิต การไม่มีใครมาบังคับ แย่งชิง แข่งขัน พลัดพรากผลผลิตไปจากตัวเอง  แต่จากการที่นายทุนมีเสรีภาพ ควบคุมสินค้าได้นั้นเป็นเสรีภาพที่เป็นปฏิปักษ์กับคนงาน ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับมนุษย์จึงแปลกแยกห่างเหิน แรงงานถูกทำให้ไร้อำนาจในระบบทุนนิยม ขาดการผลิตซ้ำเผ่าพันธุ์ดังว่า  ชีวิตจึงมีอยู่เพื่อกิน นอน  สืบพันธุ์ ในเชิงกายภาพและจิตใจให้อยู่รอด
 
สภาวะแปลกแยกของนายทุน
 
นายทุนอยู่ในสภาพแปลกแยกเหินห่างจากความเป็นมนุษย์ เนื่องจากดังที่กล่าวมาแล้วว่า แรงงานไม่สามารถจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเขาได้ อันเนื่องจากอยู่ในสภาวะไร้อำนาจการเป็นเจ้าของหรือมีอำนาจควบคุมสิ่งที่ตัวเองผลิตและปัจจัยการผลิตสำหรับใช้พัฒนาการผลิตอย่างต่อเนื่องได้  นายทุนเป็นเจ้าของผลผลิต ตัดสินใจการผลิต  ความสัมพันธ์ของนายทุนกับแรงงานคือการที่เขาอยู่ในตำแหน่งที่เอารัดเอาเปรียบนั่นเอง  กิจกรรมการผลิตที่เน้นแต่ผลิตเพื่อขาย ทำกำไร เพิกเฉยว่าอะไรที่จำเป็นจริงๆที่ต้องใช้หรือใครจะเป็นผู้ใช้สอย นายทุนถูกกระทำโดยสภาพเงื่อนไขทางสังคมที่กำหนดว่าจะผลิตอะไร แลกเปลี่ยนอะไรเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด การแข่งขันระหว่างนายทุน  หรือความพึงพอใจในฐานะผู้บริโภค ก็ต้องหามาด้วยการซื้อขาย ให้รู้สึกว่าแตกต่างจากผู้อื่น การปฏิบัติต่อคนงานในลักษณะกดขี่ข่มเหงคนงาน ก็เป็นความแปลกแยกของนายทุนที่กระทำกับคนเยี่ยงวัตถุปัจจัยในการผลิต ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันเป็นไปอย่างไม่ลงรอยกัน
 
อีกลักษณะหนึ่งของความแปลกแยกคือ ความโลภ ความโหดร้ายและความเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย ความโลภดูจะเป็นแรงจูงใจของการกระทำของทุนมากที่สุด ซึ่งมาจากการต้องแข่งขัน บริหารจัดการกับลูกค้าและลูกจ้าง  ความโลภอยากได้เงินของนายทุนมีไว้เพื่อซื้อได้ทุกอย่าง และสะสมให้มากขึ้น ความโหดร้าย การคุกคามของทุนเกิดขึ้นเมื่อลูกจ้างแข็งขืน ต่อต้าน ต่อรองขอแบ่งปันผลกำไร (ซึ่งเป็นการลดทอนระบบกรรมสิทธิ์เอกชน) ความเจ้าเล่ห์ ดีแต่ปากเป็นเหมือนหน้ากากที่นายทุนสวมใส่เพื่อเก็บซ่อนแรงจูงใจและชั้นเชิงของตัวเอง
 
ผู้เขียนมองว่า มาร์คซ์มีเจตนาให้เราคำนึงถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์มากขึ้น ไม่ใช่เพลิดเพลินไปกับสินค้า รสนิยม การบริโภคจนไปทำลายศักดิ์ศรีของคนทำงาน ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของคนงาน ปล่อยให้คนงานอยู่ในสภาพที่ดิ้นรนอยู่ไปวันๆ ขาดแรงจูงใจ ขาดพลังการคิดการใฝ่ฝันแสวงหาโลกใหม่ที่ดีกว่า  และการนำทฤษฎีความแปลกแยกมาใช้นั้นมีประโยชน์ในการตรวจสอบความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างทุนกับแรงงาน และเป็นเครื่องมือทำการศึกษาระบบทุนนิยมให้ลึกซึ้งขึ้น
 
ในตอนที่ 2 จะเชื่อมโยงกับรัฐทุนนิยมว่าเกี่ยวข้องกับการสร้างความแปลกแยกอย่างไร และกล่าวถึงกลไกอุดมการณ์ของรัฐทุนนิยมที่ครอบงำแรงงานให้มีรูปการจิตสำนึกแบบทุน ผลิตซ้ำระบบทุน ที่แม้จะมีการต่อสู้กันระหว่างชนชั้นอย่างมาก รัฐก็ยังสามารถดำรงสังคมชนชั้นนี้ได้

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net