Skip to main content
sharethis

เผยข้อมูลกองทัพบกชี้แจง กสม. ระบุนายทุนเหมืองโปแตซยังไม่ยื่นขอใช้พื้นที่ทหาร เอ็นจีโอจี้เร่งตรวจสอบ หากขอบเขตเหมืองคลาดเคลื่อน ผลการศึกษาผลกระทบตามอีไอเอย่อมไม่ถูกต้องครบถ้วน

 
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 11 ก.พ.56 เวลาประมาณ 15.00 น. แหล่งข่าวภายในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ชุดคณะอนุกรรมการด้านสิทธิชุมชนและฐานทรัพยากร ที่มี นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระเป็นประธาน ได้เปิดเผยข้อมูลกับผู้สื่อข่าวว่า จากการที่กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานีได้ร้องเรียนมายังคณะกรรมการสิทธิฯขอให้ตรวจสอบปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน กรณีโครงการเหมืองแร่โปแตช จ.อุดรธานี ในขั้นตอนการยื่นขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ใต้ดิน ทั้งหมด 4 แปลง รวมเนื้อที่กว่า 2.6 หมื่นไร่ ของบริษัท เอเชียแปซิฟิค โปแตซ คอร์ปอเรชั่น จำกัด
 
จากการตรวจสอบในเบื้องต้น กองทัพบกได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเป็นเอกสารต่อประธานอนุกรรมการด้านสิทธิชุมชนและฐานทรัพยากร พบว่า ณ ปัจจุบันบริษัทฯ ยังไม่ได้มีการยื่นขออนุญาตใช้พื้นที่ สำหรับประกอบกิจการทำเหมืองแร่ลึกลงไปจากผิวดินเกินกว่า 100 เมตร ตาม พ.ร.บ.แร่ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 ในคำขอประทานบัตรแปลงที่ 1 ที่รุกล้ำเข้าไปในเขตทหาร พื้นที่กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 13 ค่ายยุทธศิลป์ประสิทธิ์ ซึ่งเป็นที่ตั้งอาคารสำนักงาน คลังน้ำมัน คลังกระสุนและวัตถุระเบิด เกือบ 200 ไร่ จากเนื้อที่รวมรวมทั้งหมด จำนวน 803 ไร่
 
ตามขั้นตอนผู้ขอใช้หรือผู้ประกอบการจะต้องยื่นเรื่องขอใช้พื้นที่ต่อหน่วยกองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 13 และกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 13 ซึ่งเป็นหน่วยใช้ประโยชน์ในที่ดินก่อน เพื่อพิจารณาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับที่ตั้งหน่วยแล้วรายงานมณฑลทหารบกที่ 24 หน่วยปกครองที่ดิน กองทัพภาคที่ 2 และกองทัพบก พิจารณาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับหน่วยตามลำดับ
 
กรณีกองทัพบกไม่เห็นด้วยเป็นอันยุติเรื่องขอใช้ กรณีกองทัพบกพิจารณาแล้วไม่ขัดข้อง ผู้ขอใช้หรือผู้ประกอบการจะต้องทำเรื่องขอใช้พื้นที่กับธนารักษ์พื้นที่อุดรธานี พิจารณาจนถึงอธิบดีกรมธนารักษ์
 
“การดำเนินโครงการเหมืองแร่โปแตช จ.อุดรธานี คาดว่าจะมีผลกระทบต่อหน่วยของกองทัพบกในพื้นที่ แต่ยังไม่มีหน่วยงานใดทำเรื่องขอใช้พื้นที่มายังกองทัพบก หรือหน่วยงานของกองทัพบกในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี แต่ประการใด” แหล่งข่าวกล่าวอ้าง
 
ด้านนายสุวิทย์ กุหลาบวงษ์ ที่ปรึกษากลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า กลุ่มอนุรักษ์ฯ ได้ร้องเรียนให้คณะกรรมการสิทธิฯ และทหารตรวจสอบในประเด็นนี้ ซึ่งพบว่านอกจากกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 13 แล้ว พื้นที่เหมือง ยังครอบคลุมค่ายทหารอื่นอีก ได้แก่ ค่ายพระยาสุนทรธรรมธาดา มีหน่วยงานที่สำคัญ คือ กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี และกอ.รมน.ภาค 2 และสำนักงานพัฒนา ภาค 2 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา สังกัดกองบัญชาการทหารสูงสุด
 
“บริษัทฯ ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้พื้นที่ที่เหมืองรุกล้ำเข้าไปจากทหาร แต่ปรากฏว่าบริษัทฯ ได้ทำรายงานอีไอเอ เสร็จแล้วและเตรียมนำส่ง สผ. (สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) เพื่อพิจารณา ประเด็นอยู่ที่ว่าถ้าทหารไม่ให้ใช้พื้นที่นั่นแสดงว่าขอบเขตเหมืองมีความคลาดเคลื่อน และการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามรายงานอีไอเอ ที่ทำเสร็จไปแล้ว ย่อมไม่ถูกต้องครบถ้วนตามไปด้วย” นายสุวิทย์กล่าว

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net