Skip to main content
sharethis

ไต่สวนการตาย “ลุงคิม” เหยื่อกระสุน 14 พ.ค.53 พยานเปิดคลิปขณะผู้ตายถูกยิงล้ม ประจักษ์พยานผู้อุ้มผู้ตายออกจากจุดเกิดเหตุเชื่อทหารยิง ช่างภาพช่อง 7 ยันทหารยิง M16 ใส่ผู้ชุมนุมแต่ไม่ทราบว่ากระสุนจริงหรือไม่ แพทย์ชันสูตรพลิกศพพบหัวกระสุนปืนตะกั่วหุ้มทองแดง 1 ชิ้น ในร่างจุดที่ไม่มีอวัยวะสำคัญ

วันที่ 7 และวันที่ 8 ก.พ.56 ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 504 ศาลอาญากรุงเทพใต้นัดไต่สวนชันสูตรพลิกศพ คดีเลขที่ ช.12/2555  ในคดีที่พนักงานอัยการจากสำนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 2 ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนการเสียชีวิตของ นายฐานุทัศน์ อัศวสิริมั่นคง อายุ 55 ปี ที่ถูกยิงเข้าที่หลังด้านซ้าย กระสุนทะลุไขสันหลังและปอดขวา กระสุนไปฝังที่สะบักขวา บาดเจ็บสาหัสและเป็นอัมพาต เหตุเกิดเมื่อเวลาประมาณ 12.00 - 13.00 น. ของวันที่ 14 พ.ค.53 บริเวณหน้าโรงรับจำนำน่ำเลี้ยง ถนนพระราม 4 บ่อนไก่ ช่วงที่มีการกระชับวงล้อมผู้ชุมนุมเสื้อแดงโดยศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ภายใต้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หลังจากนั้นนายฐานุทัศน์ ได้เสียชีวิตในเวลาต่อมาเมื่อ 23 ก.พ. 55 เวลา 22.35 น. ที่ รพ.มเหสักข์

โดยทั้ง 2 วันมีพยานเข้าเบิกความจำนวน 6 ปาก ประกอบด้วย นายอุเชนทร์ เชียงเสน นักศึกษา ปริญญาโท สาขาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะพยานแวดล้อม นางสาวอัจฉรา อิงคามระธร อาสาสมัครของศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม เม.ย.-พ.ค. 53 (ศปช.) นายเอกสิทธิ์ วงศ์คำมา อาชีพช่างทาสี ในฐานะประจักษ์พยานในเหตุการณ์ นายอนิรุทธ์ ชวางกูร  ช่างภาพสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 (ช่อง 7 สี)  พ.ต.ต.นพ.เอกสิทธิ์ หงส์แก้ว กลุ่มงานนิติพยาธิ สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ในฐานะแพทย์ผู้ชันสูตรพลิกศพ และนายธนพร วงษณรัตน์ อาชีพเกษตรกร ในฐานะพยานแวดล้อม

 

หากไม่หลบเข้าไปด้านใน ถือว่าท่านเป็นผู้ไม่ประสงค์ดี

นายอุเชนทร์ เชียงเสน เบิกความว่า พยานได้พักอาศัยอยู่ที่ชั้น 30 อาคารลุมพินีพาร์ควิว คอนโดมิเนียม ติดถนนพระราม 4 เยื้องกับสนามมวยลุมพินี  ในวันเกิดเหตุ 14 พฤษภาคม 2553 เวลาประมาณ 12.00 น. พยานได้ยินเสียงปืนด้านหน้าอาคาร (ถ.พระราม 4) และเสียงเอะอะโวยวาย จึงได้หยิบกล้องถ่ายรูปออกมาที่ระเบียงห้องพัก (ด้าน ถ.พระราม 4) มองลงไปหน้าอาคารและบนถนน เห็นทหารพร้อมอาวุธปืน จึงได้ถ่ายรูปบันทึกเอาไว้

หลังจากนั้นประมาณ 5 นาที พยานได้ยินเสียงประกาศผ่านโทรโข่งของทหาร พร้อมเล็งอาวุธมายังพยานว่า “ผู้พักอาศัย ให้หลบเข้าไปด้านใน ไม่อย่างนั้นจะถือว่าท่านเป็นผู้ไม่ประสงค์ดี” จึงรู้สึกกลัวและหลบเข้าไปในห้องพัก แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงเก็บบันทึกภาพไว้ เขาลงไปด้านล่างหน้าอาคาร ตรงถนนพระราม 4  พบเจ้าหน้าที่ทหารพร้อมอาวุธปืนประมาณ 40 -50 คน ยืนเป็นแถวอยู่บนถนนพระราม 4 และอีกประมาณ 20-30 คน อยู่บนสะพานไทย-เบลเยี่ยม จึงได้ถ่ายภาพไว้

จากนั้นทหารที่อยู่บนถนนพระราม 4 ได้เดินมุ่งหน้าไปทางฝั่งคลองเตย และยิงอาวุธปืนใส่ประชาชนที่กระจายอยู่บริเวณปั๊ม ปตท. และใต้สะพานลอยบ่อนไก่ (ใกล้ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาลุมพินี) และเห็นกลุ่มควันออกจากกระบอกปืนของทหารด้วย โดยพยานได้เดินถ่ายรูปตามหลังทหารมาถึงบริเวณปั๊ม ปตท. เมื่อเคลียร์พื้นที่เสร็จแล้ว ประชาชนวิ่งกระจัดกระจายออกไป ทหารจึงถอยมาตั้งฐานบริเวณด้านหน้าอาคารลุมพินีพาร์ควิว

ในระหว่างนั้นพยาน ไม่ทราบว่ามีประชาชนผู้ได้รับบาดเจ็บหรือไม่ เพราะพยานถ่ายรูปอยู่ด้านหลังทหาร ขณะที่ฝั่งประชาชนได้มีการยิงหนังสติ๊กและจุดพลุตะไลเข้าใส่กลุ่มเจ้าหน้าที่ทหารเพื่อตอบโต้เท่านั้น  เมื่อถูกซักว่า อาวุธที่ทหารใช้นั้นเป็นอาวุธชนิดใด พยานเบิกความว่า เป็นอาวุธเอ็ม 16 และปืนลูกซองยาว ที่ระบุได้เนื่องจากเคยเห็นมาบ้างจากรูปในอินเตอร์เน็ตและนิตยสารต่างๆ ดังปรากฎในรูปซึ่งได้มอบรูปทั้งหมดให้กับพนักงานสอบสวนแล้ว          

หลังจากเหตุการณ์พยานได้เป็นอาสาสมัครของศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณีเหตุการณ์เมษายน-พฤษภาคม 2553 หรือ ศปช. ซึ่งเป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นเพื่อค้นหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ หลังจากเหตุการณ์ พยานซึ่งเป็นอาสาสมัครร่วมกับนางสาวอัจฉรา อิงคามระธร ได้ทราบข่าวว่ามีผู้บาดเจ็บ ซึ่งทราบชื่อในภายหลังว่า คือ นายฐานุทัศน์ อัศวสิริมั่นคง ได้รับบาดเจ็บและนอนรักษาตัวอยู่ที่แฟลตบ่อนไก่ จึงได้เดินทางไปเยี่ยมและถ่ายคลิปวีดีโอสัมภาษณ์ไว้ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2554 และได้มอบให้กับพนักงานสอบสวน

โดยนายฐานุทัศน์ เล่าให้ฟังว่า เวลาประมาณ 12.00 น. เศษ ตนได้ยืนอยู่ที่ป้ายรถประจำทางบ่อนไก่ (ใกล้สะพานลอย และธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาลุมพินี) เห็นทหารยิงแก็สน้ำตามา และหลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น จึงหันหลังวิ่งหนี และล้มคว่ำลงหน้ากระแทกพื้น  และยังได้เล่าให้ฟังว่า หลังจากถูกยิงแล้วได้มีชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียง อุ้มไปขึ้นรถตู้ตำรวจเพื่อนำส่งโรงพยาบาล

นอกจากนั้น ทนายจาก ศปช. ซึ่งได้รับแต่งตั้งจากภรรยาผู้เสียชีวิต ได้ซักพยานเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์ พยานได้เบิกความว่า พยานทราบว่าการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2553 โดยมีพื้นการชุมนุมมาถึงบริเวณหน้าโรงพยาบาลจุฬาฯ ตรงแยกศาลาแดง ต่อมาเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2553 มีทหารและตำรวจเข้ามาตั้งอยู่บนถนนสีลม ฝั่งตรงกันข้าม และในอีกวันถัดมาผู้ชุมนุมก็ได้ตั้งรั้วเครื่องกีดขวางบริเวณแยกศาลาแดง แต่ก่อนเหตุการณ์ถึงวันที่ 13 พฤษภาคม 2553 การเดินทาง สัญจรไปมาสามารถทำได้ตามปกติ และมีเพียงด่านตรวจตำรวจที่หน้าตึกอื้อจือเหลียงในตอนกลางคืนเท่านั้น

สำหรับพื้นที่หน้าอาคารที่พักของพยาน ตรงถนนพระราม 4 และแถวบ่อนไก่ ไม่ได้เป็นพื้นที่ชุมนุม มีรถยนต์วิ่งผ่าน และประชาชนที่อยู่บริเวณนั้นก็ใช้ชีวิตกันอย่างปกติ ในวันเกิดเหตุ 14 พฤษภาคม 2553 เวลาตอนเช้า พยานตื่น 9.00 น. เศษ ได้ยินเสียงปืนประปรายดังมาเป็นระยะจากด้านสวนลุมพินี แต่ไม่สามารถมองเห็นเหตุการณ์ได้ ส่วนบริเวณถนนพระราม 4 หน้าอาคารที่พัก ยังมีผู้คนและยานพาหนะสัญจรไปมาได้ แต่มีจำนวนน้อย ก่อนเกิดเหตุประชาชนแถวนั้นก็ยังใช้ชีวิตแบบปกติ

พยานเบิกความเพิ่มว่า จากรูปถ่ายจากบนอาคารนั้น ในช่วงเกิดเหตุ เวลาประมาณ 12.00 น.  มีประชาชนซึ่งเข้าใจว่าส่วนหนึ่งเป็นผู้ชุมนุมหลบมาหนีทหารมาจากแยกวิทยุ และไปจับกลุ่มที่บริเวณปั้ม ปตท.และบริเวณสะพานลอยบ่อนไก่

สาเหตุที่พยานกล้าที่จะเดินถ่ายรูปหลังแนวทหาร เพราะว่า มีเพียงการยิงหนังสติ๊กมาตกที่พื้นประปรายเท่านั้นในช่วงแรกที่พยานได้ลงจากอาคาร จึงเห็นว่าไม่มีอันตรายร้ายแรง ทำให้พยานและนักข่าวคนอื่นๆ กล้าที่จะเดินถ่ายรูปตามหลังแนวทหารขณะปฏิบัติการได้ และไม่เห็นทหารได้รับบาดเจ็บจากการถูกยิง

 

 ภาพบางส่วนที่ใช้ในการไต่สวนฯ ถ่ายโดยนายอุเชนทร์ :

 

เปิดวิดีโอคลิปขณะผู้ตายถูกยิง

นางสาวอัจฉรา อิงคามระธร เบิกความว่า พยานเป็นอาสาสมัครของศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม เม.ย.-พ.ค. 53 (ศปช.) โดยพยานมีหน้าที่รวบรวมข้อมูลผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากเหตุการณ์ ในเดือนมิถุนายน 2553  เธอทราบว่านายฐานุทัศน์ อัศวสิริมั่นคง ถูกยิงได้รับบาดเจ็บเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 53 บริเวณบ่อนไก่ พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลมเหสักข์ พยานจึงไปสอบถามอาการบาดเจ็บขณะนั้น ต่อมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 54 พยานและนายอุเชนทร์ เชียงเสน ได้ไปสัมภาษณ์นายฐานุทัศน์และภรรยาคือนางวรานิษฐ์ อัศวสิริมั่นคง ที่บ้านเพื่อเก็บข้อมูลวันที่เกิดเหตุถูกยิงจนได้รับบาดเจ็บ พร้อมทั้งได้บันทึกเป็นวิดีโอเทปความยาวประมาณ 50 นาที ซึ่งได้มอบให้กับพนักงานสอบสวนไปแล้วนั้น

ในวิดีโอคลิปนายฐานุทัศน์ได้เล่าว่า วันเกิดเหตุประมาณ 12.00 น.เศษ ผู้ตายอยู่บริเวณป้ายรถโดยสารประจำทาง  หน้าร้านค้าสะดวกซื้อเซเว่นเอเลฟเวนใกล้ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาลุมพินี ได้เห็นทหารยิงแก็สน้ำตามา แต่ลมพัดกลับไปทำให้ทหารหยุดยิง สักพักมีเสียงปืนผู้ตายจึงบอกให้ภรรยาและบุตรหลบเข้าไปที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นก่อนที่ผู้ตายจะตามเข้าไปแต่ล้มลงหน้ากระแทกพื้นเสียก่อนเพราะถูกกระสุนเข้าด้านหลัง ต่อมามีคนมาช่วยพาผู้ตายขึ้นรถตู้สีขาวของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อนำส่งโรงพยาบาล

นอกจากนี้พยานได้มอบคลิปวิดีโอเหตุการณ์ ซึ่งเป็นภาพถ่ายมุมสูงจากอาคารลุมพินีทาวเวอร์  โดยคลิปมีความยาวประมาณ  5 นาที 10 วินาที ในคลิปวิดีโอดังกล่าว ปรากฏภาพนายฐานุทัศน์สวมเสื้อสีเขียว กางเกงสีน้ำเงินกรมท่าขณะที่มีประชาชนช่วยกันนำร่างขึ้นรถตู้สีขาวของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งวิดีโอดังกล่าวพยานได้มาจากอินเตอร์เน็ต จึงมอบให้กับพนักงานสอบสวนด้วย

วิดีโอคลิปขณะที่ผู้ตายถูกยิง

พยานอุ้มผู้ตายขึ้นจากพื้นเชื่อทหารเป็นคนยิง

นายเอกสิทธิ์ วงศ์คำมา เบิกความว่า เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 53 ก่อนเกิดเหตุการณ์ ในเวลาประมาณ 9.00 น. เขาทำงานทาสีบ้านของนายสุทธิเดช จิราธิวัฒน์ ในสาทร ซอย 1 แยกวิทยุ  แล้วใน เวลา 11.00 น. เจ้าของบ้านได้แจ้งให้เขากลับบ้านเนื่องจากมีทหารเคลื่อนกำลังมาที่สะพานไทย-เบลเยี่ยม เขาจึงออกมาทางสาทร ซอย 1 โดยเดินไปตามบาทวิถีจนถึงสี่แยกวิทยุ แล้วเขาได้ข้ามไปฝั่งสนามมวยลุมพินีแล้วเดินโดยมุ่งหน้าไปทางคลองเตยเพื่อกลับบ้าน ระหว่างที่เดินอยู่นั้นเขาเห็นทหารราว 20 นาย บนถนนพระราม 4 เชิงสะพานไทย-เบลเยี่ยม โดยมี 4-5 คน นั่งประทับปืนเล็งปืนมาทางเขา และมีอีก 10 คนยืนอยู่ โดยทหารทั้งหมดนี้มีปืนยาวทุกคน และมีอีก 4-5 นายอยู่ที่มุมตึกใกล้กับสถานี MRT ลุมพินีด้วย เขาเดินผ่านปั๊มปตท. บ่อนไก่ และเดินผ่านซอยปลูกจิตซึ่งอยู่ใกล้กับปั๊ม และหยุดเดินที่ป้ายรถประจำทางซึ่งอยู่ด้นหน้าของธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาลุมพินี โดยในบริเวณนั้นมีสะพานลอยคนข้ามและเซเว่นเอเลฟเวนอยู่ใกล้ๆ ด้วย

เวลาประมาณ 11.30 น. เห็นประชาชนและกลุ่มจักรยานยนต์อยู่ใต้สะพานลอยคนข้ามราว 30-40 คน มุงดูทหารที่อยู่บริเวณสะพานไทย-เบลเยี่ยม จุดที่เขาอยู่นั้นห่างจากสะพานราว 300-400 เมตร ขณะอยู่บริเวณนั้นเขาได้เห็นรถดับเพลิงสีแดงขับออกมาจากซอยปลูกจิตและจอดอยู่บนถนนพระราม 4 โดยหน้ารถหันไปทางแยกวิทยุ  จากนั้นได้มีเสียงรถจักรยานยนต์ล้มลง 1-2 คัน เขาจึงหันมองเห็นคนกำลังพยุงรถขึ้น และได้เห็นนายฐานุทัศน์ล้มคว่ำลงกับพื้นถนนพระราม 4 บนช่องทางจราจรที่ 2 นับจากบาทวิถีห่างจากตัวเขาไปราว 10 เมตรเวลาในขณะนั้นราว 12.00 น. เศษ เขาจึงได้เข้าไปช่วยแต่เขาไม่ทราบว่าถูกอะไร ขณะช่วยเหลือเขาเห็นเลือดไหลออกจากปากหยดลงบนพื้นถนนฟันหน้าของนายฐานุทัศน์หัก 1 ซี่ และเห็นรูบนเสื้อกลางหลังและมีเลือดออกมาด้วย  เขาได้เรียกคนในบริเวณนั้นให้เข้ามาช่วยกันอุ้มออกไป  เขาได้พานายฐานุทัศน์ไปขึ้นรถตู้สีขาวของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เขาทราบจากที่ข้างรถมีตราสำนักงานตำรวจแห่งชาติติดอยู่และบนรถยังมีเจ้าหน้าที่ใส่เสื้อยืดคอกลมสีขาว กางเกงสีกากี ราว 10 คน เพื่อให้ไปส่งโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท

นายเอกสิทธิ์ คิดว่านายฐานุทัศน์ถูกยิงจากทหารเนื่องจากมีทหารกระชับพื้นที่อยู่ในบริเวณนั้น  ในวันนั้นนายฐานุทัศน์ใส่เสื้อสีเขียว แต่จำกางเกงกับรองเท้าไม่ได้  ส่วนตัวเขาใส่เสื้อยืดสีครีม กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ สะพายเป้ลายทหาร ขณะเกิดเหตุการณ์เขาเห็นเพียงนายฐานุทัศน์ได้รับบาดเจ็บคนเดียว  และได้ยินเสียงปืนดังเป้นระยะจากทหารที่อยู่บริเวณสะพานไทย-เบลเยี่ยมก่อนที่นายฐานุทัศน์จะถูกยิง 

ช่วงทนายซักถามได้ถามรายละเอียดเพิ่มเติมในช่วงเช้าได้ความว่า วันนั้นนายเอกสิทธิ์นั่งรถประจำทางไปทำงานที่สาทร ซอย 1 ในเวลา 8.00 น. โดยนั่งรถไปทางถนนพระราม 4 โดยมาจากทางด้านคลองเตยมุ่งหน้าไปทางศาลาแดง แล้วลงรถที่ย่านบ่อนไก่แล้วเดินต่อจากบ่อนไก่ไปเข้าสาทร ซอย 1 ซึ่งในตอนนั้นรถยังผ่านไปมาได้ จากนั้นทนายได้ถามต่อถึงหลังจากเขาเลิกงานขณะที่เขาเลิกงานออกมาแล้วเดินจากสาทรซอย 1 ไปทางบ่อนไก่สภาพเป็นอย่างไร เขาบอกว่าเห็นทหารอยู่ที่มุมตึกเยื้องสนามมวยลุมพินี เวลานั้นร้านค้ายังค้าขายกันตามปกติ ยังมีคนเดินตามทางเดียวกับเขาไปทางบ่อนไก่ด้วยเช่นกัน แต่รถที่ขับมาตามถนนมุ่งหน้าไปทางศาลาแดงนั้นไปต่อไม่ได้แล้วเพราะมีแนวทหารขวางถนนอยู่  ส่วนจำนวนทหารเขาไม่ได้สังเกตมากนัก แต่เขาเห็นทหารราว 20 คน อยู่ตามมุมตึก 4-5 คน และอยู่บนถนนราว 15 คน

ในขณะที่เขาเดินอยู่นั้นเมื่อเดินมาถึงหน้าสนามมวยลุมพินี ฝั่งตรงกันข้ามบริเวณซอยงามดูพลี เขาเห็นมีคนกำลังใช้หนังสติ๊กยิงไปทางทหารตอนนั้นเขายังไม่เห็นว่ามีอาวุธอย่างอื่น และเมื่อเขาเดินไปถึงสะพานลอยหน้าปากซอยปลูกจิต เขาเห็นคนเดิมกำลังเอาขวดน้ำมันปาไปทางทหารที่อยู่บริเวณสะพานไทย-เบลเยี่ยมได้ เพราะไปได้ไกลแค่ประมาณ 10 เมตร  ซึ่งไปไม่ถึงทหารและไม่สามารถทำอันตรายได้ เพราะเมื่อตกถึงพื้นก็เป็นเพียงเปลวไฟขึ้นมาวูบหนึ่ง และคนๆ นั้นก็อยู่ห่างจากจุดที่นายฐานุทัศน์ถูกยิงมาก

ตอนที่เขาอยู่ที่สะพานลอยคนข้ามในขณะนั้นเขาได้หันหน้าไปทางทหารเห็นทหารยืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่แต่ไม่เคลื่อนที่ เมื่อมีเสียงรถล้มเขาหันหลังกลับเห็นคนพยุงรถและเห็นนายฐานุทัศน์ล้มอยู่ ก่อนที่เขาจะเห็นายฐานุทัศน์ล้มเขาได้ยินเสียงปืนจากทิศที่ทหารอยู่เท่านั้น ส่วนประชาชนที่อยู่ใกล้กันกับเขาไม่เห็นว่ามีปืนนายฐานุทัศน์เองก็ไม่มี  หลังพานายฐานุทัศน์ไปส่งที่รถเขาไม่ได้ขึ้นรถไปด้วยเนื่องจากรถไม่มีที่ให้ขึ้นแล้ว จากนั้นเขาจึงได้เดินทางกลับบ้านโดยเดินต่อไปทางคลองเตย

 

ช่างภาพช่อง 7 ยันทหารยิง M16 ใส่ผู้ชุมนุมแต่ไม่ทราบว่ากระสุนจริงหรือไม่

นายอนิรุทธ์ ชวางกูร เบิกความว่าเขาได้รับมอบหมายให้เข้าไปทำข่าวในที่ชุมนุมตั้งแต่วันที่ 11-19 พ.ค. 53 โดยมีผู้ช่วยคือนายวัชรินทร์ แก่นเดียว คอบขับรถและส่งเทปกลับสถานีและนักข่าวหญิงอีกคนซึ่งเขาจำชื่อไม่ได้ และในวันที่ 14 เขาอยู่ในพื้นที่ถนนพระราม 4 ตั้งแต่เที่ยงจนราวสองทุ่ม ในระหว่างนี้เขาได้เห็นคนเจ็บหลายคนเนื่องจากเห็นมีรถพยาบาลและกู้ภัยเข้าออกพื้นที่ เขาคาดว่าคนเจ็บเกิดจากการถูกกระสุนปืนยิง

ในช่วงเหตุการณ์เขาอยู่ฝั่งทหารเห็นมีทหาราว 30 นาย บริเวณสนามมวยลุมพินี และมีทหารอยู่อีกฟากถนนอีกราว 30-40 นาย เช่นกัน ส่วนทางด้านผู้ชุมนุมอยู่ห่างออกไปทางบ่อนไก่ซึ่งห่างจากสนามมวยลุมพินีราว 100 เมตร ใกล้กับปั๊มน้ำมัน ปากซอยปลูกจิตมีผู้ชุมนุมอยู่เป็นจำนวนมาก  ทางฝ่ายทหารได้มีการยิงปืน M16 ยิงไปทางผู้ชุมนุม แต่เขาไม่ทราบว่าเป็นกระสุนจริงหรือกระสุนซ้อม และมีการใช้แก๊สน้ำตาด้วย ทางด้านผู้ชุมนุมได้ยิงพลุ ตะไล ในการตอบโต้กลับไป

ทหารได้ตั้งแถวเดินจากสะพานไทย-เบลเยี่ยมเข้าหาผู้ชุมนุมที่อยู่ทางด้านบ่อนไก่ตั้งแต่ช่วงเที่ยง 14.00 น. จึงได้เริ่มปฏิบัติการกระชับพื้นที่ ระหว่างนี้มีคนได้รับบาดเจ็บแต่เขาไม่ได้เห็นกับตาแต่เขาดูจากการที่มีรถพยาบาลและกู้ภัยพเข้าออกถนนพระราม 4  ทางด้านผู้ชุมนุมก็ได้ถอยจากบริเวณสนามมวยลุมพินีไปที่ซอยปลูกจิต ทหารจะมาถึงแค่สนามมวยลุมพินีและจับกุมผู้ชุมนุมที่เข้าใกล้ทหารได้ราว 10-20 คน แล้วใช้สายรัดมัดมือไพล่หลังเอาไว้  ผู้ชุมนุมได้ถอยไปจนถึงซอยปลูกจิตซึ่งตรงนั้นมีร้านชื่ออะไรเขาจำไม่ได้เขาจำได้เพียงมีคำว่า “ระเบียง” อยู่ในชื่อด้วย ซึ่งได้มีเสียงระเบิดดังขึ้นที่บริเวณนั้น แต่ในขณะเดียวกันในจุดที่เขาอยู่คือบริเวณสนามมวยลุมพินีมีคนตะโกนสั่งว่า “ใช้กระสุนจริงแล้ว” ซึ่งในจุดที่เขาอยู่นั้นมีกลุ่มทหารอยู่ใกล้ๆ ด้วย แต่เขาไม่ทราบว่าใครพูด

ในตอนค่ำเขาทราบว่าคนชื่อฐานุทัศน์ถูกยิงที่บริเวณสะพานลอยแถวบ่อนไก่จากคนที่อยู่ในบริเวณนั้น และเวลาราว 18.00-19.00 น. ได้มีระเบิดมาตกทางด้านขวามือของเขาซึ่งในขณะนั้นเขาได้หันหน้าไปทางบ่อนไก่ โดยตกห่างจากเขาราว 10 เมตร ทำให้ถูกเศษหินที่แตกจากการระเบิดทำให้ได้รับบาดเจ็บที่ฝ่ามือและหัวเข่า เขาทราบว่าเป็น M79 จากทหารที่เตือนให้หลบจากนั้นเขาจึงไปแจ้งความที่ สน.ลุมพินีแล้วจึงไปรักษาการบาดเจ็บที่โรงพยาบาลพญาไท 2

ทนายถามว่าเขาเข้าพื้นที่ตั้งแต่เวลาใดและอยู่จุดในเขาได้ตอบว่า ตั้งแต่ 10 โมงเช้า แล้วเขาได้ไปขอเจ้าของร้านเสริมสวยที่อยู่หน้าสนามมวยลุมพินี ฝั่งตรงกันข้ามกับภัตตาคารจันทร์เพ็ญ ขึ้นไปบนอาคารเพื่อจะถ่ายภาพมุมกว้างโดยขึ้นไปด้วยกันหมดทั้ง 3 คน  ในขณะนั้นทหารอยู่บริเวณเชิงสะพานไทย-เบลเยี่ยม ราว 1 กองร้อยโดยมีอาวุธปืน M16 ปืนลูกซอง และโล่ หลังจากนั้นเขาลงจากตึกโดยปีนต้นไม้ลงเพราะเจ้าของได้ออกจากพื้นที่ไปก่อนแล้ว เมื่อลงมาแล้วจึงไปทางสนามมวยลุมพินี หลังแนวทหาร ตัวเขาไม่มีเกราะกันกระสุน มีปลอกแขนสีเขียว

ในช่วงเกิดเหตุมีคนบอกกับเขาว่ามีทหารอยู่บนตึกให้ระวัง โดยตึกดังกล่าวอยู่ฝั่งเดียวกับภัตตาคารจันทร์เพ็ญเขาได้ใช้กล้องหันไปแต่มองไม่เห็น

ทนายได้ถามถึงกล้องที่เขาใช้ว่าเป็นกล้องชนิด รุ่นอะไรและสามารถซูมภาพได้มากน้อยแค่ไหนเขาตอบว่ากล้องที่ใช้เป็นกล้องถ่ายภาพเคลื่อนไหว ซูเปอร์เบต้าสามารถซูมภาพได้ในระยะไม่ต่ำกว่า 200 เมตร และทนายได้ถามกับเขาว่ารู้จักปืน M653 หรือไม่ เขาตอบปฏิเสธว่าไม่รู้จัก จากนั้นทนายถามคำถามสุดท้ายว่าในวันที่ 14 ร้านค้าในพื้นที่ยังเปิดให้บริการปกติหรือไม่ เขาบอกว่ายังเปิดตามปกติ

 

แพทย์สูตรพลิกศพพบหัวกระสุนปืนตะกั่วหุ้มทองแดง 1 ชิ้น ในร่างจุดที่ไม่มีอวัยวะสำคัญ

พ.ต.ต.นพ.เอกสิทธิ์ หงส์แก้ว เบิกความว่าเขาเป็นแพทย์ สบ.2 กลุ่มงานพยาธิวิทยามีหน้าที่ชันสูตรพลิกศพหาสาเหตุการตายที่พนักงานสอบสวนส่งศพให้ตรวจ และในวันที่ 27 ก.พ. 55 เวลา 23.45 น. พนักงานสอบสวน สน.บางรัก ได้ส่งศพนายฐานุทัศน์ให้ตรวจ วันรุ่งขึ้นเวลา 10.30 น. จึงได้ทำการตรวจ แต่ก่อนตรวจเขาไม่ทราบว่าได้เสียชีวิตเป็นเวลากี่วันแล้ว

จากนั้นเขาได้อ่านรายงานการตรวจศพสรุปได้ความว่า สภาพศพภายนอก พบบาดแผลเป็นลักษณะแนวเส้นโค้งบริเวณหน้าท้องด้านขวาส่วนบน  ที่บริเวณสะบักด้านขวามีแผลลักษณะแนวเส้นตรง  ที่ขากรรไกรล่างด้านขวามีแผลเป็นลักษณะแนวเส้นตรง และใต้สะบักซ้ายมีแผลเป็นรูปร่างค่อนข้างกลม  และพบแผลกดทับ  สภาพศพภายในที่บริเวณอกกระดูกซี่โครงด้านขวาซี่ที่ 4-5 หักทางด้านหลัง  ปอดขวามีเนื้อเยื่อพังผืดยึดติดผิวปอดกับเยื่อหุ้มผนังช่องอก เส้นเลือดเลี้ยงหัวใจแขนงซ้ายมีผนังหนาร่วมกับหลอดเลือดมีลักษณะตีบแคบลง 50 % และพบหัวกระสุนปืนตะกั่วหุ้มทองแดง จำนวน 1 ชิ้น ฝังอยู่ใต้สะบักด้านขวาค่อนมาทางด้านนอก พบหย่อมกลุ่มเซลล์อักเสบแทรกในเนื้อปอด ตับพบก้อนเนื้อมะเร็งแทรกในเนื้อตับ สาเหตุการตาย ระบบไหลเวียนโลหิตและการหายใจล้มเหลว สันนิษฐานจากมะเร็งระยะลุกลาม ร่วมกับพบหัวกระสุนปืนบริเวณสะบักด้านขวา และมีการพบยารักษาสภาพศพในร่างกายตามอวัยวะภายในจุดต่างๆ และอวัยวะบางส่วนเริ่มมีการเน่า

แผลเป็นค่อนข้างกลมที่อยู่ใต้สะบักซ้ายไม่สามารถยืนยันได้ว่าเกิดจากอะไร และยืนยันไม่ได้ว่าเกิดจากกระสุนหรือไม่ ส่วนแผลกดทับสภาพเป็นแผลเรื้อรังตรงตำแหน่งส่วนนูนของกระดูกซึ่งสัมผัสกับที่นอน อาจเกิดจากการกดทับกับที่นอน แผลกดทับสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อได้ และการติดเชื้อทำให้เสียชีวิตได้ แต่เพียงแค่แผลกดทับอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เสียชีวิตได้ แต่ในกรณีของนายฐานุทัศน์นั้นมีสาเหตุอื่นที่มาจากสภาพผู้ป่วยเนื่องจากพบว่ามีมะเร็งที่ตับอาจเป็นเหตุให้การติดเชื้อรุนแรงมากขึ้น  การติดเชื้อที่ทำให้ถึงแก้ชีวิตจะต้องเป็นการติดเชื้อในกระแสเลือด

ยารักษาสภาพศพที่ตรวจพบในร่างกายส่งผลต่อการตรวจในบางเรื่อง เพราะหากจะมีผลจะส่งผลต่อการตรวจหาสารเคมีหรือการตรวจปัสสาวะจะทำให้ตรวจไม่ได้เพราะเกิดการปนเปื้อน แต่ในกรณีนี้น้ำยารักษาสภาพศพไม่ส่งผลต่อการตรวจศพของนายฐานุทัศน์ อวัยวะบางส่วนที่เริ่มเน่าไม่มีผลต่อการตรวจเช่นกัน ไม่พบบาดแผลภายนอก  การตรวจภายในไม่พบสิ่งผิดปกติที่ศีรษะและคอที่อกมีซี่โครงที่ 4-5 หักทางด้นหลังการหักจะต้องแรงมากระทำแต่บอกไม่ได้ว่าแรงเพียงใด  แต่ในรายนี้บอกไม่ได้แล้วว่าหักเมื่อใดเนื่องจากหักก่อนมีการตรวจศพนานแล้ว ปอดขวามีเยื่อพังผืดติดอยู่กับเยื่อพนังช่องอก เนื่องจากมีการอักเสบมาก่อนหน้านี้ อาจเกิดจากการติดเชื้อหรืออักเสบถ้าเป็นมากสามารถทำให้เสียชีวิตได้ ในรายนี้มีภาวะมะเร็งตับอาจเป็นเหตุสนับสนุนให้เสียชีวิตเร็วขึ้น ไม่สามารถยืนยันได้ว่ามีร่องรอยเคยได้รับการผ่าตัด  ไม่สามารถยืนยันได้อีกว่ามีส่วนใดมีบาดแผลที่เกิดจากกระสุนปืน ในความเห็นของเขาร่างกายส่วนที่เสียหายมากจนทำให้เสียชีวิตคือมะเร็งที่ตับ แต่มะเร็งที่ตับเป็นมะเร็งที่ลุกลามมาจากส่วนอื่น แต่ตรวจไม่พบว่าลุกลามมาจากส่วนอวัยวะใดหรืออาจจะเป็นเพราะว่ามะเร็งได้ถูกรักษาไปก่อนแล้วทำให้ตรวจไม่พบ  นอกจากนี้ยังพบหัวกระสุนปืนตะกั่วหุ้มทองแดงที่สะบักขวา

เขามีความเห็นว่านายฐานุทัศน์เสียชีวิตจากมะเร็งระยะลุกลามระบบโลหิตและหายใจล้มเหลวและพบหัวกระสุน ส่วนกระสุนที่พบในร่างกายสามารถอยู่ได้ตลอดไปและอยู่ในจุดที่ไม่มีอวัยวะสำคัญถ้าสามารถเอาออกได้ก็เอาออก แต่ถ้าเกิดอันตรายก็ไม่เอาออก แต่จุดที่พบไม่มีอวัยวะสำคัญจึงไม่จำเป็นต้องเอาออก และเขาคิดว่าแพทย์ที่ทำการรักษาเห็นว่าไม่เอาออกเนื่องจากอาจจะเกิดอันตรายมากกว่า และเขาเบิกความต่ออีกว่าแม้ว่าผู้ตายคนนี้ไม่ถูกยิงเหตุตายก็ยังอาจจะตายจากเหตุเดียวกันนี้

ทนายได้ถามเขาว่าเคยดูผลการตรวจรักษาก่อนหน้าที่นายฐานุทัศน์เสียชีวิตหรือไม่เขาตอบว่าไม่เคยและไม่ทราบสภาพก่อนหน้าที่เขาจะทำการตรวจ และเขาตรวจศพจากสภาพตามที่เห็นไม่ได้ใช้ผลการตรวจอื่นๆ ประกอบ ทนายได้ถามต่อว่าแผลเป็นที่ตรวจพบนั้นเกิดขึ้นมานานแค่ไหน เขาตอบว่าแผลเป็นที่ตรวจพบนั้นเป็นแผลที่เกิดก่อนการตรวจ 7 วันแน่นอน แต่นานแค่ไหนเขาไม่ทราบ ส่วนแผลกดทับนั้นเขาก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเกิดขึ้นเมื่อใด แต่เกิดก่อนเสียชีวิตแน่นอน

ส่วนกระดูกซี่โครงซี่ที่ 4-5 ที่หักนั้นไม่เกี่ยวกับการเป็นอัมพาตแต่จากการตรวจศพเมื่อตรวจแล้วเขาไม่ทราบว่านายฐานุทัศน์เป็นอัมพาต  การตีบตันของเส้นเลือดที่เกิดจากผนังหลอดเลือดที่หนาสามารถทำให้เสียชีวิตได้แต่จากการตรวจศพที่พบว่าตีบแคบลง 50 % คาดว่าจะไม่ส่งผลต่อเลือดที่ส่งไปเลี้ยงหัวใจทำให้ถึงแก่ชีวิต ส่วนการที่ไม่สามารถหาอวัยวะต้นทางของมะเร็งที่ตับเจอนั้นอาจะเป็นเพราะว่าได้รับการรักษาไปแล้วหรือตรวจไม่พบเนื่องจากมะเร็งมีขนาดเล็กจนหาไม่พบ

ที่ปอดพบเซลล์อักเสบเป็นจำนวนมากแทรกในเนื้อปอดเนื่องจากการติดเชื้อมนปอดแต่ไม่ทราบว่าติดเชื้อจากอะไรซึ่งอาจจะทำให้เสียชีวิตได้ ในการติดเชื้อนั้นอาจจะเกิดจากสาเหตุประกอบอื่นๆ นอกจากมะเร็งที่พบอาจเกิดจากการเป็นอัมพาตเป็นเวลานานก็ได้แต่ในรายนี้เขาคิดว่าอาจจะเกิดจากมะเร็งมากกว่า

นายธนพร วงษณรัตน์ เบิกความว่าเขาเป็นการ์ด นปช. คอยดูแลผู้ชุมนุม ในวันที่ 14 พ.ค. 53 เขาอยู่ในที่ชุมนุมตั้งแต่ 5.00 – 11.00 น. แล้วกลับไปที่โรงแรมทุ่งมหาเมฆ ในซอยงามดูพลีจากนั้นได้ออกมาชุมนุมอีกในเวลา 13.00-15.00 น.  เมื่อเขากลับออกมาชุมนุมอีกครั้งมีผู้ชุมนุมเล่าให้เขาฟังว่ามีคนถูกยิงที่สะพานลอยตรงบ่อนไก่ พระราม 4 ในเวลาประมาณ 12.00 – 13.00 น. เขาทราบในภายหลังว่าคนที่ถูกยิงนั้นชื่อนายฐานุทัศน์ อัศวสิริมั่นคง

เวลาประมาณ 14.00 น. ตอนที่เขาอยู่ที่ปากซอยงามดูพลีเขาเห็นทหารราว 200-300 นาย แต่งกายชุดลายพราง ผ้าพันคอสีฟ้า มีโล่และปืนยาว หันหน้ามาทางบ่อนไก่และได้ทำการยิงอยู่หน้าสนามมวยลุมพินีโดยทหารเดินมาจากทางสะพานไทย-เบลเยี่ยม ทางผู้ชุมนุมและประชาชน 200-300 คน อยู่ห่างจากแนวทหารราว 100 เมตร หลังจากนั้นเวลาประมาณ 15.00 - 16.00 น.เขาได้เห็นนายบุญมี เริ่มสุขถูกยิงอยู่ข้างตู้โทรศัพท์หน้าซอยปลูกจิตใกล้ปั๊มน้ำมัน ปตท. ซึ่งตอนที่เขาเห็นนั้นได้มีเสียงปืนดังขึ้นและเขาได้เห็นว่าทหารได้มีการยิงโดยเล็งปืนมาทางผู้ชุมนุม เขาได้หันไปดูทางปั๊ม ปตท. เขาได้เห็นายบุญมีล้มอยู่ เห็นแล้วเขาจึงได้วิ่งข้ามจากฝั่งซอยงามดูพลีไปฝั่งปั๊ม ปตท. และได้พานายบุญมีเข้าไปในร้านกาแฟของปั๊มน้ำมันจากนั้นได้มีจักรยานยนต์มารับตัวไปส่งโรงพยาบาล  เขาได้บอกอีกว่าจุดที่นายฐานุทัศน์และนายบุญมีถูกยิงนั้นห่างกันราว 40 เมตร ซึ่งตรงจุดนั้นจะมีสะพานลอยคนข้ามอยู่จุดที่นายฐานุทัศน์ถูกยิงจะอยู่เลยสะพานออกไป

อาวุธที่ทหารใช้มีปืนM16 ทาร์โว่ ปืนลูกซอง และแก๊สน้ำตา และเขาคิดว่ากระสุนที่ทหารใช้เป็นกระสุนจริงเพราะถ้าเป็นกระสุนยางก็ไม่น่าจะทะลุเสื้อผ้าได้ และเขาเคยเป็นทหารกองร้อยลาดตระเวนระยะไกล กองพลทหารราบที่ 6 จ.ร้อยเอ็ด เขาไม่เห็นชายชุดดำหรือว่าผู้ชุมนุมมีอาวุธนอกจากนำยางมาจากร้านยาง

ทนายถามถึงเหตุการณ์ก่อนที่เขาจะกลับเข้าโรงแรมว่าทหารอยู่บริเวณใด เขาได้ตอบว่าตอนนั้นทหารอยู่ที่สะพานไทย-เบลเยี่ยม ตั้งแถวปิดฝั่งสาทรไม่ให้คนมารวมที่บ่อนไก่ ทหารได้มีการยิงด้วย ตอนราว 7 โมงหนึ่งรอบ 9 โมงหนึ่งรอบ เห็นเล็งไปทางที่คนอยู่ ทนายได้ถามถึงว่าในวันนั้นคนในบริเวณนั้นมีพฤติกรรมอย่างไรบ้างเขาตอบว่า ในเวลานั้นคนยังคงใช้ชีวิตตามปกติทั่วไปอยู่

จากนั้นทนายได้ถามถึงเหตุการณ์ตอนบ่ายหลังเขาออกจากโรงแรมกลับมาชุมนุม เขาตอบว่า ทหารได้ขยับแนวเข้ามาใกล้มากขึ้นโดยอยู่ตรงบริเวณสนามมวยลุมพินีซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่เขาอยู่ราว 200 เมตร และถามว่าเห็นมีการใช้ปืน M653 หรือไม่เขาบอกว่าเห็น

ภายหลังการไต่สวนเสร็จสิ้น ศาลนัดไต่สวนครั้งต่อไป วันที่ 12 ก.พ. เวลา 09.00 น.

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net