Skip to main content
sharethis

เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 55 ที่ผ่านมา แอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล ได้ออกแถลงการณ์ "การต่ออายุกฎหมายในสถานการณ์ฉุกเฉินทำให้การแก้ปัญหาสิทธิมนุษยชนในภาคใต้ของไทยชะงักงัน" โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

0 0 0



แอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล

แถลงการณ์

21 ธันวาคม 2555

การต่ออายุกฎหมายในสถานการณ์ฉุกเฉินทำให้การแก้ปัญหาสิทธิมนุษยชนในภาคใต้ของไทยชะงักงัน

ประเทศไทยต้องยุติการงดเว้นปฏิบัติตามพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชน ในระหว่างการแก้ปัญหาความรุนแรงในภาคใต้แอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าว ภายหลังการต่ออายุพรก.ฉุกเฉินฯ ที่มีข้อบกพร่องอย่างมาก

คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาต่ออายุพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ที่บังคับใช้ในสามจังหวัดชายแดนใต้ออกไปอีกเป็นเวลาสามเดือน เป็นมติเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2555 และมีผลบังคับใช้วันที่ 20 ธันวาคม 2555

บรรดาผู้ต้องสงสัยว่าก่อความไม่สงบยังคงเดินหน้าละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศต่อไปอย่างไม่ไยดี มีการเลือกเป้าโจมตีพลเรือนและเป็นการโจมตีอย่างไม่เลือกหน้าในภาคใต้

พรก.ฉุกเฉินฯ ให้อำนาจอย่างกว้างขวางในการ “ควบคุมตัวเชิงป้องกัน” ในสถานที่ที่ไม่ได้กำหนดอย่างชัดเจนเป็นเวลาไม่เกิน 30 วัน ทั้งยังยกเว้นไม่ให้มีการเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงในข้อหาละเมิดสิทธิมนุษยชน

ยังคงมีรายงานที่น่าเชื่อถือว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงยังคงทรมานและปฏิบัติอย่างทารุณต่อผู้ถูกควบคุมตัวในภาคใต้

“ผลจากอำนาจพรก.ฉุกเฉิน ในช่วงการขัดแย้งกันด้วยอาวุธแปดปีที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ของรัฐมักได้รับการยกเว้นความผิดกรณีที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง เราไม่อาจปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ได้ต่อไป รัฐบาลต้องนำตัวผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดทุกคนมาลงโทษ และป้องกันไม่ให้เกิดการละเมิดเช่นนี้อีกโดยให้การคุ้มครองดีขึ้นต่อผู้ถูกควบคุมตัว” พอลลี ทรัสคอตต์ (Polly Truscott) รองผู้อำนวยการแผนกเอเชีย-แปซิฟิกแอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าว

“ในทางปฏิบัติแล้ว พรก.ฉุกเฉิน งดเว้นโอกาสที่จะเอาผิดกับรัฐ ฐานละเมิดสิทธิมนุษยชนในภาคใต้

“กฎหมายที่มีข้อบกพร่องเช่นนี้ได้เริ่มประกาศใช้เมื่อปี 2548 และไม่ประสบความสำเร็จในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนอย่างเพียงพอ ทั้งยังเป็นการเบี่ยงเบนจากพันธกรณีต่อกฎหมายระหว่างประเทศของไทย

“การต่อายุพรก.ฉุกเฉิน อีกครั้งเท่ากับรัฐบาลส่งสัญญาณว่าการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในท่ามกลางความขัดแย้ง ไม่ได้เป็นเรื่องเร่งด่วนสำคัญนัก”


ข้อมูลพื้นฐาน

พรก.ฉุกเฉิน ให้อำนาจหน่วยงานใดๆ ของรัฐ ในการควบคุมตัวบุคคลโดยไม่ตั้งข้อกล่าวหา ในสถานที่ที่ไม่มีการกำหนด ได้เป็นระยะเวลายาวนานถึง 30 วัน เป็นการควบคุมตัวตามคำสั่งของฝ่ายบริหารโดยไม่คำนึงว่าบุคคลดังกล่าวจะเป็นผู้ต้องสงสัยหรือไม่ การขอใช้อำนาจศาลเพื่อทบทวนการออกหมายจับและการขยายเวลาควบคุมตัวเพิ่มเติม เป็นสิ่งที่ไม่อาจกระทำได้ หรือไม่อาจบังคับใช้ได้ ส่วนการตรวจเยี่ยมสถานที่ควบคุมตัวโดยหน่วยงานอิสระก็ไม่มีความสม่ำเสมอ

พรก.ฉุกเฉิน ยังจำกัดโอกาสที่จะฟ้องคดีทางอาญา ทางวินัยหรือทางแพ่งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งละเมิดอำนาจตามพรก.ฉุกเฉิน และละเมิดสิทธิมนุษยชน มีผู้มองว่ากฎหมายฉบับนี้ช่วยยกเว้นความผิดให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ และป้องกันไม่ให้ผู้เสียหายเรียกร้องค่าชดเชยจากการละเมิดโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ

ในฐานะเป็นรัฐภาคีของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights-ICCPR) ประเทศไทยมีพันธกรณีต้องงดเว้นการควบคุมตัวโดยพลการ รวมทั้งการควบคุมตัวบุคคลในสถานที่ที่ไม่ได้ประกาศไว้ ทั้งนี้เพื่อป้องกันและยุติการซ้อมทรมานและการปฏิบัติที่ทารุณอื่น ๆ ในทุกบริบท ทั้งนี้เพื่อนำตัวผู้กระทำการละเมิดมารับโทษ และเพื่อเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เสียหาย

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net