Skip to main content
sharethis

สภาประชาสังคมในบทบาทสร้างกระบวนการสันติภาพที่ดำเนินมากว่าหนึ่งปี หนึ่งในบุคคลที่เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อน คือ นายมังโซร์ สาและ 

 

มันโซร์ สาและ ขณะพูดคุยกับผู้รายงาน ณ ศูนย์อัลกุรอานและภาษา QLCC, จะนะ จังหวัดสงขลา

อันเนื่องมาจากการทำงานของสภาประชาสังคมดำเนินการมาปีกว่า และการสร้างกระบวนการสันติภาพเป็นอีกภารกิจหนึ่งที่สำคัญ หนึ่งในบุคคลที่เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนเรื่องนี้คือ นายมังโซร์ สาและ จึงขอนำทัศนะมาเผยแพร่ให้เห็นวิวัฒนาการการขับเคลื่อน

0 0 0

               หนึ่งใน 5 ยุทธศาสตร์หลักของสภาประชาสังคมชายแดนใต้ คือการหาข้อยุติความรุนแรงทางตรง ซึ่งนำไปสู่งานเฉพาะหน้าในเรื่อง การส่งเสริมและสนับสนุนกระบวนการเจรจาระหว่างรัฐกับขบวนการก่อความไม่สงบ (ตามชื่อเรียกของรัฐไทย)หรือกลุ่มที่ทำงานปลดเอกราชปตานี  (ตามชื่อเรียกของขบวนการ) เพื่อยุติความรุนแรง[1] ทั้งๆ ที่เป็นความรับผิดชอบที่ใหญ่หลวงนัก เกินที่สถานะของสภาจะแบกรับได้

                แต่เมื่อสภาประชาสังคมชายแดนใต้เป็นองค์ที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวของตัวแทนองค์กรเครือข่ายภาคประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว มันก็เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ความจริง คำว่า สันติภาพและสันติสุข เป็นวาทกรรมที่ได้ป่าวประกาศจากฝ่ายรัฐในรูปแบบต่างๆ อย่างหนักหน่วงในช่วงต้นๆ หลังเกิดสถานการณ์ความรุนแรงระลอกใหม่ในปี พ.ศ. 2547

                รัฐไทยได้ทุ่มเทงบประมาณอย่างมหาศาล พร้อมๆ กับดำเนินกิจกรรมทุกอย่างเพื่อสันติภาพ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่รัฐได้ทำลงไปนั้น รัฐอาจลืมคิดไปว่า บริบท ความขัดแย้งและความรุนแรงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลานั้น รัฐได้เป็นตัวละครหลักตัวหนึ่งที่สร้างปมปัญหาความขัดแย้งเช่นเดียวกัน

                สันติภาพเป็นวาทกรรมคู่กับความขัดแย้งหรือสงคราม ดังนั้น ก่อนที่จะขยับไปที่บริบทของสันติภาพ ก็ควรต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับบริบทของความขัดแย้ง ซึ่งความขัดแย้งถือเป็นลักษณะธรรมชาติที่เกิดขึ้นในหมู่มวลมนุษยชาติอยู่เนืองนิตย์

ความขัดแย้งจะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขัดขวาง กดทับหรือบีบบังคับอีกฝ่ายหนึ่ง และอีกฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่า มันเป็นการคุกคามสิทธิของตนเอง โดยปกติแล้ว การแก้ปัญหาความขัดแย้งนั้น มักจะต้องใช้คนที่สามหรือคนกลางในการไกล่เกลี่ยเสมอ ทั้งนี้เพี่อให้เป็นไปตามหลักการสากลที่ถูกต้อง หรือในหลักธรรมก็เช่นเดียวกัน

                 การเข้าใจบริบทความขัดแย้งที่เกิดขึ้นโดยทั่วไป คนในสังคมนั้นจำเป็นจะต้องเข้าใจถึงสาเหตุหรือรากเหง้าแห่งความขัดแย้งนั้นๆ เสียก่อน อาทิ การจำแนกลักษณะ ประเภท ระดับสาเหตุ ปัจจัย และองค์ประกอบเป็นต้น บางครั้งความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นลักษณะของปัจเจกบุคคล ครอบครัว สังคม ประชาชนกับรัฐ รัฐกับรัฐและอื่นๆ เมื่อความขัดแย้งมีลักษณะที่แตกต่างกันเช่นที่กล่าวมาข้างต้น หลักการสร้างกระบวนการสันติภาพในแก้ปัญหาความขัดแย้งเหล่านั้นก็ย่อมแตกต่างไปด้วย

                ความขัดแย้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้หรือปตานี เป็นลักษณะความขัดแย้งแนวดิ่งระหว่างประชาชนชาวปตานีชาติพันธุ์มลายู นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่เดิมกับรัฐไทยและกลไกรัฐ นับตั้งแต่ยุคต้นรัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นลักษณะความขัดแย้งอันเกิดจากโครงสร้างอำนาจการเมืองการปกครองที่ไปกดทับและคุกคามสิทธิของพวกเขาที่ควรจะต้องมี อย่างน้อยที่สุด ก็คือ สิทธิของชนกลุ่มน้อย เป็นต้น ต่อมาความขัดแย้งนี้มันได้ขยายไปในลักษณะแนวราบ หมายถึงระหว่างประชาชนชาวพุทธ ชาติพันธุ์ไทยกับประชาชนมุสลิม ชาติพันธุ์มลายู

                แม้ว่า รัฐและกลไกของรัฐได้พยายามอธิบายว่า ความขัดแย้งในพื้นที่นั้นเกิดจากสาเหตุอื่น อันมิใช่โครงสร้างอำนาจการเมืองและการปกครองก็ตาม แต่คำถามที่จะต้องถามรัฐและกลไกรัฐก็คือ ทำไมความขัดแย้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จึงไม่สามารถแก้ไขและสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืนได้สักที ทั้งๆที่รัฐได้ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง เสมือนหนึ่งเป็นการเอาอกเอาใจประชาชนในพื้นที่แห่งนี้เป็นพิเศษ มากกว่าประชาชนและกลไกรัฐในพื้นที่อื่น ไม่ว่าการจัดตั้งศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน. ภาค4 ส่วนหน้า) และกลไกอื่นอีกมากมาย รวมทั้งการทุ่มงบประมาณด้านการพัฒนาและความมั่นคงจำนวนมหาศาล และแนวโน้มแห่งอนาคตก็ยังไม่มีใครยืนยันและให้หลักประกันได้ว่า ความขัดแย้งครั้งรุนแรงที่เคยเกิดขึ้นเมื่อต้นปี 2547 จะไม่หวนกลับมาประทุอีกครั้ง ดังนั้น กระบวนการสันติภาพที่เกิดจากความต้องการและการมีส่วนร่วมของประชาชน น่าจะเป็นทางออกที่ดีทางหนึ่งในอนาคต

                ตลอดระยะเวลาการดำรงอยู่ของความขัดแย้งในพื้นที่ ทัศนะและมุมมองระหว่างรัฐและกลไกรัฐกับคนมลายูมุสลิมในพื้นที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แม้ว่า รัฐจะพยายามอ้างว่า ความแตกต่างนี้เป็นเพียงคำกล่าวอ้างจากกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบหรือกลุ่มที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนก็ตาม แต่ความเห็นแตกต่างกันนี้มีการกล่าวอ้างอยู่ทั่วไปในหมู่ประชาชนทุกระดับ เพียงแต่รายละเอียดและคำอธิบายความแตกต่างนี้ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของประชาชนแต่ละคน

สำหรับเครื่องชี้วัดง่ายๆต่อประเด็นดังกล่าวคือ ประชาชนมลายูมุสลิมส่วนใหญ่จะตอบว่า พวกเขาไม่ได้รับความเป็นธรรมจากรัฐ ซึ่งเป็นเสียงสะท้อนจากประชาชนระดับรากหญ้า แม้เขาเคยได้รับของแจกของแถมจากรัฐผ่านโครงการใดๆ ก็ตาม หรือการเยียวยาด้วยตัวเงินและสิ่งของ แต่สามัญสำนึกลึกๆ ของพวกเขาก็ยังรู้สึกเหมือนเดิม

                บทบาทภาคประชาสังคมกับกระบวนการสร้างสันติภาพชายแดนใต้ เริ่มมีการกล่าวถึงในช่วงกลางปี พ.ศ.2552 โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลจากการสัมมนาในหัวข้อ ประชาสังคมกับกระบวนการสันติภาพ: การขยายพื้นที่ภาคประชาชนเพื่อแก้ไขความรุนแรงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้[2] เมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ.2552 ซึ่งจัดโดยศูนย์ศึกษาความขัดแย้งและสันติภาพ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำนักงานสันติวิธีและธรรมาภิบาลสถาบันพระปกเกล้า และมูลนิธิเฟรดดริก ณ โรงแรมหาดใหญ่พาราไดซ์รีสอร์ท อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมจำนวน 153 คน จากตัวแทนองค์กรทั้งในและนอกพื้นที่ พร้อมทั้งได้สรุปผลของการสัมมนาในประเด็นสำคัญดังนี้

               1. การสร้างกระบวนการสร้างสันติภาพ
               2. ลักษณะและประเภทของงานที่สภาประชาสังคมจะทำได้ในกระบวนการสร้างสันติภาพ
               3. ตัวอย่างงานที่ภาคประชาสังคมทำได้ในกระบวนการสันติภาพ
               4. ปัญหาบางอย่างที่ภาคประชาสังคมอาจต้องเผชิญในกระบวนการสสร้างสันติภาพ

               สิ่งที่เป็นข้อสังเกตสำคัญจากการจุดประเด็นเรื่องนี้ในการประชุมครั้งนั้นพบว่า ไม่มีกลุ่มประสังคมใดสามารถขับเคลื่อนในเชิงปฏิบัติ ทั้งนี้อาจจะเนื่องมาจาก สภาพการณ์ที่แท้จริงของกลุ่มหรือองค์กรในพื้นที่ไม่มีการพูดคุยทิศทางการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง และต่างกลุ่มต่างก็ทำงานตามวัตถุประสงค์ของกลุ่มหรือองค์กรของตนเองเป็นหลัก นอกจากนั้น การจุดประเด็นบางประเด็นดังกล่าว เกิดจากกลุ่มหรือองค์กรภายนอก โดยไม่มีกลุ่มหรือองค์กรในพื้นที่สืบสานเจตนารมณ์อย่างจริงจัง

                 การก่อตั้งสภาประชาสังคมชายแดนใต้ที่ประกอบด้วย นักเคลื่อนไหวด้านสังคมนักพัฒนาองค์กรเอกชน นักวิชาการ กลุ่มสตรี กลุ่มสื่อและอื่นๆ รวม 20 องค์กรในวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ถือเป็นปรากฏการณ์ที่สำคัญในมิติของภาคประชาชนชายแดนใต้ เพราะสภาแห่งนี้จะได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนดูแล ปกป้องสิทธิต่างๆของประชาชนหลากหลายกลุ่มท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งที่รุนแรง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไทยพุทธและมุสลิม

                 การริเริ่มกระบวนการสันติภาพปตานีภายใต้วาทกรรม และนวัตกรรมใหม่ “กระบวนการสร้างสันติภาพปตานีในบริบทอาเซียน ” ( Patani Peace Process in Asean context – PPP ) เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2555 ณ หอประชุมนานาชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ หาดใหญ่ โดยสภา ฯ และพันธมิตรนั้น ถือเป็นการริเริ่มโดยประชาชนในพื้นที่จริงๆ และยิ่งได้รับการหนุนเสริมด้านวิชาการจากนักวิชาการด้านความขัดแย้งและสันติวิธีทั้งในและต่างประเทศตลอดจนการช่วยเหลือด้านงบประมาณจากองค์กรภาคี ก็ยิ่งทำให้บทบาทภาคประชาสังคมในพื้นที่กับกระบวนการสันติภาพมีความชัดเจนมากขึ้น

                แม้ว่า ณ เวลานี้ ประชาชนในพื้นที่ยังไม่สามารถทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อกระบวนการสันติภาพก็ตาม แต่ยุทธศาสตร์และกิจกรรมที่ดำเนินการโดยสภา เช่น การจัดเวทีชายแดนใต้จัดการตนเอง การเยียวยา การเรียกร้องให้ทบทวนการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และอื่นๆ ล้วนแต่เป็นกิจกรรมที่เป็นต้นทุนเพื่อนำไปสู่กระบวนการสันติภาพทั้งสิ้น

                ถึงกระนั้นก็ตาม แม้คำจำกัดความสันติภาพที่แท้จริงนั้นไม่สามารถจะกำหนดรูปแบบที่ตายตัวและชี้วัดด้วยเครื่องมืออย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ที่สำคัญยิ่งนั้น มันจะต้องอยู่บนพื้นฐานของสัจธรรมหรือธรรมะ มิฉะนั้นแล้วก็จะเกิดความสับสนในการขับเคลื่อนกระบวนการนี้ ตัวอย่างเช่น สันติภาพและสันติสุขในมิติและความต้องการของรัฐ คือการยุติการใช้อาวุธหรือก่อความรุนแรงต่อประชาชนและต่อกลไกของรัฐ ส่วนในแง่มุมของประชาชนที่ได้รับผลกระทบอาจคิดว่า การที่ผู้เสียหายและญาติพี่น้องของผู้สูญเสียได้รับค่าชดเชย การเยียวยา หรือการช่วยเหลือจากรัฐและอื่นๆ ก็อาจจะกล่าวได้ว่า นี่คือสันติภาพก็เป็นได้ ส่วนกลุ่มที่ต่อต้านรัฐ ก็ย่อมมีทัศนะอีกอย่างหนึ่ง

                อย่างไรก็ตาม กระบวนการสันติภาพที่ควรต้องมีในพื้นที่ความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นจะต้องตั้งอยู่บนรากฐานที่จะทำให้เกิดความสันติสุข เสมอภาค เที่ยงธรรมและสัจธรรมเป็นสำคัญ

 

 

 

[1] โปรดดูแผ่นพับแนะนำสภาประชาสังคมชายแดนใต้ หน้า 3 และ หน้า 5 หรือ ใน http://www.southcso.com สืบค้นเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555                                 

[2] ดูเอกสารสรุปการประชุม ใน http://portal.in.th/peace-strategy/pages/5479/

สืบค้นเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555

 

 

                                        

 

                                        

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net