Skip to main content
sharethis
ฐิติมา ฉายแสง กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ พรรคเพื่อไทย ชี้แจงว่า นายกมีความจำเป็นต้องเดินทางไปสร้างภาพลักษณ์ให้ประเทศไทยต่อสายนานาชาติ การเดินทางไปประเทศอินเดียดังกล่าวถือว่ามีคุ้มค่ามาก ระบุไม่อยากมานั่งเปรียบเทียบกันให้เกิดปัญหา และที่สำคัญนายกฯอภิสิทธิ์เวลานั้นไม่ใช่แขกเกียรติยศของประเทศอินเดีย
 
16 ส.ค. 55 - หลังจากที่มีการเผยแพร่ข้อมูลการใช้งบประมาณเดินทางต่างประเทศโดยมีการเปรียบเทียบระหว่างรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในการเดินทางเยือนสาธารณรัฐอินเดียอย่างเป็นทางการและการเดินทางไปประชุม World Economic Forum ที่ประเทศสวิตเซอแลนด์ ในโลกออนไลน์ โดยมีการเทียบเคียงที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์และคณะได้เดินทางในลักษณะเที่ยวบินโดยสารทั่วไป รวมค่าใช้จ่ายทั้งคณะไปกลับอยู่ที่ 5,253,000 บาท แต่ในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ที่มีการเดินทางในเส้นทางเดียวกัน แต่ใช้งบประมาณในการเดินทางแบบเที่ยวบินพิเศษเหมาลำทั้งสิ้น 13,000,000 บาท ใช้งบประมาณมากกว่าถึง 7,747,000 บาท นั้น
 
ที่มา: http://www.facebook.com/photo.php?fbid=272340256211920&set=a.241428875969725.51821.241066436005969
 
ในวันนี้ประเด็นดังกล่าวถูกนำไปอภิปรายในรัฐสภา โดยเว็บไซต์โพสต์ทูเดย์รายงานว่า เมื่อเวลา 12.30 น. นายบุญยอด สุขถิ่นไทย  สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์  ในฐานะคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณร่ายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ได้อภิปรายว่า ตนติดใจ คือ 1.กรณีสถานีวิทยุแห่งประเทศไทย ในรายการ “จัตุรัสข่าว” ที่ออกอากาศประจำวันจันทร์ ถึง วันศุกร์ เป็นรายการของคนภายนอกที่ทำสัญญา คือบริษัท เวิลด์เอ็นเตอร์เทนเม้นท์เน็ทเวิร์ค จำกัด ซึ่งในรายละเอียดมีข้อสงสัย และส่วนที่ต้องซักถาม เนื่องจากไม่ตรงตามนโยบาย เพราะเป็นรายการทางการเมืองอย่างแท้จริง  เพราะตามสัญญา ข้อ 13 ระบุว่า “ห้ามไม่ให้ผู้เช่าเวลาเกี่ยวกับการเมือง หากผู้เช่าเวลาฝ่าฝืนและเป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย ผู้ให้เช่ามีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากผู้เช่าอีกด้วย” ซึ่งรายการนี้มีผู้จัดรายการคือ คอลัมน์นิสต์นักหนังสือพิมพ์ ครั้งหนึ่งเคยมีการออกอากาศ ในชื่อตอน “รัฐประหาร โดยศาลรัฐธรรมนูญ” เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ว่า ศาลมีอำนาจรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้หรือไม่
 
นายบุญยอด กล่าวอีกว่า และ 2. รายการชนักปักหลังพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งในรายการมีการพาดพิงถึงส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้นตนอยากถามว่า ได้มีการตักเตือนรายการเหล่านี้หรือไม่ และยังพบความไม่ชอบมาพากล เนื่องจากรายการเหล่านี้เป็นรายการต้องเช่าเวลา แต่สัญญาฉบับนี้มีการลดราคาให้เหลือ 10เปอร์เซ็นต์ โดยค่าเช่าเวลาอยู่ที่ 250,000 บาท ได้เวลาโฆษณา 7 นาที เดือนละอย่างน้อย 20 ตอน เฉลี่ยเป็นเงิน 1.4 ล้านบาท  ซึ่งกรมประชาสัมพันธ์ได้เคยชี้แจง เพียงว่า  ต้องการผู้เชี่ยวชาญ ทั้งนี้ขอตั้งข้อสังเกตว่า ตามนโยบายของรัฐบาล ต้องไม่ก้าวก่าย และให้เสรีภาพแก่สื่อมวลชน และขอปรับลดงบประมาณในส่วนนี้ 5 เปอร์เซ็นต์
 
ทั้งนี้น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีปัญหาในการใช้เงินในส่วนของสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการเดินทาง โดยพบว่าเมื่อเทียบการเดินทางไปต่างประเทศระหว่างน.ส.ยิ่งลักษณ์ และ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรี นับว่ามีความแตกต่างกันมาก อย่างในกรณีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เดินทางด้วยสายการบินไทยแบบเช่าเหมาลำไปประชุมการประชุมเวิลด์ อโคโนมิก ฟอรั่ม เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมกับไปปฏิบัติภารกิจที่อินเดียในคราวเดียวเมื่อเดือนม.ค.2555
 
"การเช่าเหมาลำถือว่าแพงมากไม่ทราบเดินทางไปด้วยกี่คนไม่มีรายละเอียดแต่พบว่ามีการใช้งบประมาณถึง 13 ล้านบาท เทียบเคียงกับสมัยนายกฯอภิสิทธิ์เมื่อเดือนม.ค.ปี 2554 พบว่านั่งเครื่องบินชั้น1เดินทางไปกลับกทม.และกรุงซูริก สวิตเซอร์แลนด์ จำนวน16คน ใช้เงินประมาณ 2 ล้านบาท ชั้นธุรกิจ 6 คนเป็นเงินประมาณ 8.4 แสนบาท และชั้นประหยัด 21 คนประมาณ 1 ล้านบาท ที่สำคัญถ้าเดินไปทางอินเดียจะพบว่าเที่ยวบินระหว่างกทม.นิวเดลีชั้นที่1 เพียง4.5 หมื่นบาทต่อคน ชั้นธุรกิจ 3.5 หมื่นคนต่อคน และ ชั้นประหยัด2.3 หมื่นคน รวมตัวเลขทั้งสวิตเซอร์แลนด์และอินเดียเพียง 5 ล้านบาทเท่านั้น" นายบุญยอด กล่าว
 
นอกจากนี้ ยังพบว่าการเดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่ออสเตรเลียก็เป็นการเดินทางเช่าเหมาลำด้วยกันแต่นักธุรกิจและภาคเอกชนที่ร่วมเดินทางไปด้วยได้เดินทางโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโดยสารเครื่องบิน ทั้งที่การติดต่อธุรกิจในออสเตรเลียเป็นผลประโยชน์ของภาคเอกชนเท่านั้น ถึงเวลาต้องปรับปรุงแก้ไข
 
"การเดินทางแบบเช่าเหมาลำอาจทำให้เกิดความคล่องแคล่วโดยไม่ต้องรอผู้โดยสารคนอื่น แต่รัฐบาลชุดนี้แสดงความไม่ประหยัดออกมาทั้งที่รัฐบาลกำลังเตรียมการกู้เงินอีกจำนวนมาก จึงเห็นว่าไม่มีวินัยการเงินการคลัง" นายบุญยอด กล่าว

นายบุญยอด กล่าวอีกว่า เช่นเดียวกับการใช้งบประมาณสร้างภาพลักษณ์ประเทศไทยจำนวน 500 ล้านบาท สอบถามส่วนราชการแล้วพบว่าจะใช้ซื้อโฆษณาทั้งนอกและในประเทศ โดยขอเสนอให้ซื้อโฆษณาเฉพาะต่างประเทศเท่านั้นไม่ควรเอามาอุดหนุนสื่อในประเทศเพราะอาจจะเป็นการแทรกแซงสื่อมวลชนในประเทศทางหนึ่งเช่นกัน

จากนั้น จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ สส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วงว่า เรื่องเล็กๆน้อยๆเช่นนี้ไม่น่าใส่ใจ ไม่น่าใส่ใจ ไม่ใช่ลูกผู้ชาย เขาถึงเรียก “เจ๊ยอด” เพราะนายกฯเขาทำงาน คนที่เดินทางไปมีเยอะ ก็ต้องใช้เงินเยอะ และรัฐบาลที่ใช้เงิน 6 พันล้านบาทฆ่าคน จากนั้นนายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานการประชุม ได้ตัดบทสั่งห้ามจ.ส.ต.ประสิทธิ์  พูดต่อ

ขณะที่นายกุลเดช พัวพัฒนกุล สส.อุทัยธานี พรรคประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นประท้วง ขอให้ถอนคำพูด ที่เรียกนายบุญยอด ว่า “เจ๊ยอด”  จึงทำให้นายบุญยอด ลุกขึ้นชี้แจงว่า เรื่อง 13 ล้านบาท โดยระบุว่าไม่ติดใจกรณีที่จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ในฐานะอดีตตำรวจประท้วง และจะลุกขึ้นประท้วงกี่ครั้งเชิญตามสบาย และไม่ประท้วงซ้อนท่านเลยถ้าไม่เกี่ยวกับตน แต่ถ้าทำการใดให้ฝ่ายค้านทำงานไม่ได้ ก็ต้องมีวิธีการอื่นในการดำเนินการต่อที่ประชุมนี้ และอยากให้สมาชิกเพื่อไทยเข้าใจว่า ถ้าสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นจากนี้ไปในการประชุมที่เหลือ 2-3 วันนี้ ก็เกิดขึ้นจากจ.ส.ต.ประสิทธิ์ และผู้ที่ประท้วงร่วมโดยไม่มีเหตุผล

ทั้งนี้ อยากชี้แจงว่า กรณีที่จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ระบุว่า เรื่องงบประมาณนายกฯเป็นเรื่องเล็ก ทำไมต้องมองเรื่องเหล่านี้ เพราะเงินจำนวน 13 ล้านบาท หากถามคนสุรินทร์ว่าเงินดัลกล่าวเป็นเรื่องเล็กๆหรือไม่ จะเป็นข้าวได้กี่มื้อ และจะเป็นเงินผู้สูงอายุ 500 บาทได้กี่ปี ทำไมไม่เรียกร้องให้นายกฯใช้เงินดังกล่าวอย่างประหยัดและสมเหตุผลมีประสิทธิภาพ  และการพาดพิงตนไม่ใช่ลูกผู้ชาย ก็คงไม่จำเป็นต้องไปเทียบความเป็นลูกผู้ชาย หรือเดินไปชกหน้า และไม่อยากตอบโต้อีกแล้ว อยากให้จบเท่านี้ แต่ถ้าไม่จบก็แล่วแต่ และพร้อมท้าทุกเวที

ขณะที่ประสิทธิ์ ชี้แจงว่า ตนได้รับเลือกตั้งเป็นสส.ทำหน้าที่แทนประชาชนในสภา และการที่ตนใช้สิทธิตามข้อบังคับพาดพิงล่วงเกินไม่สุภาพ หากประธานให้ถอนก็พร้อมถอน วันนี้ (16ส.ค.) นายบุญยอดกินยาผิดขวดหรือไม่ ที่ท้าตนชกต่อย หรือเกิดมีอะไรขึ้นในสภาแล้วโทษตน เหมือนเป็นนักเลงท้าตนชกต่อย จากนั้น นายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ได้ตัดบทเนื่องจากบรรยากาศในการประชุมเริ่มเป็นไปอย่างตรึงเครียด

อย่างไรก็ตาม นายกุลเดช ได้ย้ำให้จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ถอนคำพูด ทำให้จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ยอมถอนคำพูด โดยระบุว่า ตนเป็นลูกผู้ชายพอ ถ้าพูดอะไรเกินเลยก็ขอถอน ขณะที่นายอรรถพร พลบุตร สส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ได้เรียกร้องให้ประธานฯ ได้ควบคุมการประชุม อย่าให้องค์รักษ์ หัวโขนออกมาประท้วง จากนั้นจึงเข้าสู่การประชุมต่อไป พร้อมสั่งให้จ.ส.ต.ประสิทธิ์นั่งลง พร้อมให้ถอนคำพูด

ด้าน นางฐิติมา ฉายแสง กมธ.วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯจากพรรคเพื่อไทย ชี้แจงว่า นายกฯมีความจำเป็นต้องเดินทางไปสร้างภาพลักษณ์ให้ประเทศไทยต่อสายนานาชาติ การเดินทางไปประเทศอินเดียดังกล่าวถือว่ามีคุ้มค่ามาก

"อินเดียมีประชากรถึง 1.1 พันล้านคน ถ้าเอาหารกับราคาเช่าเครื่องบินเหมาลำ 13 ล้านบาทจะคิดเป็น 1.2 สตางค์ต่อหัวเท่านั้น ดังนั้น การใช้งบประมาณถือว่าคุ้มมากๆกับการสร้างชื่อเสียงให้ประเทศ อยากให้เข้าใจว่าเวลาที่กมธ.ได้คิดประเด็นนี้ก็ได้คิดละเอียดเช่นกัน ไม่อยากมานั่งเปรียบเทียบกันให้เกิดปัญหา และที่สำคัญนายกฯอภิสิทธิ์เวลานั้นไม่ใช่แขกเกียรติยศของประเทศอินเดีย" นางฐิติมากล่าว

นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเสริมว่า นับตั้งแต่น.ส.ยิ่งลักษณ์ เข้ามารับตำแหน่งนายกฯต้องเดินทางไปทั่วโลกเพื่อประชาสัมพันธ์ให้กับประเทศไทย ไม่มีเวลาท่องเที่ยวหรือพักผ่อน ถือเป็นความภาคภูมิใจของชาติ โครงการสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมาโดยมีคณะกรรมการขึ้นมาหนึ่งชุดมีภารกิจสร้างภาพลักษณ์ให้ประเทศครอบคลุมการค้าการลงทุนเพื่อให้ต่างประเทศเห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยให้ต่างชาติได้รับทราบ ซึ่งรัฐบาลในอดีตก็มีงบประมาณลักษณะเช่นนี้กันแต่ในอดีตจะให้น้ำหนักในการประชาสัมพันธ์ตัวรัฐบาลมากกว่าประเทศไทย

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net