Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

 

"หวือๆๆ"

เสียงดังมาจากเบื้องหลัง ด้านหน้าของผมคือนายกั๊ก - กุลพัฒน์ ศรลัมภ์ ช่างภาพนกและสัตว์ป่ามือฉมัง ผู้กำลังชี้มือทำหน้าตื่นเต้นสุดขีด "อาจ้าน! นกเงือกคอแดง!!!"

หวือๆๆ ผมหันกลับไปทันเห็นเงาดำอีกหนึ่ง ร่อนลงมาเกาะบนตอไม้ที่ขึ้นอยู่ริมผา เหนือหลังคาบ้านพักเพียงไม่กี่เมตร ท่ามกลางสายหมอกที่ปลิวมาตามกระแสลมไม่ขาดระยะ ผมยกกล้องส่องทางไกลราคาแพงหูฉี่ที่ตัดใจซื้อมาตั้งแต่สมัยไปเคนย่า แนบเบ้าตาเข้ากับกล้อง ภาพที่ปรากฏคือนกสีดำสองตัว มัวซัวไม่ชัดเพราะไอน้ำในอากาศ
แล้วหมอกก็จางหายไป ชั่วอึดใจนั้น ผมเห็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยเห็นมาก่อน...
...

นกเงือกคอแดง (Rufous-necked Hornbill) เป็น 1 ใน 12 ของนกเงือกที่พบในเมืองไทย จัดอยู่ในสกุลนกเงือกคอแดง (สกุล Aceros) คำว่า a หมายถึง "ไม่" คำว่า cera หรือ keras หมายถึง "เขาสัตว์" นกเงือกในสกุลนี้ไม่มีโหนกแข็งอยู่บนหัวเหมือนนกเงือกสกุลอื่นๆ 
นกเงือกคอแดงพบในเนปาล จีนด้านตะวันตกเฉียงใต้ พม่า ไทย ลาว และเวียดนามตอนเหนือ เป็นนกขนาดใหญ่มาก ความยาว 117 เซนติเมตร เมื่อดูจากระยะไกลจะเห็นร่างกายเป็นสีดำ ปลายหางสีขาว ปากสีเหลือง มีขนสีแดงตามหัว คอ และลำตัวด้านล่าง (ตัวผู้) อาศัยในป่าดิบแล้งและป่าดิบเขา ความสูง 600-1,800 เมตร มักอยู่เป็นคู่หรือฝูงเล็ก 4-5 ตัว เกาะอยู่ในระดับสูงบนต้นไม้ใหญ่

กฎหมายจัดนกเงือกคอแดงเป็นสัตว์คุ้มครอง สถานภาพในเมืองไทยเป็นนกประจำถิ่นหายากมาก พบเฉพาะด้านตะวันตกของประเทศ ตั้งแต่เชียงใหม่ไปจนถึงจังหวัดอุทัยธานี แต่ปัจจุบันมีรายงานเพียงบางแห่ง เช่น เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง เขตฯทุ่งใหญ่นเรศวร และอุทยานฯแม่วงก์

ข้อมูลสรุปจากหนังสือ "นกในเมืองไทย" โดยรศ.โอภาส ขอบเขตต์ ขอบคุณอาจารย์ครับ แม้อาจารย์จะล่วงลับไปแล้ว แต่ปีนี้ ปีหน้า หรือปีไหนๆ ตลอดชีวิตนักเขียนของผม คงได้รบกวนอาจารย์อีกนาน
...

ต้นปี 2544 ผมหนีไปเที่ยวเมืองใต้ ตะลุยป่าฮาลาบาลาอยู่หลายวัน สวรรค์บันดาลให้ผมได้เห็นนกเงือกหัวแรด ปากย่น ชนหิน กรามช้าง กก และปากดำ หลังจากนั้นมา ผมถึงเข้าใจว่า นอกจากปลาและสาว เรายังหลงรักนกเงือกแต่เกลียดเด็กทารก

การไปป่าครั้งนั้น ไม่ใช่การเห็นนกเงือกเป็นครั้งแรก ตั้งแต่เด็กผมเคยเจอหลายหน แต่แทบทุกครั้งคือนกกกหรือนกเงือกพันธุ์โหลที่เชื่อว่าคุณๆ คงรู้จักดี ช่วงนั้นผมไม่ได้สนใจนกเงือก เพราะใจกำลังแตกสนใจเด็กมัธยมมากกว่า สำหรับผม นกเงือกเป็นนกตัวใหญ่ดีสีสวยเห็นแล้วชื่นใจ...ก็เท่านั้น ต่อมาได้เห็นนกเงือกกรามช้างบินกันเป็นฝูง ชอบใจครับ แต่ยังไม่ถึงขั้นวางแผนเข้าป่าไปดูนกเงือก เพราะความสนใจเพิ่งเลื่อนระดับจากเด็กมัธยมมาเป็นน้องปีหนึ่ง แถมยังมีงานในทะเลเยอะแยะ จัดทริปไปดูปลาผีเสื้อรู้สึกสนุกกว่า อีกอย่างการเห็นของผมเป็นการเห็นแบบธรรมดา ไม่ได้ไปกับผู้เชี่ยวชาญ จึงไม่มีความรู้อะไรติดตัว ความประทับใจวูบมาแล้วก็วูบไป เหมือนความรักในม่านหมอก

มาระยะหลัง ผมเริ่มเกลียดน้ำเค็ม ดำลงไปเจอโน่น...ยี้ เจอนี่...ย้า เคยเจอมาหมดแล้ว ความตื่นเต้นเริ่มเลือนหาย แถมยังเริ่มสนิทสนมคุ้นเคยกับทีมงานตะลุยป่า แม้สังขารจะไม่ให้ (พุงเป่งเกินไป) แต่ใจรักอยากลองเที่ยวไพรพฤกษ์ดูบ้าง เอาแบบป่าที่รถยนต์เข้าถึง เดินน้อยๆ แต่พองาม

ผมตั้งใจไปเที่ยวเพื่อดูนกครั้งแรกที่อินทนนท์ สองปีมาแล้ว แม้ได้เห็นนกมากหลาย แต่ยังไม่ติดใจเพราะเกือบทั้งหมดตัวเล็กกว่ากำปั้น แถมช่วงนั้นยังบ้าถ่ายภาพ แบกกล้องตัวยาวเท่าบาซูก้า เดินไปเดินมาเหนื่อยชะมัด จนเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ผมตั้งใจไปป่าบาลาเพื่อดูนกเงือกโดยเฉพาะ ครั้งนี้ไม่เน้นภาพ เพราะเพิ่งบรรลุว่าเราเป็นนักเขียน ไม่ใช่ช่างภาพ มัวแต่ถ่ายภาพพอดีไม่มีไอเดียอะไรมาเขียนเรื่อง ผมมีเพื่อนเป็นช่างภาพเยอะแยะ อยากได้ภาพนกตัวไหน ออเดอร์ไปแป๊บเดียวก็ได้ (อย่าว่าแต่นกเลยครับ เสือ สิงห์ กระทิง แรด อยากได้อะไรมีหมด ฮ่าๆๆ เกิดเป็นอาจารย์ธรณ์สบายจริงหนอ)

เมื่อผมไม่ต้องถ่ายภาพ หันมาดูนกอย่างเดียว ความสุขเริ่มเกิด อย่างน้อยก็ไม่เหนื่อยเดินแบกกล้อง มีโอกาสพิจารณาคุณปักษามากกว่าเดิม พอลงไปบาลาก็โป๊ะเชะ เจอนกเงือกบินกันพึ่บพั่บ ทั้งเช้าทั้งเย็นดูได้ดูดีไม่มีเบื่อ พอกลับมากรุงเทพฯ ผมฝันดีเห็นหน้านกเงือก ฝันร้ายเห็นหน้าแฟน อัดอั้นตันใจขึ้นมา ฝนฟ้ากระหน่ำ ไปดำน้ำก็ไม่สนุก ไปทีไรน้ำขุ่นทุกที จึงตัดสินใจว่า เราไปดูนกอีกดีกว่า แต่นกที่มีศักดิ์ศรีสาสมกับสายตาของเรา ต้องเป็นราชาแห่งพงไพร นกเงือกตัวใหญ่เท่านั้น 

บรรดานกเงือกทั้งหลายที่ผมยังไม่เคยเจอ เจ้าตัวที่อยากเห็นสุดคือนกเงือกคอแดง เพราะโดนคุณโอภาส เพื่อนรุ่นพี่ผู้เที่ยวด้วยกันมา 30 ปีแล้ว กรอกหูอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ธรณ์...นกเงือกคอแดงนะ อู้ฮู...ตัวมันใหญ่มากเลย กางปีกบินแล้วดังหวือๆๆ คอก็แดงกล่ำเหมือนคนกระดกตอกิลล่า หางก็ข๊าวขาว ยิ่งกว่าซอกแขนของคุณหนูที่เดินอยู่ตรงหน้าเราอีกแน่ะ (ผมมีนัดกับพี่เล็กที่สยามครับ) ผมเดินดูซอกแขนคุณเธอไปพลาง คิดถึงเรื่องนกเงือกไปพลาง คิดถึงภรรยาและบุตรทางบ้านบ้างนิดหน่อย ก่อนตัดสินใจเด็ดขาด ลูกเมียช่างมัน คอแดงสำคัญกว่า

เมื่อนั่งเช็คกับบรรดาผู้รู้เรื่องนกทั้งหลาย แทบทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน อยากเห็นคอแดงต้องไป "ช่องเย็น" ฮะอาจารย์ (ผู้รู้อ่อนวัยกว่าผมครับ) แต่อย่าฝันสูงให้มากนะฮะ เดี๋ยวจะรักคุดเหมือนผม หวังต่ำๆ เข้าไว้ ดอกไม้ริมทางคว้ามาก่อน นกกระจิบนกกระจอกอะไรก็ดูๆ เข้าไป บางคนไปช่องเย็นสิบกว่าเที่ยวยังไม่เคยเห็นเจ้าคอแดงเลยฮะ

ช่องเย็น...ชื่อนี้เคยได้ยิน เพราะพี่เล็กพูดถึงเป็นประจำ ผมไปค้นข้อมูลเพิ่มเติมได้ความว่า ช่องเย็นเป็นชื่อช่องเขาแห่งหนึ่ง ความสูง 1,340 เมตร ถือเป็นจุดสูงสุดบนถนนสายคลองลาน-อุ้มผาง ถนนตัดผ่านป่าตะวันตกที่ปัจจุบันสิ้นสุดที่ช่องเย็น หากอยากไปต่อจากนั้นต้องเดินย่ำต๊อก สภาพถนนหายกลายเป็นป่าปกคลุม เหตุที่ถนนสายนี้ถูกปิดเพราะตัดผ่านผืนป่าตะวันตก ป่าใหญ่ผืนสุดท้ายของเมืองไทย ถ้ายังมีการใช้กันอยู่ มีหวังป่าหายป่าหดหมดแน่นอน (แล้วก่อนทำถนน ทำไมไม่คิด?)

ช่องเย็นอยู่ในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ อุทยานระดับป๋ามีพื้นที่ 894 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ในจังหวัดนครสวรรค์และจังหวัดกำแพงเพชร ใครอยากไปต้องขับรถไปที่อุทยานฯแม่วงก์ ก่อนปุเลงๆ ขึ้นเขาอีกเกือบ 30 กิโลเมตร บนช่องเย็นไม่มีไฟฟ้า ไม่มีร้านอาหาร อยากกินอะไรเชิญทำเอง ที่นั่นมีลานกางเต็นท์ แล้วก็มีบ้านพักพออยู่ได้ 

ผมสำรวจข้อมูลหมดแล้วถึงเริ่มวางแผน ประการแรก...เราไปดูนก ขืนไปกับพี่เล็กสองคน นั่นเป็นความคิดที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่จะดูถูกพี่เล็ก ใครก็ทราบว่าแกเป็นป๋า แต่ชื่อนกที่พี่เล็กบอก กับชื่อนกที่อยู่ในหนังสือ รู้สึกว่ามันจะไม่เคยตรงกันเลย เอะอะก็ปรอดบ้างอีแพร่ดบ้าง พี่เล็กน่ะไปด้วยแน่ แต่เราควรหาใครที่มีความรู้เรื่องนกมากกว่านั้น
อย่างที่บอก ผมเป็นคนที่มีผู้ชายรักธรรมชาติอยู่รอบกายเยอะ แต่ละคนล้วนเป็นเซียน ตั้งแต่ฝึกหัดเซียน (ระดับ 400 ชนิด) โคตรเซียน (650 ชนิด) เซียนเหยียบเซียน (750 ชนิด - เจ้าตัวเลขเหล่านี้หมายถึงจำนวนชนิดของน้องนกที่เซียนเคยเห็นมา) ครั้งนี้ผมจึงเลือกไป 3 เซียน ได้แก่ นายตี๋นิสิตสุดที่รัก เห็นหน้ากันมานานเกือบแปดปีแล้ว เซียนรายที่สองชื่อนายกั๊ก ช่างภาพนกและสัตว์ป่า เซียนรายสุดท้ายคือนายก้อง บารมี ช่างภาพดาวรุ่งฝีมือดีน่าติดตาม 

ผมสอบถามจากพี่เล็กผู้เคยไปช่องเย็นมาแล้ว 4 ครั้ง ได้ความว่าบนนั้นหนาวนะธรณ์ ผมดูจากตัวเลขความสูงแล้ว ไม่แปลกอะไรหรอกครับ 1,340 เมตร สูงกว่าภูกระดึงอีกแน่ะ ถึงจะเป็นหน้าฝนแต่อากาศคงเย็น ไม่งั้นเค้าจะตั้งชื่อว่า "ช่องเย็น" ทำไม? เสื้อผ้าที่ต้องเตรียมควรมีเสื้อหนาวติดไปสักตัว แต่อากาศหน้าฝนคงเปียกชื้น เตรียมเสื้อฝนไปด้วยก็ดี อุปกรณ์กำเนิดแสง ประเภทตะเกียง ไฟฉาย เทียนไข ไฟสุมทรวง เอาไปให้ครบถ้วน เตา ตะหลิว และกระทะ พี่เล็กเป็นคนเตรียม ผมไม่เกี่ยว ทีนี้ก็มาถึง "คุ่น"

"คุ่น" หน้าตาเหมือนแมลงหวี่ แต่มีนิสัยเหมือนแวมไพน์ เมื่อคุ่นเจอเรา คุ่นจะบินมาเกาะ ใช้ปากเจาะผิวหนังนุ่มๆ แล้วก็จ๊วบๆๆ ดูดเลือดที่เต็มไปด้วยฮีโมโกลบินสีแดงฉ่ำของเราเข้าไปจนเต็มกระเพาะ ผมลองสังเกตคุ่นที่เกาะหน้านิสิต พบว่าเค้าใช้เวลาดูดเลือดนานกว่ายุงธรรมดาถึง 2 เท่า ที่สำคัญคือคุ่นกัดไม่เจ็บครับ เรียกว่าเราแทบไม่รู้ตัวเลย อย่างนิสิตผู้เป็นคนสาธิตให้ดู คุ่นดูดเลือดจนตัวเป่งก่อนบินจากไป เค้ายังไม่รู้ตัวเลยว่าโดนคุ่นกัด

ผมเหลือบมองขนอันดกดำของตัวเอง นั่นคือเกราะป้องกันคุ่นชั้นแรก คุ่นบินมาเจอขนเราคงส่ายหน้า บินไปหาเนื้อโล่งๆ ของชาวคณะรายอื่น หากมีคุ่นหน้าด้าน ผิวหนังอันหยาบกร้านของผม ผ่านการตากแดดตากลมตากไอเค็มมาหลายพันวัน คงป้องกันคุ่นได้ระดับหนึ่ง ถึงแม้กัดเข้าไป ร่างกายที่ทนทาน เกินมาโดนตัวอะไรกัดก็ไม่เคยแพ้ อย่างดีก็แค่เกาสองสามแกรกคงหาย ผมเลยตัดสินใจไม่เอาตะไคร้หอมติดตัวไป เพราะต้องไปซื้อใหม่ เนื่องจากที่บ้านไม่เคยมีอุปกรณ์อะไรในการป้องกันยุง

จากคุ่นมาถึงทาก เจ้าตัวยึกยือนี้หลายคนเกลียดมาก แต่ผมรู้สึกเฉยๆ ทากกับผมไม่เคยทำบุญทำกรรมร่วมกันมาแต่ชาติปางไหน ตั้งแต่เข้าป่ามาผมเคยถูกทากดูดเลือดแค่หนเดียว แถมครั้งนี้ยังมีพี่เล็กไปด้วย แกเป็นตัวดูดทาก ทั้งป่าต่างมุ่งหน้าหาแกหมด ผมเลยไม่เดือดร้อน ใส่กางเกงเลดูนกสบายดีออก

ท้องฟ้าใสกระจ่าง จันทร์ดวงงามลอยเด่นให้เราขอข้าวขอแกง เสียงหนุ่มสาวคุยกันกรุ๋งกริ๋ง ถ้าเป็นนักเขียนประเภทเพ้อฝัน คงเริ่มเรื่องด้วยคำพรรณนาเช่นนั้น แต่ผมเป็นนักเขียนประเภทอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง สิ่งที่เกริ่นมาจึงเป็นเรื่องโกหก เพราะท้องฟ้ายามค่ำคืนวันศุกร์มืดตึ๊ดตื๋อ จันทร์เจ้าขาอยู่ไหนข้าพเจ้าไม่ทราบ เห็นแต่ไฟนีออนของร้านคาราโอเกะข้างถนน เสียงหนุ่มสาวคุยกันก็ไม่มี ได้ยินแต่เสียงกรนครอกๆ ของนายกั๊กที่นอนชันเข่าอยู่เบาะหลัง ผมอยากกรนบ้างก็ไม่ได้กรน เพราะกลัวพี่เล็กโชเฟอร์ของเราจะกรนตาม แล้วจะได้ไปช่องเย็นในโรงพยาบาลแทน

ระหว่างเส้นทางกรุงเทพ-นครสวรรค์ ไม่มีอะไรเล่าให้ฟัง เราใช้เวลาเดินทางไม่ถึงสองชั่วโมง พอเข้าเขตนครสวรรค์ พี่เล็กเติมน้ำมันจนเต็มถัง บอกว่าต้องเผื่อไว้เพราะในอุทยานฯไม่มีน้ำมัน เราต้องขับรถไปโน่นมานี่ไม่สำรองไว้เดี๋ยวแย่ ผมลงมาเดินเล่นรอบปั๊มหนึ่งรอบ มองดูเมืองนครสวรรค์ยามค่ำคืน โอ้! เมืองแห่งโมจิ ปากน้ำโพที่ลือลั่นตั้งแต่สมัยบรมครูมาลัย ชูพินิจ เคยเขียนไว้ในเรื่อง "แผ่นดินของเรา" ทุกอย่างเปลี่ยนไปเกือบหมด ครูมาลัยกลับมาดูอีกหนคงกลุ้มใจพิลึก

จากนครสวรรค์ พี่เล็กใช้เส้นทางไปสู่กำแพงเพชร พอเลยนครสวรรค์สัก ๒๐ กิโลเมตร แกเลี้ยวซ้ายแยกจากถนนใหญ่ตามป้ายสู่อำเภอลาดยาว ถนนสายนี้แคบและมีหลุมบ่อ แต่พี่เล็กบอกว่าเป็นเส้นทางลัด ผมเชื่อใครไม่เชื่อ ดันไปเชื่อพี่เล็ก นั่งรถมาอีกชั่วโมงกว่ายังไม่ถึงสักที มันลัดยังไงเหรอพี่จ๋า? นิสิตผู้ทำหน้าที่เป็นโชเฟอร์ของรถอีกคันก็กลุ้มใจ เขานัดแนะกับพี่เล็กมาเสร็จสรรพ ขาไปใช้เส้นทางนี้ ขากลับไม่เชื่อพี่เล็กแล้ว ลองใช้อีกเส้นทางดีกว่า เลี้ยวออกทางอำเภอคลองขลุง ปรากฏว่าเร็วกว่ากันตั้งเยอะ สรุปแล้วใครจะมา กรุณาอย่าหลงผิดอย่างผม ขับรถไปตามถนนใหญ่มุ่งหน้าไปกำแพง เมื่อถึงอำเภอคลองขลุง เจอป้ายซ้ายมือเขียนว่า "อำเภอคลองลาน" เลี้ยวไปทางนั้น พอมาถึงคลองลาน สังเกตป้ายหรือถามทางชาวบ้าน อีกแค่ ๑๕ กิโลเมตรก็ถึงที่ทำการอุทยานฯแล้วครับ

แม่วงก์อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพ ถ้าอากาศดีไม่มีฝนตก ขับรถ ๓-๔ ชั่วโมงน่าจะถึง (อย่าลืมนะครับ พวกผมวัยกำลังห้าว ขับรถเร็วกว่าชาวบ้าน เวลาถูกรถคันอื่นแซงรู้สึกโดนเหยียดหยาม เชื่อว่าหากประพฤติเช่นนี้ต่อไป คงไม่ได้แก่ตายแน่) ออกจากกรุงเทพเย็นวันศุกร์ทันถมเถ ขนาดผมออกมาตอนหัวค่ำ ผจญรถติดบานตะไท แวะกินข้าวอีกต่างหาก ยังมาถึงอุทยานฯแห่งนี้ไม่เกินเที่ยงคืน เราจ่ายเงินค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานฯเรียบร้อย คุณยามแย้มยิ้มต้อนรับพร้อมเปิดที่กั้นให้ จากด่านกั้นเข้าไปสัก ๓-๔ กิโลเมตร เส้นทางขึ้นเขานิดหน่อย เรามาถึงที่ทำการอุทยานฯแล้วครับ

ที่ทำการฯอยู่บนเชิงเขา ปรับแต่งพื้นที่ไว้อย่างดี มีเจ้าหน้าที่เฝ้าตลอด ๒๔ ชั่วโมง แม้พวกผมมาถึงกลางดึก พอจอดรถได้แป๊บเดียว พี่เค้ารีบเข้ามาถามไถ่ เมื่อทราบว่าเราจองบ้านไว้เรียบร้อยแล้ว แกพาพวกเราไปที่บ้าน บอกว่าเชิญเลยครับ บ้านหลังนี้อยู่ริมน้ำมีระเบียงสวยงาม นอนให้สบายนะครับ

ผมกับคณะพรรคกำลังจะขนของเข้าห้อง แต่ยังไม่ทันขน นายตี๋ เบิร์ดลีดเดอร์ หยุดยืนเงี่ยหูแล้วบอกว่าโอ้เสียงนก ผมได้ยินเสียงนก มันต้องเป็นนกกลางคืนแน่ เอาไฟมา มีไฟฉายมั้ย? ผมจะหานกกลางคืน เมื่อตี๋ได้ไฟฉาย ตี๋ก้มตี๋เงย ตี๋ทำท่าเหมือนหมาล่าเนื้อได้กลิ่นกระต่ายป่า ตี๋บุกดงหญ้าแบบไม่กลัวงูกัด ก่อนฉายไฟปราดเข้าให้ นกตัวหนึ่งที่เกาะอยู่หลังต้นไม้ โผล่หน้าออกมาจ๊ะเอ๋ไฟฉาย นกแสกแดง! ก้องบารมีที่ย่องตามตี๋ไปอย่างกระชั้นชิด กระซิบบอก แสกแดง!!! เย้...ดีใจจัง ว่าแต่มันหายากหรือเปล่า? เมื่อก้องพยักหน้าบอกว่าหายาก ผมค่อยกลับเข้าไปในรถเพื่อตะกุยหากล้องส่องทางไกล รื้อออกมาได้ยังไม่ทันยกขึ้นส่อง ฟุ่บๆๆ นกแสกแดงบินลับลา คุณนกเจ้าขา เจ้านกบ้า รอเดี๋ยวก็ไม่ได้

นกไปแล้ว แต่ข้าวของยังอยู่ รอช้าอยู่ไย ผมบงการให้นิสิตและสตาฟขนของ ส่วนตัวเองเดินเข้าไปเลือกที่นอน บ้านพักอุทยานฯที่นี่ใช้ได้เลยครับ มีระเบียงฟังเสียงน้ำในห้วยไหลกระฉอกตลิ่ง คืนนั้นผมนอนฟังเสียงน้ำไหลสลับกับเสียงกรนของพี่เล็กตลอดทั้งคืน ตื่นเช้ามาฮ้าสดชื่น ออกมาเดินโต๋เต๋ เห็นนายตี๋พาพรรคพวกลงไปที่ริมห้วย ท่าจะไปหากระเต็นขาวดำใหญ่ แต่ผมเชื่อมั่นแน่ว่าด้วยโชคชะตาของนายตี๋ คงไม่มีวันเจอ

ว่าแล้วเราเดินสำรวจที่ทำการฯแม่วงก์ดีกว่า เค้าจัดสวนไว้สวยเชียวครับ มีไม้พุ่มตัดทำเป็นป้ายชื่อ สนามหญ้ากว้างเหมาะสำหรับกางเต็นท์ บ้านพักหลายหลังสร้างอยู่ริมห้วยสวยเก๋ ร้านอาหารสวัสดิการก็มี ราคาแพงกว่าร้านข้าวแกงข้างนอกเพียงนิดเดียว ในศูนย์นิทรรศการยังมีข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวให้พร้อมสรรพ ถ้าคุณเป็นคนชอบดูนก มาที่นี่คงไม่ผิดหวัง เพราะแม่วงก์มีนกให้ดูไม่ต่ำกว่า ๓๕๐ ชนิด

แล้วถ้าไม่ดูนกล่ะ? แม่วงก์ยังเหมาะสำหรับการท่องเที่ยวหลากรูปแบบ หนุ่มสาวเรอะ ต้องกางเต็นท์ครับ บ้านพักที่นี่หลังใหญ่เกินเหตุ อยู่บ้านคงโหวงเหวงน่าดู กางเต็นท์ฮันนีมูนกลางฝน ตื่นเช้าขึ้นมาเจ้าสาวถูกน้ำพัดหายไป เจ้าบ่าวคงสุขชะมัด (เหมาซองของขวัญในงานแต่งเป็นของเราแต่ผู้เดียว สุขหรือทุกข์ดีล่ะเนี่ย) ถ้าเป็นหนุ่มใหญ่มาแบบครอบครัว เหมาบ้านพักทั้งหลัง ปล่อยลูกหลานวิ่งไล่กันบนสนามหญ้า เรานั่งจิบเหล้าดูลูกหลานตกห้วย นั่นก็น่าจะสุข โดยเฉพาะถ้ามาหน้าหนาว แต่ต้องระวังสักนิด เสาร์อาทิตย์หรือวันหยุดราชการ ผู้คนอาจล้นหลาม หากเลี่ยงช่วงนั้นได้ ผมเชื่อว่าทุกคนคงชอบใจการมาพักผ่อนที่แม่วงก์ 

บางคนอาจต้องการกิจกรรมเพิ่มเติม แต่ไม่หวังจะไปให้ถึงช่องเย็น เพราะรถเก๋งไม่เอื้ออำนวย ผมแนะนำว่าอาจเดินเที่ยวตามริมห้วย หรือไปแก่งผาคอยนาง อยู่เลยที่ทำการฯไปไม่ถึง ๒ กิโลเมตร จะเดินไปก็ได้ ขับรถไปก็สะดวก แต่ผมไม่ยักไป เพราะรู้สึกว่าชื่อแก่งดูหมิ่นศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย มีอย่างที่ไหนให้เราไปคอย นางนั่นจะสวยขนาดไหนก็มีสามีแล้ว ถ้าเปลี่ยนชื่อเป็น "แก่งคอยนางสาว" เมื่อไหร่รับรองไปแน่ 

สำหรับคุณที่ต้องการกิจกรรมเพิ่มมากขึ้น มานอนนี่สักคืน ตื่นเช้าค่อยเดินเที่ยวแก่ง ถึงบ่ายออกจากอุทยานฯไปเที่ยวน้ำตกคลองลานก็สนุก น้ำตกแห่งนั้นสูงใหญ่ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากแม่วงก์ ถ้าถนนดีๆ ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เทคนิคไปก็ไม่ยาก แค่ขับรถกลับไปที่อำเภอคลองลาน สังเกตป้ายบอกทางไป "อุทยานฯคลองลาน" แค่นั้นก็เรียบร้อย

ผมเดินคิดอะไรเพลินๆ จนไม่ได้ยินเสียงตี๋เรียก มารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อนิสิตหนุ่มวิ่งเข้ามาจับมือถือแขน (ว้าย!) ลากผมให้ลงไปดูนกประหลาด ขณะนี้คณะพรรคกำลังชุลมุนดูอยู่อย่างสนุกสนานเป็นยิ่งนัก เมื่อเข้ามาใกล้ผมถึงร้องอ๋อ นกประหลาดที่ว่าคือเจ้าแสกแดง เมื่อคืนบินปิ๊วๆ ล่อนายตี๋ พอตะวันขึ้น นกกลางคืนที่ดีย่อมไม่บินพั่บๆ ท่ามกลางแสงแดดของประเทศใกล้เขตศูนย์สูตร เขาต้องหาที่พักผ่อนนอนหลับ สำหรับเจ้าแสกแดงตัวนี้ ท่าทางแถวแม่วงก์จะเงียบสงบ ไม่ค่อยมีใครไปกวน แถมยังไม่มีวัดอยู่ใกล้ๆ (นกแสกชอบนอนตามวัดครับ) แสกแดงเลยตั้งหลักปักขาเกาะอยู่บนตอไม้ริมน้ำ นายตี๋บังเอิญเหลือบไปเห็น กระโดดโลดเต้นดีใจก่อนพาชาวคณะส่องกล้องดูอย่างใกล้ชิด ส่องจนสาสมอารมณ์หมายแล้วค่อยวิ่งขึ้นมาเรียกผมไปช่วยส่อง

จากเลนส์ใสปิ๊งทำจากแร่ซิลากาชั้นเริ่ดในประเทศออสเตรีย ผมมองเห็นแทบทุกขุมขนของแสกแดง ในใจภาวนาให้เปลี่ยนจากนกกลายเป็นอย่างอื่น (อย่างไหน? แฮ่ม! เดี๋ยวนี้เอาใหญ่แล้ว ชักทะลึ่ง น่าตีจริงเชียวเรานี่) ส่องไปนายตี๋ก็อธิบายไป นกแสกแดงเป็นนกที่ออกหากินเวลากลางคืน อาศัยอยู่ในป่าดงดิบ ป่าเบญจพรรณ และป่าพรุ มีถิ่นแพร่กระจายอยู่ทางตะวันตก ทางเหนือ ภาคใต้ และบางส่วนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จัดเป็นนกประจำถิ่นหายาก อาหารที่ชอบคือแมลงและสัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก เช่น กิ้งก่า ตุ๊กแก

บางครั้งเขาก็กินพวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก เช่น หนู เพื่อการจับเหยื่ออันรื่นรมย์ นกแสกแดงมีนิ้วเท้าที่แข็งแรงและเล็บที่แหลมคมเหมือนเท้าเหยี่ยวไว้สำหรับขยุ้มเหยื่อ ก่อนใช้จะงอยปากที่โค้งเหมือนเคียวฉีกทึ้ง ตัวอย่างเห็นง่าย น่าน...นั่น! เห็นมั้ยครับ ที่บนตอไม้ใกล้ที่เกาะของนายแสกแดง มีตุ๊กแกคอขาดนอนตายอยู่หนึ่งตัว เชื่อว่าตุ๊กแกตัวนี้ถูกแสกแดงจับกิน พอกินส่วนหัวหมด พุงแสกแดงก็เป่ง เลยเก็บตัวตุ๊กแกไว้กินต่อมื้อหน้า จัดเป็นนกที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลกว่าผู้บริหารประเทศบางคน

ชมแสกแดงเสร็จสรรพ ถึงเวลาเดินทางต่อ จากที่ทำการฯขึ้นไปจนถึงช่องเย็น ระยะทาง ๒๘ กิโลเมตร เป็นทางขึ้นเขาตามถนนสายคลองลาน-อุ้มผาง ที่ปัจจุบันเปิดให้บริการถึงแค่ช่องเย็น เลยจากนั้นห้ามเข้าจ้ะ ถึงอยากเข้าก็เข้าไม่ได้ เพราะป่ากลืนถนนไปหมดแล้ว ผมกระโดดขึ้นรถมีพี่เล็กเป็นโชเฟอร์ พอเราเลี้ยวออกจากที่ทำการฯได้หน่อยก็เจอด่าน ใครจะขับรถขึ้นไปต้องขออนุญาตให้เรียบร้อย เมื่อเช้าพี่เล็กแอบไปติดต่อศูนย์บริการนักท่องเที่ยวมาแล้ว จึงไม่มีปัญหาอะไร เมื่อผ่านด่านไปสักหน่อย ถนนเริ่มแคบคดโค้งขึ้นเขา ผมคิดถึงถนนไปแก่งกระจานขึ้นมาทันที

จะว่าไปแล้ว ไปเที่ยวช่องเย็นกับไปเที่ยวแก่งกระจานมีส่วนคล้ายกันหลายอย่าง (แก่งกระจาน - ในที่นี้หมายถึงอุทยานฯ ไม่ใช่เขื่อนนะครับ) ถนนขึ้นเขาทั้งสองแห่งไม่เปิดให้บริการตอนกลางคืน ต้องขึ้นกลางวัน ที่แตกต่างคือการไปแก่งกระจานต้องขึ้นลงเป็นเวลา เพราะถนนแคบรถสวนกันลำบาก แต่ที่ช่องเย็นขึ้นลงได้ตลอดวัน ถนนยังอยู่ในสภาพดีกว่านิดหน่อย พอให้รถสวนกันได้

ข้อดีประการหนึ่งของการเที่ยวช่องเย็น คือ ช่วงนี้ไม่ค่อยมีคนไป อาจเป็นเพราะอยู่ไกลกรุงเทพมากกว่า ผิดกับแก่งกระจานที่เสาร์อาทิตย์เกือบเป็นเหมือนตลาดนัด ผู้คนเยอะแยะ บางทีขับขึ้นเขามีรถต่อกันสิบกว่าคัน ขณะที่ทริปสู่ช่องเย็นของผม ไม่มีรถขึ้นเขาสักคันยกเว้นรถของพวกเรา ทั้งที่เป็นวันเสาร์นะเนี่ย

สูงๆ ขึ้นไป ชาวคณะแวะจอดดูนกสองข้างทางเป็นระยะ อันนี้ก็เหมือนครับ เพราะไปเที่ยวแก่งกระจานใช้เทคนิคดูนกตามถนน บางหนอาจเจอสัตว์ป่า เช่น เสือดาว อย่างที่พี่เล็กเคยเจอและเคยเล่าในคอลัมน์ของแกไปสักหนึ่งปีมาแล้ว เส้นทางขึ้นช่องเย็นมีเสือดาวเช่นกัน เพื่อนผมเพิ่งจ๊ะเอ๋ไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่ครั้งที่เราไป ผมเป็นคนโชคร้ายในเรื่องสัตว์ๆ สรุปแล้วเลยไม่เจออะไรยกเว้นนก

ผมกับพี่เล็กรุดหน้ามาก่อน ปล่อยให้ชาวคณะขับรถตู้ตามหลัง เราผ่านเส้นทางลาดยางแต่มีหลุมบ่อ บางหนก็เป็นทางดินเละๆ ที่เขากำลังทำทาง ฝนที่ตกลงมาทำให้ดินลื่นปรู๊ดปร๊าด ถ้าเป็นถนนธรรมดาอย่างดีก็ตกคูข้างทาง แต่ที่นี่ข้างทางคือเหวนรก มองลงไปสูงไม่ต่ำกว่าห้าสิบเมตร ขอบถนนมีต้นหญ้าคาหรอมแหรม ไม่มีที่กั้นใดๆ แม้กระทั่งต้นไม้ ช่วงนี้เลยลุ้นหนักหน่อยกว่าจะตะลุยผ่านมาได้ ทางตรงนั้นยาวแค่ ๒-๓ กิโลเมตร แต่สร้างความหวาดเสียวได้ดีแท้

ในที่สุด เราเริ่มใกล้ยอดเขา ช่องเย็นเป็นจุดสูงสุดของถนนคลองลาน-อุ้มผาง ที่ระดับความสูง ๑,๓๔๐ เมตร สูงกว่าภูกระดึงนิดหน่อย อากาศย่อมเย็นแน่ ผมเปิดหน้าต่างยื่นมือออกไป ยังไม่เท่าไหร่แฮะ มันจะเย็นแค่ไหนเชียว ระดับเราผ่านอินทนนท์มาแล้ว ยอดเขาสุดสูงในนิวซีแลนด์ก็เคยไป ช่องเย็น?...อ่อน!!!

พ้นโค้งขึ้นเนินสุดท้าย ภาพช่องเย็นโผล่มาตรงหน้า ผมจึงเพิ่งรู้ตัวว่า อย่าได้คิดเอายอดดอยอินทนนท์ นิวซีแลนด์ ฯลฯ มาเปรียบเทียบกับช่องเย็นเป็นอันขาด ที่นี่ไม่เหมือนที่ไหน...เพราะเมืองในหมอกของประเทศไทย ไม่ได้มีที่แม่ฮ่องสอนเพียงแห่งเดียว ที่นี่ก็มี และไม่ได้มีเพียงหมอก แถมเมฆให้อีกด้วย

อยากให้คุณหลับตาคิดภาพครับ เทือกเขาสูงเป็นพืดของดินแดนแห่งผืนป่าตะวันตก ถนนสายคลองลาน-อุ้มผางลัดเลาะมาตามหุบเขา จนชนแป้กเข้ากับเขาสูงลูกหนึ่ง ไม่มีหุบผ่าน ถนนเลยต้องตัดขึ้นสู่ยอดเขาที่ลักษณะเป็นเนิน กว้างสักเท่าสนามฟุตบอล ล้อมรอบด้วยหลายยอดเขาที่สูงกว่า เนินนี้แหละครับที่ตั้งของช่องเย็น มองลงไปด้านล่างเป็นหุบเขาสวยเชียว ลมที่พุ่งมาตามหุบเขา เมื่อปะทะกับเนินเขาช่องเย็น จะหลบซ้ายขวาก็มียอดเขาอื่นคอยบังอยู่ ลมเลยถูกบังคับให้พัดผ่านช่องเย็นดังหวือๆ

บังเอิญหน้าฝนไม่ได้มีแต่ลม แต่บนฟ้ามีเมฆด้วย ลมพาเมฆพุ่งขึ้นผ่านช่องเย็น สร้างบรรยากาศเมืองในเมฆตลอดเวลา พอฟ้าโปร่ง เราจะเห็นวิวข้างหน้าสักแป๊บ จากนั้นก็มาแล้ว ลมพัดเมฆลอยมาตามหุบเขาเห็นถนัดตา สักเดี๋ยวลอยหวือขึ้นมาบนช่องเย็น พุ่งผ่านสนามหญ้า รถ ต้นไม้ และบ้านพัก ความชื้นในอากาศแค่ไหนข้าพเจ้าไม่ทราบ แต่ที่ทราบคือสูงปรี๊ด สูงจนเกือบเป็นร้อยเปอร์เซนต์มั้งครับ ขนาดมุ้งลวดที่บ้านพักยังใช้มุ้งลวดพลาสติก มีหยดน้ำเกาะพราว ไถ่ถามเจ้าหน้าที่แล้วได้ความว่ามุ้งลวดธรรมดาใช้ได้ไม่นานสนิมกินพังหมด

รถโฟร์วีลของเราจอดอยู่บนสนามหญ้า เมฆพัดมาเป็นก้อนๆ พี่เล็กไปหาเจ้าหน้าที่เพื่อติดต่อที่พัก ผมก้าวลงมามองบรรยากาศซ้ายขวา เงียบสงบสุดบรรยาย ทั่วช่องเย็นไม่มีใครเลยทั้งที่เป็นวันเสาร์ เสียงนกร้องจิ๊บดังมาจากราวป่าด้านล่าง บรรยากาศตอนนี้สุขสงบแปลกประหลาด จนแทบไม่น่าเชื่อว่าที่นี่คือเมืองไทย จะเปรียบเทียบให้ใกล้เคียง คงเหมือนชนบทประเทศอังกฤษมั้งครับ ชั่วแต่ว่าอากาศเย็นกว่า (เคยไปแล้ว ไม่ใช่ตู่เอา แต่ไปมาเมื่อยี่สิบห้าปีที่แล้ว สมัยนั้นเป็นเด็กเกเร ถูกคุณพ่อส่งไปฝึกงานนานสามเดือน เศร้ามากครับ)

ผมสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ชีวิตช่างมีสุข แล้วจะมีสุขมากขึ้นถ้า...ถ้า เสียงหวือๆๆ ดังมาจากด้านหลัง นายกั๊กที่ยืนอยู่ข้างผมร้องออกมา "อาจ้าน!!! นกเงือกคอแดง" ผมหันขวับกลับไป เงาดำสองเงาร่อนผ่านกลางสายหมอก ลงเกาะที่ตอไม้เหนือหลังคาบ้าน ห่างจากจุดที่ผมยืนไปไม่เกินยี่สิบเมตร ขนาดของเงาใหญ่จนหมดสงสัยว่าเป็นตัวอะไร? ทั้งป่านกใหญ่ขนาดนี้นอกจากอีกาห้าตัวบินต่อกันแล้ว คงมีแต่นกเงือกเท่านั้น แล้วกั๊กรู้ได้ไงว่าเป็นนกเงือกคอแดง สุดยอดนกเงือกของเมืองไทยล่ะ?

ช่องเย็นเป็นสถานที่ลือชื่อในการเฝ้าดูนกเงือกคอแดง เรียกว่าเจ๋งสุดในบ้านเราได้แน่ แม้ว่าคอแดงอาจพบในป่าตะวันตกแถวอื่น แต่มีน้อยมากแถมอยู่กลางป่าลึก โอกาสที่คนอย่างเราท่านพบเห็นเป็นศูนย์ แต่ช่องเย็นเป็นจุดที่นักเที่ยวทั่วไปสามารถมาได้ มีรายงานการพบนกเงือกคอแดงสองตัว บางหนอาจเป็นสามตัวถ้าอยู่ในช่วงเลี้ยงลูกที่มีขนาดใหญ่พอติดตามพ่อแม่ไปกินอาหารได้ เป้าหมายของคอแดงคือต้นไม้ที่มีลูกสุกเกือบตลอดเวลา บังเอิญต้นไม้ที่ว่าขึ้นอยู่เลยหน้าผาชมวิวของช่องเย็นไปนิดเดียว

ใครมาที่นี่เลยมีโอกาสเจอคอแดงสูงเชียวล่ะ นั่นคือเหตุผลประการแรก อีกอย่างหรือครับ นกเงือกคอแดงตัวใหญ่มาก นกเงือกอื่นมีขนาดใหญ่ใกล้เคียงกันมีน้อย ต้องเป็นระดับนกกาฮังทำนองนั้น แต่รูปร่างและนิสัยของนกทั้งสองต่างกัน นายกั๊กเป็นประเภทโคตรเซียนดูนกมาแล้วเฉียด ๗๐๐ ชนิด แค่นี้จะไม่รู้เชียวหรือ? ยิ่งใจอยากเห็นคอแดง ตัวอะไรกระพือปีกได้ขนาดใกล้เคียงนกเงือกคอแดง ไงๆ ก็ต้องเดาว่าคอแดงไว้ก่อน

ผมเป็นคนโชคดี เขียนหนังสือก็มีคุณๆ กรุณาตามอ่าน อย่างหนนี้ผมกำลังยืนยิ้มกลางสนามหญ้า ร้อยวันพันปีไม่เคยยืนยิ้มแบบมีกล้องส่องทางไกลห้อยคอ ก็บังเอิญหนนี้ดันมีเพราะอยากทำเท่ว่าตูข้าคือเซียนดูนก เมื่อผมเห็นเป้าหมาย กล้องถูกยกขึ้น ฮ่า...ไม่เห็นอะไรเลยวุ้ย สายหมอกบังไว้จนเห็นแค่เงาดำ ไม่มีหนอกบนหัว เพราะงั้นไม่ใช่นกกาฮังแน่

และแล้ว...ดุจฟ้าปราณี สายหมอกจางหายไปหนึ่งวูบ สิ่งที่ผมเห็นคือนกขนาดใหญ่ ตัวสีดำสนิท ส่วนคอถึงส่วนหัวสีแสด มีเหนียงตรงคอสีแดง รอบตาสีฟ้า ปากสีเหลืองมีบั้งเป็นร่องๆ อยู่ที่จะงอยปากด้านบน ก่อนมาผมดูรูปเจ้าคอแดงไม่รู้กี่สิบครั้ง ดูไปฝันไปว่าเราจะได้เจอบ้าง ครั้งนี้...ได้เจอแล้วครับ

ติ๊ก...ติ๊ก เข็มวินาทีกระดิกสองหน หมอกลอยมาขวางกั้น ภาพนกตรงหน้าหายกลายเป็นเงาดำเหมือนเดิม หวือๆๆ นกทั้งคู่กระพือปีกบินร่อนหายไปในสายหมอก ตั้งแต่เขาและเธอลงเกาะจนถึงบินไป ใช้เวลารวมไม่เกินสิบห้าวินาที เร็วชนิดที่พี่เล็กผู้วิ่งหน้าตั้งมาคว้ากล้องไม่ทัน แต่เห็นด้วยตาก็ถือว่าเห็น แม้จะไม่ได้ดูแบบใกล้ชิด มาถึงช่องเย็นไม่ถึงสิบนาทีได้เห็นนกเงือกคอแดง สุขครับ...สุขมาก ยิ่งสุขใหญ่เมื่อคิดว่าจะได้ทับถมนายตี๋นักดูนก ผู้ยังมาไม่ถึงพร้อมคณะลูกทัวร์

เพียงไม่นาน รถตู้คันใหญ่โผล่ขึ้นมาจากสายหมอก ชาวคณะตามมาถึงแล้ว ตี๋โผล่หน้ามา ตี๋เขินตี๋อาย ตี๋ไม่เคยได้เห็นคอแดง เพราะเกิดมาไม่เคยมาช่องเย็น ตี๋จึงเจ็บแค้นใจ (เหตุผลที่ตี๋ไม่เคยมาทั้งที่เป็นนักดูนกตัวกลั่น ที่นี่โบกรถลำบาก ไม่ค่อยมีรถให้โบก เลยมาทีไรไม่เคยถึงสักที ได้แต่เดินย่ำต๊อกรอรถผ่านอยู่ข้างล่าง รอเท่าไหร่ก็ผิดหวังเหมือนรอรัก ใครที่คิดว่าการดูนกไม่เกี่ยวกับเงินทอง ใช่ครับ...ถ้าเป็นนกกระจิบนกกระจอก แต่ถ้าเป็นราชานก คนจนไม่มีรถย่อมอาภัพจ้ะ)

อากาศปิด มีเมฆอยู่ทั่วไป ไม่ใช่อยู่เพียงบนฟ้า แต่เมฆก้อนหนึ่งเพิ่งลอยเข้าไปในข้าวกล่องของผม ที่ซื้อติดมาจากร้านสวัสดิการข้างล่าง เมฆอีกก้อนลอยเข้าไปในถุงน้ำปลา กรุณาอย่าคิดว่าเว่อร์จนกว่าคุณจะได้ไปช่องเย็นยามหน้าฝน เพราะคุณสามารถกินข้าวโดยไม่ต้องมีแก้วน้ำ แค่อ้าปากให้กว้าง สักเดี๋ยวเมฆก็จะลอยเข้าไป ไอน้ำบริสุทธิ์กลั่นตัวไหลโกร๊กลงมาตามไรฟัน สะอาดกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

ผมกินข้าวแกล้มเมฆไปเรื่อยๆ สายตาจับจ้องแมลงประหลาดบินไปเกาะหน้านายตี๋ หน้าตาคล้ายแมลงหวี่แฮะ ฮูย...เกาะแล้วดูดเลือดด้วยเนี่ย เห็นเลยว่าตัวพองเป่งขึ้น ดูดนานตั้งนาทีแล้วยังไม่ยอมปล่อย เอ้า...ปล่อยแล้วล่ะ เห็นหยดเลือดเล็กๆ โผล่มาจากบาดแผล เมื่อถึงตอนนั้นผมค่อยบอกตี๋ว่าคุ่นกัด ตี๋เอามือปาดหน้าหัวเราะร่าใช่ที่ไหนครับ นี่มันขี้แมลงวันของผมต่างหาก สามสัปดาห์หลังจากนั้น ผมแอบเห็นตี๋เกาหน้าแกรกๆๆ อยู่หน้าห้องน้ำหญิง ขี้แมลงวันคันได้แปลกดีนะ

กินข้าวเสร็จ โดนคุ่นเจาะเลือดเสร็จ ถึงเวลาเดินดูนก ป่ารอบด้านของช่องเย็นมีนกมากหลาย แต่ละตัวไม่ค่อยได้เห็นง่ายๆ เช่น หัวขวาน แถมยังเชื่องเจาะไม้โป๊กๆ ให้เราชมตั้งนาน แต่อย่างว่า เรื่องนี้ไม่ใช่สารคดีดูนก ผมจะไม่ลงรายชื่อนกโน้นนี้นั้น เพราะมันไม่สมศักดิ์ศรีของนักเขียน เป้าหมายของเราต้องเป็นนกเงือก เมื่อกี้เจอนกเงือกคอแดงไปแล้ว คราวนี้มาดูนกเงือกกรามช้างบ้าง

เราเดินอยู่บนถนนครับ ก่อนชาวคณะรายหนึ่งจะหยุดยืนแล้วชี้โบ๊ชี้เบ๊ขึ้นไปบนอากาศ เจ้าเงาดำที่ร่อนอยู่เป็นฝูงคือนกเงือกกรามช้าง ไม่ได้มีแค่หนึ่ง แต่มาเป็นฝูง แถมยังไม่มีแค่ฝูงเดียว แต่มาหลายฝูง ตั้งแต่ไปยันกลับ ผมนับนกเงือกกรามช้างได้ ๓๒ ตัว มีอยู่หนหนึ่งทั้งฝูงร่อนลงเกาะต้นไม้ ส่องกล้องเห็นชัดเจนจนอยากกรี๊ด แม้นกเงือกกรามช้างหาไม่ยาก ไปแค่เขาใหญ่ก็มีสิทธิเจอ แต่กรามช้างเป็นฝูงหาดูไม่ง่าย ที่เห็นแบบสะดวกสบายทัวร์ คงต้องล่องใต้ไปถึงบาลาจึงจะมีสิทธิเห็นกรามช้างเยอะขนาดนี้

หนึ่งวันผ่านไป ค่ำคืนเข้ามาเยือน พายุพุ่งทะลวงผ่านช่องเย็น ทั้งเมฆทั้งฝนมืดไปหมด เปิดประตูห้องปุ๊บเมฆลอยเข้ามาในห้อง ยิ่งกลางคืนที่ช่องเย็นไม่มีไฟฟ้า เราต้องจุดตะเกียง บรรยากาศยิ่งสุดยอด ชาวคณะรวมกลุ่มกันในห้องพักสร้างไออุ่น ห้องที่นี่ทำไว้ใช้ได้ครับ มีเตียงนอนเรียงกัน ด้านหลังเป็นห้องครัวใช้ประกอบอาหาร แต่คุณต้องนำอุปกรณ์ทุกอย่างรวมทั้งเตาไฟมาเอง เขามีบริการเพียงก๊อกน้ำ ห้องน้ำอยู่ด้านหลังแยกชายหญิง ใช้รวมกันสองห้องนอนต่อห้องน้ำหนึ่งชุด

คืนนั้นที่ช่องเย็นผมขดตัวอยู่ในถุงนอนหลับสบายมาก มีเพียงหนเดียวที่ตื่นมากลางดึกหนหนึ่งรู้สึกฝ่ออยู่นาน ก่อนนอนดันเล่าเรื่องผีตากลวง ยิ่งที่ช่องเย็นมืดตึ๊ดตื๋อ ต้องเดินไปเข้าห้องน้ำข้างนอก ใครชอบดีฝ่อไม่ควรพลาดโอกาสมาเข้าห้องน้ำที่ช่องเย็นกลางดึก
ตื่นเช้ามาฝนจากไปแล้ว ฟ้าแม้ไม่สดใสแต่ถือว่าใช้ได้ เสียงนกร้องลั่นป่า ผมคว้ากล้องส่องทางไกลเดินออกมา ไม่ยอมล้างหน้าแปรงฟันหรือแม้กระทั่งคิดเปลี่ยนชุด เนื่องจากมาดูนกไม่ใช่ไปเดทกับน้องนก ความหอมของร่างกายไม่จำเป็น

พี่เจ้าหน้าที่เค้าบอกว่านกเงือกคอแดงมักมาตอนเช้ากับตอนเย็น ผมเดินออกไปที่สนาม มุ่งหน้าไปจุดชมวิวเพื่อส่องต้นไม้ของนกเงือก ปัญหาคือต้นไม้นี้ถูกต้นไม้อื่นบังไว้ ส่องลอดช่องไปเห็นนิดเดียว มองดูแล้วไม่เจอนกเงือก เลยเดินลัดเลาะไปตามขอบผา กำลังจะลงไปตามทางเพื่อดูนกในป่า ผมได้ยินเสียงบ๊อกๆๆ

เรื่องเสียงนี่ว่ากันลำบาก หูคนฟังเสียงไม่เหมือนกัน บางคนได้ยินคำหวานกลับกลายเป็นคำขม ผมเลยบอกคุณไม่ได้ว่าเสียงที่ได้ยินดังยังไง แต่บอกได้ว่าเคยได้ยินเสียงทำนองนี้ แม้จะไม่เหมือนเปี๊ยบ เสียงที่ผมเคยได้ยินเกิดขึ้นที่ป่าบาลา สมัยไปเฝ้าดูนกเงือก หนนี้ได้ยินแว่วมาจากหน้าผา แปลว่าน่าจะมีนกเงือก ผมเลยเดินย้อนกลับไปที่จุดชมวิว ยืนส่องกล้องแถวนั้น นายตี๋เดินมาเยาะเย้ยว่ารอนกเงือกหรือครับ?

ผมบอกตี๋ว่าได้ยินเสียง ตี๋ก็ไม่ยอมเชื่อ จนเมื่อต้นไม้สั่นไหว ผมมองเห็นนกตัวใหญ่สีดำหางขาวชัดแจ๋ว บินผ่านกิ่งไม้ที่จับตาอยู่แวบหนึ่ง ตี๋ไม่เชื่อก็เรื่องของตี๋ ผมแน่ใจแล้วว่าตรงนั้นมีนกเงือก กล้องในมือถูกยกขึ้นพร้อมๆ กับนกตัวใหญ่สองตัวบินออกมาจากต้นไม้ เมื่อวานเห็นชัดแค่ไหน วันนี้คูณด้วยร้อย นกเงือกทั้งคู่คือนายและนางคอแดงคู่เก่า ใหญ่มากสีสวยมาก ประสบการณ์ครั้งนั้นสุดบรรยาย น่าเสียดายที่มีผม ตี๋ และพี่เล็กเห็นกันอยู่สามคน ส่วนคนอื่นยังไม่ได้เดินออกมาจากห้องพัก เพราะยังเช้าอยู่มากหรือไม่ก็เพราะบุญไม่ถึง ฮ่าๆๆ 
ตลอดทั้งวันจนถึงยามบ่าย พวกเราเฝ้าดูนกอื่น แม้ไม่ได้เห็นนกเงือกคอแดงอีกเลย แต่นกที่พบทั้งหมด ๕๓ ชนิดล้วนติดตาติดใจ จะสวยงามแค่ไหนต้องเชิญให้คุณๆ ไปชมเอง

บทสรุปของช่องเย็น อย่าถามว่าผมจะกลับไปอีกไหม ต้องเปลี่ยนเป็นจะกลับไปเมื่อไหร่? เพราะผมติดอกติดใจที่นั่นมาก ชอบกว่าแก่งกระจานหลายเท่า อาจเป็นเพราะผมโชคดีไปตอนที่ไม่มีคนอื่น เลยมีโอกาสชื่นชมธรรมชาติสมใจอยาก ลองถามพี่เจ้าหน้าที่ เค้าบอกว่าถ้าเป็นหน้าหนาวในช่วงเทศกาล สนามหญ้าไม่พอกางเต็นท์ ต้องลงไปกางข้างล่างแน่ะ

หากคุณๆ สนใจไปช่องเย็น ผมสรุปให้อีกครั้ง ที่นี่บรรยากาศแจ่มมาก แต่เที่ยวตอนหน้าฝนควรโทรไปถามสภาพอากาศด้วย เมื่อถามแล้วควรติดต่อบ้านพักจากกรมป่าไม้ให้เรียบร้อย การกางเต็นท์ช่วงหน้าฝนอาจไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากฝนตกกลางคืนเกือบทุกคืน และไม่ใช่ตกเบาๆ แต่เป็นระดับลมพัดหวีดหวิว เช็คพาหนะสักนิด ถ้าเป็นรถเก๋งผมไม่แนะนำ รถกระบะสะดวกกว่า (รถตู้ที่มากับคณะ คนขับสั่นพั่บๆๆ ตลอดทาง ผมถึงไม่นั่งไงครับ) เตรียมอุปกรณ์มาทำอาหารทุกอย่าง เตรียมไฟฉายเสื้อหนาว อากาศประมาณ ๑๐-๑๕ องศากำลังดี ถ้ามาในช่วงหน้าหนาว หลีกหนีช่วงเทศกาล อย่าพยายามมาเป็นเด็ดขาด ควรเลือกมาวันธรรมดา ลางานสักสองวันสุขกายสบายใจกว่าเยอะ

คนที่ชอบเที่ยวโน่นนี่ ไม่สนใจการดูนกหรือดูป่า ทำใจไว้นิด ช่องเย็นไม่มีถ้ำ มีน้ำตกแต่อยู่ไกลมากและไม่ได้สวยเลิศเลอ แต่ถ้าอยากมานอนอยู่ในบรรยากาศป่าที่ผิดจากป่าไทยทั้งหลาย ได้เห็นนกเงือกก็ดี ไม่เห็นก็ไม่เป็นไร นอนบ้างเดินเล่นบ้างแค่นั้นก็พอแล้ว ช่องเย็นเหมาะกับคุณครับ
...
ว่าแต่...อีกไม่นาน จะมีอะไรเหลือที่ช่องเย็น
เขื่อนแม่วงก์กำลังจะถูกสร้าง ป่านับหมื่นไร่จะหายไป
นกกี่ตัว สัตว์กี่ตัว
เคราะห์ดีที่ผมเคยไปช่องเย็น เคยเห็นแม่วงก์
เคราะห์ร้ายที่ผมยังมีความทรงจำถึงที่นั่น
เมื่อคิดถึงแล้ว ใจจะขาด
หากแลกป่า กับความเดือดร้อนจากคนโดนน้ำท่วมหลายล้าน
อาจชั่งใจคิด
แต่จริงหรือที่เป็นเช่นนั้น
เมืองไทยมีกี่เขื่อนแล้ว ???
เรากำลังจะเสียป่าไป
เพื่ออะไร...??? 
ผมคัดค้านเขื่อนแม่วงก์
ผมคัดค้านการนำภาษีของผมไปฆ่านกเงือกคอแดง !

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net