อภิสิทธิ์ถาม "พล.อ.สนธิ" ตระหนักหรือไม่กำลังสร้างวิกฤติชาติรอบสอง

แนะอยากปรองดองต้องไม่ใช่วิธีลงมติในสภา แต่ต้องค่อยๆ คุยกันด้วยเหตุผล ชี้ถ้า พล.อ.สนธิ ไม่ยอมถอนรายงาน จะเป็นตัวฟ้องว่ากำลังทำงานรับใช้ใคร ยันไม่ได้มีเป้าหมายล้มรัฐบาล แต่ต้องการให้บ้านเมืองเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง ยอมรับไม่เหมือน "จตุพร" ชวนคนมาสร้างความวุ่นวายในบ้านเมืองเพราะต้องการล้มรัฐบาล

มาร์คชี้อยากปรองดองต้องไม่ใช่วิธีลงมติ แต่ต้องค่อยๆ คุยกันด้วยเหตุผล

เว็บไซค์พรรคประชาธิปัตย์รายงานว่า วันนี้ (30 มี.ค. 55) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ในรายการฟ้าวันใหม่ ทาง Blue Sky Channel โดยตอนหนึ่งนายอภิสิทธิ์ตอบคำถามเรื่องความพยายามในการแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญโดยผู้ดำเนินรายการถามนายอภิสิทธิ์ว่าเป็นเรื่องเดียวกันกับปรองดองหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ระบุว่า เป็นเรื่องแปลกที่เมื่อวันพุธที่ผ่านมามีการลงมติในคณะกรรมาธิการแต่ปรากฏว่าฝ่ายรัฐบาลลงมติแพ้ ต่อมารัฐบาลจึงจัดให้มีการลงมติกันใหม่

“สมัยยุคหลัง ๆ นี่เขาเรียกว่าคนละเรื่องเดียวกัน ประเด็นก็คือว่า โดยประเพณีนั้นกรรมาธิการก็ทำงานของกรรมาธิการไป ทีนี้มันก็เป็นเรื่องซึ่งแปลกว่า เมื่อวันพุธเราก็ได้ข่าวว่ามีการลงมติในคณะกรรมาธิการ แล้วก็มีการพูดกันว่า ปรากฏว่าทางฝ่ายรัฐบาล เกิดแพ้เรื่องการลงมติ แพ้ไป 10 : 12 เสียง ก็เลยทำให้มีการแก้ไขร่างที่รัฐบาลเสนอเข้ามา ปกติแล้วมันก็จบอยู่แค่นั้น แล้วคณะกรรมาธิการก็ต้องทำงานต่อ แต่เมื่อวานนี้สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ พอรัฐบาลแพ้ ก็เลยหาทางบอกโหวตใหม่ เพื่อให้รัฐบาลชนะ สรุปแล้ว ผมก็เลย งง ว่าตกลงแล้วจะทำงานกันยังไง ต่อไปนี้ก็คงไม่ต้องทำอะไรแล้วมั๊งครับ ทั้งกรรมาธิการ ทั้งสภา เหมือนกับที่เราเห็นเมื่อวันอังคารด้วย คือเมื่อไหร่ที่รัฐบาลแพ้ หรือทำไม่ถูกต้องอะไรก็ไม่เป็นไร ก็เอาจนได้ พูดง่ายๆ อันนี้เป็นเรื่องน่าห่วงครับ เพราะว่าถ้าเราเป็นนักประชาธิปไตยเราก็ต้องยอมรับสิ่งเหล่านี้ ก็มันจบไปแล้วก็คือจบไปแล้ว”

นายอภิสิทธิ์มองว่า หากต้องการจะปรองดองแล้ว ไม่ควรใช้วิธีการแบบนี้ แต่ควรต้องค่อย ๆ พูดกันในเหตุและผล แล้วว่ากันไปตามกติกา ไม่ใช่ลงมติแล้วไม่เป็นไปตามความต้องการแล้วทำใหม่จนกว่าตัวเองจะชนะ

“ก็นี่แหละครับ คือสิ่งที่เขาเตือนกันไว้ว่า ถ้าอยากจะปรองดองกัน มันต้องไม่ใช้วิธีกันแบบนี้ มันต้องค่อย ๆ คุยกันว่าเรื่องไหน เหตุผลเป็นยังไงแล้วก็ว่ากันไปตามกติกา แต่ว่าถ้าหากว่าใช้วิธีว่าในที่สุดแล้วจะเอาอย่างที่ต้องการ มันก็ไม่ใช่กระบวนการประชาธิปไตยหรอกครับ คือเอากันจนผลเป็นที่ต้องการ ก็จะเห็นอาการนี้อยู่หลาย ๆ อย่างนะครับ เหมือนคดีต่าง ๆ ในศาล นึกออกไม๊ครับ ถ้าตัดสินแล้วตัวเองชนะ ก็บอกว่าไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ว่าพอบอกว่าตัวเองแพ้ ก็เป็นสองมาตรฐานบ้างอะไรบ้าง แล้วก็จะบอกว่าต้องทำใหม่จนตัวเองชนะเอาอย่างนี้ ผมว่าถ้ามันเป็นในลักษณะอย่างนี้ก็น่าเป็นห่วงมากนะครับว่า สุดท้ายแล้วบ้านเมืองก็ไม่ได้มีกติกาประชาธิปไตยจริง แล้วก็กลายเป็นว่าทุกอย่างก็ต้องเป็นไปตามความต้องการของเสียงข้างมาก ก็น่าห่วง เพราะว่านายกฯ เองตอนนี้ย้ำอย่างเดียวว่าทุกอย่างนั้นให้ไปจบที่สภา ให้ไปยุติที่สภา แต่ว่ายุติที่สภาถ้าเกิดทำกันแบบนี้ก็คือยุติที่ความต้องการของรัฐบาล เพราะว่าสภาเขาทำงานตามปกติก็ไม่ได้แล้ว ก็ไม่ทำตามปกติกันแล้ว”

 

อัด "พล.อ.สนธิ" ตระหนักหรือไม่กำลังสร้างวิกฤตชาติรอบสอง

ต่อคำถามที่ว่าเมื่อพล.อ.สนธิ ระบุไม่ถอนรายงานของกรรมาธิการแล้วในวันที่ 4 เมย.จะเป็นอย่างไรต่อไปนั้น นายอภิสิทธิ์ได้ตั้งคำถามถึง พล.อ.สนธิ 2 ข้อคือ 1. พล.อ.สนธิ ตระหนักหรือไม่ว่ากำลังจะกลายเป็นบุคคลที่สร้างวิกฤติให้กับชาติรอบ 2 และข้อ 2. พล.อ.สนธิจะเป็นตัวอย่างที่ดีในการปรองดองอย่างไร

“ก็คงเป็นอย่างที่รัฐสภาเป็นเมื่อวันอังคารมั๊งครับ ก็คงมีความพยายามที่จะรวบรัดตัดตอนทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ต้องย้ำไปถึงพล.อ.สนธินะครับ ท่านเองความจริงก็ถูกกล่าวหา ต่อว่ามากมาย จากการที่เป็นผู้นำการรัฐประหารที่บางฝ่ายเขาก็พูดมาตลอดว่าปัญหาบ้านเมืองเกิดจากตรงนั้น ซึ่งท่านก็พยายามชี้แจงว่า มันไม่ใช่ มันเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น อะไรต่าง ๆ แต่ว่า สุดท้ายวันนี้ท่านกำลังบอกว่า ถ้าท่านเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา ท่านจะมาร่วมแก้ไข แต่ท่านกำลังสร้างปมปัญหาใหม่ขึ้นมา

ผมยืนยันเลยนะครับว่า การที่ขณะนี้มีความพยายามในการที่จะผลักดันโดยอาศัยคำว่าปรองดองบังหน้า เพื่อนำไปสู่การนิรโทษกรรม หรือล้างผิดในคดีทุจริต มันไม่ใช่การปรองดอง แล้วก็จะทำให้เกิดความขัดแย้ง แล้วการเกิดความขัดแย้งรอบใหม่นี้ หลายคนก็เตือนนะครับ พล.ต.สนั่น ใครต่อใครก็เตือนว่ามันจะรุนแรง พล.อ.สนธิทราบแล้ว และก็ทราบด้วยว่า การเพิ่มชนวนความรุนแรงก็มาจากการทำหน้าที่ของท่านในฐานะประธานกรรมาธิการซึ่งอยู่ดี ๆ ก็รวบรัด เซ็นรายงานซึ่งคณะกรรมาธิการเขายังไม่ได้ลงมติเห็นชอบเข้ามาสู่การพิจารณา แล้วก็พยายามรวบรัดทุกอย่าง ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้เลย

ผมก็ไม่แน่ใจว่า 1. พล.อ.สนธิ ตระหนักบ้างไม๊ว่ากำลังจะกลายเป็นบุคคลซึ่งคนจะบอกว่าสร้างวิกฤติให้กับชาติ 2 รอบ กับ 2. ที่ท่านพูดมาตลอดว่า ท่านอยากจะปรองดองนั้น ตรงไหนล่ะครับที่ท่านจะแสดงให้เห็นว่าท่านจะเริ่มต้นทำตัวเป็นแบบอย่างของการปรองดองว่า ฟังเสียงข้างมากข้างน้อย ฟังเสียงรอบด้านแล้วก็แสวงหาจุดร่วมก่อน ไม่ใช่ผลักดันทุกอย่างไปให้ตามธงที่ไม่ทราบใครกำหนดมา แล้วก็บอกว่าต้องจบกันทุกคนต้องทำตามนี้เท่านั้น เพราะฉะนั้นตรงนี้มีความสำคัญมากที่ผมคิดว่าท่านพล.อ.สนธิ จำเป็นที่จะต้องแสดงความรับผิดชอบตรงนี้อย่างชัดเจน แล้วก็ในส่วนของฝ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเช่นทางคณะผู้วิจัยดูเหมือนเขาก็เริ่มที่จะแสดงความไม่สบายใจแล้วเหมือนกัน เพราะถ้ารายงานการวิจัยถูกบิดเบือนไปใช้ไปในทางที่ไม่ถูก ก็จะยิ่งเป็นปัญหามากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นตรงนี้ครับที่ผมคิดว่า ทุกฝ่ายก็กำลังจับตาดูอยู่ว่า อยากจะเดินกันไปอย่างนี้หรือไม่อย่างไร”

 

ลั่นถ้าไม่ยอมถอนรายงาน จะเป็นตัวฟ้องว่า "พล.อ.สนธิ" ทำงานรับใช้ใคร

ผู้ดำเนินรายการสอบถามต่อว่า หากวันที่ 3 เม.ย. มีมติให้ถอนรายงานการวิจัยจากคณะกรรมาธิการวิสามัญ แล้วประธานกรรมาธิการ พล.อ.สนธิ ประกาศเดินหน้าต่อได้หรือไม่ แล้วความชอบธรรมจะเป็นอย่างไรนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า วันนั้นจะเป็นตัวฟ้องว่า พล.อ.สนธิ ทำงานรับใช้ใคร

“ได้กับชอบธรรม ก็ไม่เหมือนกันนะครับ คือ พล.อ.สนธิทำอย่างไร วันนั้นจะเป็นตัวฟ้องเลยว่าตกลงแล้ว พล.อ.สนธิ ทำงานรับใช้ใคร แต่ว่าเราก็คงจะต้องติดตามว่าจะเป็นอย่างนั้นหรือไม่ ผมย้ำอีกครั้งนะครับ วันนี้ฝ่ายที่ออกมาตำหนิติติงการพยายามที่จะบิดเบือนกระบวนการนี้มันไม่ใช่ประชาธิปัตย์นะครับ มันมีหลายฝ่าย คนที่เขาต้องการเห็นนิติธรรม นิติรัฐ เขาอยากจะเห็นความปรองดอง แต่ไม่ใช่เอาคำว่าปรองดองมาบังหน้าล้างความผิดคดีทุจริต แล้วก็ที่สำคัญผู้ที่ได้รับผลกระทบไม่ว่าจะเป็นในส่วนของฝ่ายเจ้าหน้าที่ หรือฝ่ายผู้ชุมนุมเสื้อแดง ครอบครัวเขาก็เรียกร้องว่านี่ไม่ใช่แนวทางที่เขาต้องการ ทำไมวันนี้พรรคเพื่อไทย ทำไมวันนี้แกนนำเสื้อแดงเปลี่ยนไปแล้วล่ะครับ เดิมบอกว่าจะดูแลคนเหล่านี้ วันนี้สิ่งที่คนเหล่านี้เขาต้องการ แล้วความจริงส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่าแกนนำเสื้อแดงพรรคเพื่อไทยไปบอกเขาเองว่าต้องเรียกร้องอย่างนี้ วันนี้บอกไม่ต้องเรียกร้องแล้วเพียงเพราะว่ากำลังจะล้างคดีความผิดของคุณทักษิณ”

ต่อคำถามว่าถ้ามีการออกเป็น พ.ร.บ.ปรองดอง หรือ พ.ร.ก. นิรโทษกรรม ออกมา หากมีการตัดสินด้วยเสียงข้างมากในสภา ซึ่งก็คงจะผ่านกฎหมายได้ แต่การผ่านออกมาในลักษณะที่สังคมไม่มีความยอมรับนั้น บ้านเมืองจะเรียบร้อยได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนยังมองไม่เห็นว่า การออกกฎหมายแบบนั้นแล้วบ้านเมืองจะเรียบร้อยได้อย่างไร เพราะหากออกเป็น พรก. ก็เท่ากับเป็นความพยายามรวบอำนาจกลับไปสู่ฝ่ายบริหาร และหากออกเป็น พรบ. ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องใช้เสียงข้างมากในสภาผลักดัน พรบ. นี้ออกมา ซึ่งเป็นไปตามที่สถาบันพระปกเกล้าและทุกฝ่ายเคยเตือนไว้แล้วว่าจะทำให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย

“ผมยังมองไม่เห็นว่า ทำไมการออกกฎหมายแบบนั้นมาแล้วบ้านเมืองจะเรียบร้อย ถามว่าถ้าออกมาแล้วสิ่งที่ไม่เรียบร้อยนั้นจะหายไปหรือไม่ แล้วถ้าออกมาแล้วความไม่เรียบร้อยใหม่ที่จะเกิดขึ้นนั้นอะไรจะรุนแรงกว่ากัน ผมว่าเราก็ดูกันออก วันนี้ความไม่เรียบร้อยก็มีอยู่บ้าง แต่ว่ามันมีกระบวนการที่กำลังจะหาคำตอบตรงนี้อยู่ แต่ว่าถ้าบอกว่าจะล้างความผิดในการทุจริตให้คน ผมว่าคนจำนวนมากเขาบอกเขาก็ยอมไม่ได้ แล้วยิ่งถ้าไปบอกว่าต่อไปนี้เรารับรองแล้วนะว่า อะไรที่เป็นการต่อสู้ มีความคิด มีอุดมการณ์ทางการเมืองเราใช้วิธีการอะไรก็ได้ มันจะไม่เป็นเหมือนคดีอาญา แล้วมันจะวุ่นวายไม๊ล่ะครับ เพราะฉะนั้นผมว่าตรงนี้ถ้าออกเป็น พรก. ก็ยิ่งยุ่งครับ เพราะว่านั่นเป็นการพยายามที่จะรวบอำนาจกลับไปสู่ฝ่ายบริหาร แล้วก็จะต้องโต้แย้งกันอีกว่าเป็นไปตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ ถึงออกเป็น พรบ. ก็หนีไม่พ้นหรอกครับ สิ่งที่ทางสถาบันพระปกเกล้าและทุกฝ่ายเขาเตือนกันไว้ว่า ไม่ใช่เอาเสียงข้างมากมาทำตรงนี้นะ เพราะฉะนั้นผมยังมองไม่เห็นว่ามันจะเรียบร้อยได้อย่างไร มีแต่ว่าจะทำให้เกิดความวุ่นวายมากขึ้น”

 

ชี้การขยายสมัยประชุมหวังเอื้อเรื่องแก้ไข รธน.

เมื่อถามว่าการขยายสมัยประชุมไปถึง 30 พ.ค. เป็นการส่งสัญญาณอะไรบ้างนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า การขยายสมัยประชุมนั้นเพื่อเอื้อต่อเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่จะต้องทำให้เสร็จภายในสมัยประชุมนี้

“ผมทราบมาว่ามันเป็นเรื่องที่ผูกอยู่กับเรื่องของรัฐธรรมนูญ คือทางรัฐบาลต้องการที่จะให้รัฐธรรมนูญนั้นผ่านสภาในสมัยประชุมนี้ ทีนี้ขณะนี้เราก็มาถึงวันที่ 30 – 31 – 1 นับไปนะครับ คือสภานั้นปิดวันที่ 18 ถ้านับไปอย่างนี้ มันไม่มีทางทัน เพราะว่าถึงแม้เข้าวาระที่ 2 อาทิตย์หน้า เอาแบบสุดโต่งเลยให้เร็วสุดเลย พอพิจารณาวาระ 2 เสร็จ ก็ยังต้องไปเว้นอีก 15 วันตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ก็เว้นไปอีก 15 วันไปเข้าวาระ 3 มันก็ไม่ทันสมัยประชุมแล้วครับ เพราะฉะนั้นก็ต้องขยายสมัยประชุมไป”

ส่วนคำถามที่ว่าอะไรทำให้รัฐบาลเชื่อมั่นในการออก พ.ร.ก.นิรโทษกรรมได้ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า การใช้เสียงข้างมากในสภา และจากสิ่งที่รัฐบาลได้ทำให้เห็นแล้วในหลายกรณี สิ่งเหล่านี้ทำให้รัฐบาลเชื่อมั่นว่าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ

“ก็คือการมีเสียงข้างมากไงครับ แล้วก็ทำให้เห็นแล้วในหลายกรณี อย่างเช่นทำงานในกรรมาธิการ วันไหนเสียงเกิดแพ้ขึ้นมา ไม่เป็นไรครับ ตั้งหลักกันใหม่ มารบกันใหม่ได้ ไม่มีการประชุมก็อาศัยเครื่องมือคนนั้นคนนี้บอกว่ารวบรัดเสร็จขั้นตอนนี้แล้ว เข้าสู่สภาจะอภิปรายก็ปิดอภิปราย อภิปรายตอบคำถามไม่ได้ประธานก็ปิดไมค์ คือนี่แหละครับคือสิ่งที่ทำให้เป็นความเชื่อมั่นของเขาว่าจะได้สิ่งที่ต้องการ”

 

ลั่นไม่ได้มีเป้าหมายล้มรัฐบาล ไม่เหมือนจตุพรชวนคนไปสร้างความวุ่นวาย

ส่วนการที่นายจตุพร ระบุว่าน้ำหน้าอย่างประชาธิปัตย์ไม่มีทางที่จะล้มรัฐบาลนี้ได้นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนไม่ได้มีเป้าหมายล้มรัฐบาล แต่มีเป้าหมายให้บ้านเมืองเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง และยอมรับว่าตนไม่มีน้ำหน้าอย่างนายจตุพรที่ชวนคนมาสร้างความวุ่นวายเพราะต้องการล้มรัฐบาล

“ผมไม่ได้มีเป้าหมายล้มรัฐบาลนะครับ ผมมีเป้าหมายให้บ้านเมืองเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง ผมยอมรับครับว่าผมไม่มีน้ำหน้าอย่างคุณจตุพรหรอกครับที่จะไปชวนคนมาสร้างความวุ่นวายในบ้านเมืองเพราะต้องการล้มรัฐบาล ขอให้รัฐบาลอยู่ในสิ่งที่ถูกที่ต้อง ทำหน้าที่บริหารประเทศไป นโยบายเห็นด้วยกันบ้าง ไม่เห็นด้วยกันบ้างก็ว่าไปตามกระบวนการประชาธิปไตยครับ”

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท