มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ หรือที่คนทั่วไปรู้จักกันในชื่อ ม.นอกระบบฯ เปรียบเหมือนไวรัสร้ายที่บ่มเพาะตัวในยุคของรัฐบาลซึ่งมาจากคณะรัฐประหาร (คมช.) นั้น บัดนี้เริ่มเติบโตแพร่ระบาดสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติ จนน่าเป็นห่วงว่าหากรู้ไม่ทัน ไม่กำจัดและป้องกันอย่างจริงจังจะลุกลามต่อไปจนเสียหายเกินแก้ จึงขอให้ข้อมูลเชิงประจักษ์แก่ทุกท่านอันอาจช่วยสร้างภูมิคุ้มกันได้บ้าง ดังนี้
1. ที่มาไม่ถูกต้องเพราะผลประโยชน์ทับซ้อน/วาระซ่อนเร้น
สภา/กรรมการสภามหาวิทยาลัย นับตั้งแต่ “นายกฯ เขายายเที่ยง” พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายวิจิตร ศรีสอ้าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ผู้ดำรงตำแหน่งซ้ำซ้อนมากมายคือโต้โผใหญ่ผลักดันมาตั้งแต่ต้น และเมื่อมาดำรงตำแหน่ง รมว.ศธ. จึงผลักดันเรื่องนี้เข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติทันที นายมีชัย ฤชุพันธุ์ประธานสภานิติบัญญัติเองก็มีตำแหน่งในสภามหาวิทยาลัยร่วม 10 แห่ง อธิการบดีแทบทุกมหาวิทยาลัยก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ ล้วนเป็นผู้มีประโยชน์ทับซ้อนซ่อนเร้น จึงร่วมกันเร่งผลักดันพรบ. มหาวิทยาลัยนอกระบบฯ ไปได้หลายมหาวิทยาลัย ทั้ง ๆ ที่ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปี 2540 และปี 2550 คือองค์ประชุมไม่ถึงกึ่งหนึ่งของสมาชิกสภาฯ ที่มีอยู่ (ขณะนี้คณะกรรมการปรับปรุงและพัฒนากฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันซึ่งมีนายประสบ บุษราคัม เป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติยกเลิก พรบ.ที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติตราออกใช้โดยไม่ชอบเหล่านี้ จำนวน 191 ฉบับ)
2. ผลกระทบ
วิชาการบังหน้านั้นได้ส่งผลร้ายต่อหน่วยงาน ระบบราชการ ข้าราชการและประชาชนจำนวนมาก ที่ร้ายไปกว่านั้นคือผู้คนส่วนใหญ่มักไม่มีโอกาสหรือช่องทางรับรู้ความจริงอันเลวร้ายของมันได้เท่าที่ควร เช่น
- การเพิ่มภาระเงินงบประมาณของประเทศโดยไม่จำเป็น ทันทีที่มหาวิทยาลัยออกนอกระบบฯ
ข้าราชการซึ่งส่วนใหญ่ดำรงตำแหน่งผู้บริหารในมหาวิทยาลัยซึ่งเปลี่ยนเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยจะได้รับเงินเดือนเพิ่มเกือบเท่าตัว โดยอ้างว่าเพื่อชดเชยการเสียสิทธิจากการเป็นข้าราชการ แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนเหล่านี้ยังคงเป็นข้าราชการบำนาญ ได้รับเบี้ยหวัด และสิทธิทางสวัสดิการสำหรับตนและครอบครัว ได้เช่นเดิม จึงดูไร้เหตุผลว่าทำไมจึงต้องจ้างคนเดิม ความรู้ความสามารถ สติปัญญาและคุณธรรมเท่าเดิมโดยใช้เงินมากขึ้น
- การเพิ่มภาระทางการเงินของนิสิตนักศึกษาและผู้ปกครอง นอกจากเงินงบประมาณจากรัฐแล้ว
มหาวิทยาลัยนอกระบบฯ ทุกแห่งยังจะต้องหาเงินมาเลี้ยงตัวเองให้เพียงพอกับรายจ่ายที่เพิ่มมากขึ้น เพราะบรรดาผู้บริหารมหาวิทยาลัยทุกระดับล้วนได้ปรับเงินค่าตอบแทนตำแหน่งบริหารตามสูตรสารพัดที่จะคิดกันขึ้นมาได้ และเรื่องตลกที่ขำไม่ออกก็คือเงินเดือนและค่าตอบแทนเหล่านี้มีการออกระเบียบว่าเป็นความลับ ผู้ใดเปิดเผยถือว่ากระทำผิดวินัยขั้นร้ายแรง ว่ากันว่า ผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีจะได้รับเงินแต่ละเดือนมากกว่าเงินเดือนนายกรัฐมนตรีเสียอีก จึงเป็นที่มาของการขึ้นค่าเรียนและค่าธรรมเนียมทุกประเภท บางมหาวิทยาลัยก็เลี่ยงไปขึ้นราคาทางอ้อมไม่ให้รู้ตัวโดยเก็บค่าเรียนแบบเหมาจ่าย ซึ่งผู้ที่รับกรรมไปเต็ม ๆ ก็คือผู้ปกครองและบุตรหลานตาดำ ๆ นั่นเอง
- การสร้างสังคมธุรกิจการศึกษาลดคุณค่าปริญญา เมื่อมหาวิทยาลัยต้องใช้เงินมากขึ้น การขึ้น
ราคาเพียงอย่างเดียวอาจไม่พอเพียง จึงต้องแข่งขันกันแย่งลูกค้า ขยายอาณาเขตเปิดสอนไปทั่วทั้งในเมืองชนบท เละเทะกันถึงขนาดไปกว้านหาลูกค้ากันไปถึงประเทศด้อยพัฒนารอบข้าง รับไม่อั้น โดยไม่คำนึงถึงคุณภาพ ดังที่มีสมาคมวิชาชีพบางแห่งออกมาประกาศไม่รับรองมาตรฐานบางคณะ บางสาขาวิชา เล่นเอาหน้าแตกต้องขายผ้าเอาหน้ารอด แก้ตัวกันจ้าละหวั่น น่าเป็นห่วงอนาคตของประเทศที่อุดมไปด้วยบัณฑิตด้อยคุณภาพ ถ้ายังปล่อยให้ทำธุรกิจการศึกษากันแบบนี้
- การทำลายทรัพยากรบุคคล ไม่น่าเชื่อว่าอาจารย์พนักงานมหาวิทยาลัยนอกระบบฯ ทุกวันนี้มี
สภาพไม่ต่างอะไรกับลูกจ้างที่ต้องคอยพะวงกับการต่อสัญญาจ้าง ต้องยำเกรงไม่ขัดใจนายจ้าง และอาจจะแย่กว่าด้วยซ้ำตรงที่พรบ.มหาวิทยาลัยนอกระบบฯ กำหนดให้ไม่มีสหภาพพนักงานเพื่อปกป้องเรียกร้องสิทธิให้พนักงาน นอกจากนี้มหาวิทยาลัยนอกระบบฯ เกือบทุกแห่งยังกีดกันห้ามข้าราชการเป็นผู้บริหาร แม้ว่าจะมีความรู้ ความสามารถและประสบการณ์เพียงใดก็ตาม จึงปรากฏว่าหลายคณะ หลายภาควิชาต้องเอาพนักงานที่ด้อยทั้งคุณวุฒิ ความสามารถและประสบการณ์มาบริหาร ซึ่งดูจะเป็นที่พึงพอใจของผู้บริหารระดับสูง อาจเป็นเพราะอ่อนน้อม เชื่อฟัง ยำเกรง ต่างกับข้าราชการซึ่งไม่สามารถทำกับเขาตามอำเภอใจได้ เพราะมีกฎหมายข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัยกำกับอยู่
- การทำลายระบบคุณธรรม ดังคำกล่าวที่ว่า “ชนชั้นใดออกกฎหมาย ย่อมเป็นไปเพื่อชนชั้น
นั้น” มหาวิทยาลัยนอกระบบฯ ทุกวันนี้จึงมีกฎระเบียบแปลก ๆ ออกมา เช่น การตั้งคณะหรือหน่วยงานใหม่ ๆ แปลก ๆ ที่ไม่จำเป็น เพียงเพื่อให้มีตำแหน่งเป็นบำเหน็จรองรับพวกพ้อง และเพื่อให้มีสิทธิมายกมือเลือกกันเองในตำแหน่งต่าง ๆ เข้าทำนองแบบ“สภาเกาหลัง” การก้าวกระโดดไปรับเงินเดือนสูงกว่าเดิมของผู้บริหารที่มาจากอาจารย์ซึ่งไม่มีตำแหน่งทางวิชาการ การได้รับเงินเดือนในระดับสูงต่อเนื่องแม้เมื่อพ้นตำแหน่งผู้บริหารและกลับมาอยู่ในสายวิชาการ รวมทั้งการให้ได้รับเงินค่าตอบแทนตำแหน่งทางวิชาการ(เดิมผู้บริหารต้องเลือกรับค่าตอบแทนตำแหน่งบริหารหรือวิชาการเพียงอย่างเดียว จึงกำหนดค่าตอบแทนผู้บริหารไว้สูง) ควบกับค่าตอบแทนตำแหน่งบริหาร โดยงดเว้นไม่ต้องทำภาระงานวิชาการ(ตรงนี้สตง.ควรสนใจเข้ามาตรวจสอบบ้างเพราะน่าจะผิดกฎหมายเรื่องเงินประจำตำแหน่งซึ่งให้เฉพาะผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น) นี่ยังไม่รวมถึงการออกกฎ/ระเบียบกีดกัน เลือกปฏิบัติกับข้าราชการอีกหลายเรื่อง
- การทำลายสังคมไทย มหาวิทยาลัยนอกระบบฯ จะกีดกันคนชั้นกลางและคนยากไร้ ให้ด้อย
โอกาสเข้าเรียนระดับอุดมศึกษา ทุนนิยมจะครอบงำการผลิตบัณฑิต อนาคตของชาติจะมีแต่บัณฑิตที่มาจากครอบครัวร่ำรวย มีเงิน จ่ายแพง รีบจบเพื่อมาถอนทุน ไม่มีเวลาคิดถึงส่วนรวม ลูกศิษย์คือลูกค้า ครูอาจารย์จะกลายเป็นผู้รับจ้างสอน ไม่มีความรักความผูกพันฉันท์ศิษย์กับครู บทบาทของมหาวิทยาลัยในการชี้นำสิ่งที่ถูกต้องแก่สังคม เช่น ยุค 14 ตุลาฯ ก็จะเลือนหาย
3. แนวทางแก้ไข
แต่ถ้าไม่เริ่มวันนี้ก็จะยิ่งแก้ยากยิ่งขึ้น เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ได้รับเลือกมาด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น ผู้นำรัฐบาลต้องมีสติรู้เท่าทันไม่หลงไปกับวาทกรรมสวยหรูที่ลวงให้เข้าใจว่า การออกนอกระบบจะเกิดผลดีต่ออุดมศึกษาและประเทศไทย ต้องเริ่มต้นแก้ไขกฎหมายเพื่อประชาชนก่อนทำเพื่อคนในครอบครัว และต้องให้สัญญาณไฟแดงกับสารพัดมหาวิทยาลัยที่ผู้บริหารเห็นเขาบริโภคกันจนอิ่มแปล้ก็เริ่มลูบท้องร้องจะออกนอกระบบบ้าง เช่น บางมหาวิทยาลัย ที่ไม่มีปัญญาแก้ปัญหาอาจารย์ลวนลามนิสิต ตัดเกรดตามความสวย ดังที่เป็นข่าว จงสำรวจตัวเองก่อนว่าบริหารงานแบบนี้ ยังมีหน้าอยากจะออกนอกระบบกับเขาด้วย เรื่องนี้ขอจบด้วยคำว่า “ม.นอกระบบฯ จุดจบของชาติ ตัดโอกาสคนจน”
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)