Skip to main content
sharethis

โครงการเหมืองแร่โปแตช จ.อุดรธานี เดินหน้าต่อเนื่อง กพร.ปิดประกาศเขตพื้นที่คำขอประทานบัตร ของบริษัท เอพีพีซี ด้านชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี ล่ารายชื่อค้าน 5,765 ชื่อ ยื่นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สถานการณ์การผลักดันโครงการเหมืองแร่โปแตช จ.อุดรธานี ล่าสุด กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ หรือ กพร.ได้ปิดประกาศเขตพื้นที่คำขอประทานบัตรดำเนินโครงการฯ ของบริษัทเอเชีย แปซิฟิค โปแตช คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ เอพีพีซี ซึ่งมีทั้งหมด 4 แปลง กินเนื้อที่กว่า 26,446 ไร่ ในพื้นที่ 5 ตำบล 2 อำเภอ ได้แก่ ต.หนองขอนกว้าง ต.โนนสูง ต.หนองไผ่ อ.เมือง ต.นาม่วง และต.ห้วยสามพาด อ.ประจักษ์ศิลปาคม จ.อุดรธานี ทำให้ชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี ต้องออกมาทำการล่ารายชื่อเพื่อคัดค้านการประกาศเขตคำขอประทานบัตรดังกล่าว เริ่มตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.ต่อเนื่องมา ปรากฏว่ามี ผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินอยู่ในขอบเขตคำขอประทานบัตร ร่วมลงชื่อจำนวน 1,580 แปลง และผู้มีส่วนได้เสียในพื้นที่โครงการฯ ร่วมลงชื่อคัดค้านทั้งหมด 5,765 คน เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.54 กลุ่มอนุรักษ์ฯ ประมาณ 200 คน ได้นำรายชื่อทั้งหมดไปยื่นต่อ อุตสาหกรรมจังหวัดอุดรธานี และส่งไปยังหน่วยงานราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ กพร. อบต.และผู้ว่าราชการ ฯลฯ ทั้งนี้ เป็นการยื่นคัดค้านตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยแร่ ปี พ.ศ.2510 ในมาตรา 49 ที่ระบุให้มีการโต้แย้งได้ตามขั้นตอน เมื่อมีการปิดประกาศเขตเหมืองแร่ เป็นระยะเวลา 20 วัน นางมณี บุญรอด กรรมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี ต.ห้วยสามพาด กล่าวถึงการล่ารายชื่อครั้งนี้ว่า กลุ่มชาวบ้านได้เริ่มร่วมกันลงชื่อคัดค้านโครงการเหมืองมาตั้งแต่มีการปิดประกาศมาแล้ว โดยมีชาวบ้านมาร่วมลงรายชื่อคัดค้านกว่า 5,765 คน ซึ่งจำนวนนี้ถือว่ามากสำหรับชาวบ้านในพื้นที่ดำเนินโครงการเหมืองแร่โปแตช และหลังจากนี้ทางกลุ่มจะยังคงติดตามสถานการณ์กันอย่างต่อเนื่อง ว่าหลังจากยื่นหนังสือและรายชื่อคัดค้านไปแล้ว หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องจะมีท่าทีอย่างไร ด้าน นายวรากร บำรุงชีพโชค อุตสาหกรรมจังหวัดอุดรธานี กล่าวว่า การทำหนังสือและรวบรวมชื่อคัดค้านของกลุ่มชาวบ้านที่ทำกันนั้น เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ เพราะได้ระบุไว้ในกฎหมาย สำหรับเรื่องการประกาศเขตคำขอนั้นชาวบ้านก็มีช่องทางในการคัดค้านได้อีกช่องทาง คือ หลังจากการปิดประกาศก็จะเป็นบทบาทขององค์กรส่วนท้องถิ่น คือ อบต. และเทศบาล ที่จะดำเนินการจัดประชาคมในพื้นที่ เพื่อถามความคิดเห็นของชาวบ้านแล้วทำเป็นรายงานการประชาคมในพื้นที่ขึ้นมา ในส่วนบทบาทหน้าที่ของอุตสาหกรรมจังหวัดนั้น ก็มีหน้าที่ในการรับเรื่อง แล้วส่งต่อไปยังกรมอุตสาหกรรมต่อไป ส่วนนายสุวิทย์ กุหลาบวงษ์ ผู้ประสานงานศูนย์ข้อมูลสิทธิมนุษยชนและสันติภาพ ภาคอีสาน กล่าวถึงการเคลื่อนไหวคัดค้านโครงการเหมืองแร่โปแตช จ.อุดรธานีว่า การล่ารายชื่อคัดค้านการประกาศเขตพื้นที่คำขอประทานบัตรของกลุ่มชาวบ้านในครั้งนี้ เป็นสิทธิที่สามารถกระทำได้ตามกระบวนการทางกฎหมาย เพราะเห็นถึงข้อผิดพลาดในขั้นตอนการดำเนินการของ กพร. และ บริษัทเจ้าของโครงการฯ “การล่ารายชื่อคัดค้านประกาศของชาวบ้านนั้น เป็นสิทธิของชาวบ้านที่สามารถทำได้อยู่แล้ว เพราะระบุไว้ในกฎหมายแร่ ปี 2510 มาตรา 49 ซึ่งประเด็นการคัดค้านของชาวบ้านนั้น เพราะว่าบริษัทให้ข้อมูลที่ไม่เป็นจริงในรายงานการไต่สวน เพื่อประกอบการขอประทานบัตร” นายสุวิทย์กล่าว ประสานงานศูนย์ข้อมูลสิทธิมนุษยชนและสันติภาพ ภาคอีสาน กล่าวยกตัวอย่างข้อมูลในรายงานการไต่สวนว่า ข้อมูลลักษณะของพื้นที่ดำเนินโครงการฯ มีข้อมูลที่บิดเบือนไปจากข้อเท็จจริง พื้นที่ตั้งโรงงานจำนวน 111 ไร่ ไม่มีความเป็นไปได้สำหรับการทำเหมือง และพื้นที่ที่บริษัทขอประทานบัตรนั้นเป็นพื้นที่เกษตรกรรมของชาวบ้าน จึงไม่มีความเหมาะสมที่จะพัฒนาไปเป็นพื้นที่อุตสาหกรรม เป็นต้น” นายสุวิทย์กล่าว “เมื่อดูรายละเอียดของขอบเขตพื้นที่ประทานบัตรแล้ว ปรากฏว่าพื้นที่คำขอได้กินเนื้อที่ของค่ายทหารด้วย จึงเป็นเรื่องที่น่าคิดต่อประเด็นความมั่นคง ถึงการที่จะมีการทำเหมืองใต้ดินในพื้นที่ค่ายทหาร ซึ่งชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์ฯ ก็ได้ทำการร้องเรียนไปยังคณะกรรมการสิทธิฯ ให้ลงมาตรวจสอบในประเด็นนี้ด้วย และถ้าหากมองให้ลึกมากกว่านั้น ก็เป็นที่น่าสังเกตได้ว่า การเร่งผลักดันโครงการเหมืองแร่โปแตช ของบริษัทในช่วงนี้ เป็นการปั่นหุ้นของบริษัทเพื่อจะขายต่อหรือไม่” นายสุวิทย์ กล่าวทิ้งท้าย

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net