Skip to main content
sharethis

วานนี้ (7 ก.ย.54) เมื่อเวลา 13.00 น. ณ ห้องประชุมคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎอุดรธานี ศูนย์ข้อมูลสิทธิมนุษยชนและสันติภาพภาคอีสาน และศูนย์พัฒนาการเมืองภาคพลเมืองสถาบันพระปกเกล้า จ.อุดรธานี ร่วมกับองค์กรเครือข่าย ได้แก่ Mekong School Alumni, เครือข่ายพลังงานเพื่อนิเวศแม่น้ำโขง (MEE Net), เครือข่ายพลังงานทางเลือกเพื่ออนาคต, เครือข่ายคนไทยไม่เอาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และเครือข่ายทรัพยากรธรรมและสิ่งแวดล้อมอีสาน จัดเวทีเสวนา “สถานการณ์ปัญหาพลังงานนิวเคลียร์และทางออกสู่การพัฒนาพลังงานทางเลือกในสังคมไทย” โดยมีนักศึกษา กลุ่มชาวบ้าน และผู้สนใจทั่วไป จำนวนกว่า 100 คน ร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนข้อมูล นายสันติ โชคชัยชำนาญกิจ กลุ่มศึกษาพลังงานทางเลือกเพื่ออนาคต อภิปรายให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันสังคมไทยมีความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) และมีโครงสร้างที่ขัดแย้งกันเองอยู่ ด้านหนึ่งเกิดแผนอนุรักษ์พลังงาน 20 ปี โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการใช้ไฟฟ้าในประเทศ แต่อีกด้านหนึ่งภาครัฐโดยเฉพาะ กฟผ.ยังแสดงท่าทีในการเป็นผู้ค้าไฟฟ้า เช่น แผนในการซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งสร้างภาระในการแบกรับต้นทุนที่ไม่จำเป็นของประชาชน “พลังงานไฟฟ้าที่ใช้กัน ไม่ได้ตกอยู่ที่ประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศ แต่กลับอยู่ที่ภาคอุตสาหกรรม ถึงร้อยละ 47.33 เปอร์เซ็นต์ รองลงมาคือ ภาคธุรกิจ ร้อยละ 25.69 เปอร์เซ็นต์ ส่วนภาคที่อยู่อาศัยครัวเรือน ใช้ไฟทั้งประเทศเพียงร้อยละ 21.17 เปอร์เซ็นต์” นายสันติกล่าว นายสันติ ยังกล่าวอีกว่า จากข้อเท็จจริง ไฟฟ้าที่ซื้อเข้ามานั้น เพื่อรองรับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในประเทศทั้งสิ้น จึงเกิดคำถามสำคัญขึ้นว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่กำลังที่จะเกิดขึ้นในประเทศนั้นผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อคนส่วนใหญ่ของประเทศ หรือเพื่อรองรับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งมีความต้องการใช้ไฟฟ้าในการผลิตค่อนข้างสูง “โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเหมืองแร่โปแตชที่กำลังจะเกิดขึ้น ในพื้นที่ จ.อุดรธานีเอง และมีแนวโน้มว่าเหมืองแร่โปแตชที่จะเกิดขึ้นแห่งนี้ จะเป็นแหล่งกักเก็บกากนิวเคลียร์ที่จะเกิดขึ้นจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ด้วยเช่นกัน” ผู้แทนกลุ่มศึกษาพลังงานทางเลือกเพื่ออนาคตกล่าว นายสันติ ยังนำเสนอผลกระทบจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ว่า การรั่วไหลของสารกัมมันตรังสี ของโรงไฟฟ้าฟุคุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น และการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสีจากกากนิวเคลียร์ที่เก็บไว้ใต้เหมืองแร่โปแตชอัซเซ ประเทศเยอรมนี ทั้งสองกรณีส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และชุมชนที่อยู่โดยรอบรัศมีแพร่กระจายอย่างกว้างขวาง “ปัญหาจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เกิดขึ้นกับทั้งสองประเทศซึ่งถือว่าประเทศที่เจริญแล้ว มีมาตรการเตรียมรับมือกับปัญหาอย่างเป็นระบบ ผู้คนมีระเบียบวินัย และกฎหมายที่มีธรรมาภิบาล แต่ก็พบว่าไม่สามารถจัดการกับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ และยังมีการปกปิดข้อมูล ข่าวสาร แล้วถ้าประเทศไทยจะเป็นอย่างไร” นายสันติตั้งคำถาม ด้านนายบุญเลี้ยง โยทะกา ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากแนวสายส่งไฟฟ้าแรงสูงน้ำพอง2-อุดรธานี3 ได้เข้าร่วมเวทีในวันนี้ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า โดยแท้จริงแล้วชาวบ้านเองไม่ได้ต้องการโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ ไม่ว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เขื่อน เหมืองแร่ หรือแม้แต่แนวสายส่งไฟฟ้าแรงสูง ซึ่งทั้งหมดต่างเอื้อประโยชน์ให้กับภาคอุตสาหกรรม แต่ส่งผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม “รัฐควรส่งเสริมพลังงานทางเลือก เช่น พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานชีวมวล ที่มีความยั่งยืน สะอาดปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน ซึ่งปัจจุบันในหลายประเทศก็มีการสนับสนุนอย่างจริงจัง และเห็นผลแล้ว” นายบุญเลี้ยงกล่าว

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net