กพร.เตรียมรับนโยบายค่าจ้าง 300 บ. เร่งทำแผนพัฒนาฝีมือแรงงานสรุป ส.ค.นี้ นายพานิช จิตร์แจ้ง รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงานเปิดเผยผลประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ที่ประชุมได้หารือถึงมาตรการยกระดับฝีมือแรงงานไทยเพื่อให้มีทักษะฝีมือที่ เหมาะสมกับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท ต่อวันตามนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่โดยในที่ประชุมได้มีข้อเสนอมาตรการรองรับใน เรื่องนี้ ได้แก่การส่งเสริมให้สถานประกอบการจัดซื้อเครื่องจักรเครื่องมือที่ทันสมัย มาใช้งานเพื่อให้แรงงานมีทักษะฝีมือสูงขึ้นและผลิตชิ้นงานได้มากขึ้นการส่ง เสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน ซึ่งจะสร้างแรงจูงใจโดยการลดหย่อนภาษีตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ.2554 ที่ปัจจุบันให้สิทธิประโยชน์แก่สถานประกอบการที่ดำเนินการใน 2 เรื่องข้างต้น สามารถนำค่าใช้จ่ายมาลดหย่อนภาษีได้ถึง 200 เปอร์เซ็นต์ โดยในที่ประชุมได้มีการเสนอให้ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 400-600 เปอร์เซ็นต์ การให้ผู้ประกอบการกู้ยืมเงินกองทุนส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานที่ปัจจุบัน มีเงินอยู่ 537 ล้านบาท มาใช้ในการพัฒนาฝีมือแรงงานการมีโครงการให้สถานประกอบการจัดอบรม ISO และ 5 ส.เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต นายพานิช กล่าวด้วยว่า ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 2 ชุด ได้แก่ 1.คณะอนุกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานให้ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ซึ่งคณะอนุกรรมการฯชุดนี้ จะทำหน้าที่วิเคราะห์ เพื่อหาแนวทางพัฒนาแรงงานให้มีทักษะฝีมือสอดคล้องกับการได้รับค่าจ้างขั้น ต่ำ 300 บาทต่อวัน และ 2.คณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์งานส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานเพื่อให้ได้รับ ค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการทั้ง 2 ชุดนี้จะรวบรวมข้อเสนอแนะต่างๆในที่ประชุมไปพิจารณาเพื่อจัดทำร่างแผนพัฒนา ฝีมือแรงงานเพื่อให้ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันซึ่งคาดว่าร่างแผนนี้จะแล้วเสร็จ เสนอต่อคณะกรรมการฯได้ภายในเดือนสิงหาคมนี้ (แนวหน้า, 24-7-2554) เครือซีพี หนุนรัฐ-เอกชนเร่งลงทุน-ขึ้นค่าแรง-นำทุนสำรองตั้ง Soveregin Wealth Fund นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล รองประธานคณะกรรมการบริหารการเงินและกรรมการการลงทุน เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ในฐานะอดีตปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า รัฐบาลต้องเร่งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เช่น ด้านชลประทาน การเกษตร ลอจิสติกส์ การศึกษา เพื่อผลักดันการเติบโตเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมทั้งกระตุ้นภาคเอกชนให้เร่ง การลงทุนเพื่อขยายขีดความสามารถการแข่งขันและการผลิต ลดการพึ่งการส่งออกเพื่อลดความเสี่ยงทางเศรษฐกิจหากเศรษฐกิจโลก ผันผวน ซึ่งขณะนี้ไทยมีการปรับเปลี่ยนตลาดส่งออกจากเดิมที่เน้นตลาดส่งออกใน สหรัฐ ยุโรปและญี่ปุ่น ลดมาครึ่งหนึ่ง และหันมาเน้นในตลาดอาเซียนและจีน ทั้งนี้ ตั้งแต่วิกฤติปี 40-53 เศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ย 2.9%ต่อปี เนื่องมาจากมีการลงทุนต่ำ พร้อมกันนี้ ยังสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เนื่องจากหลังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี 40 การปรับขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำยังน้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อ และน้อยกว่ารายได้ประชาชาติโดยเฉลี่ย แสดงให้เห็นว่าแรงงานยังมีความเสียเปรียบ ซึ่งการปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำจะช่วยเพิ่มความต้องการในประ เทศ(Domestic demand)และลดความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้ และเชื่อว่าการปรับขึ้นค่าแรงงานจะทำให้แรงงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในช่วงแรกหากมีการปรับขึ้นค่าแรงตามนโยบายรัฐบาล คงมีผลกระทบต่อผู้ประกอบการในช่วงแรก ดังนั้นภาครัฐจะต้องเข้ามาบรรเทาผลกระทบด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะภาคธุรกิจเอสเอ็มอี รวมถึงการอำนวยสินเชื่อที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ควรปรับปรุงระบบภาษีเพื่อแข่งขันกับภูมิภาคได้ดีขึ้น ได้แก่ การปรับลดภาษีนิติบุคคล ปรับโครงสร้างอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปรับลดการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลง ทุน(บีโอไอ) เน้นเฉพาะอุตสาหกรรมที่จำเป็นระยะยาว สนับสนุนไทยไปลงทุนในต่างประเทศ รองรับการลงทุนจากต่างประเทศโดยใช้ไทยเป็นสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาค \ภาครัฐต้องทำอะไรหลายๆอย่าง ทั้งค่าแรง รายได้ ภาษีนิติบุคคล การใช้จ่ายภาครัฐ ถ้าเลือกทำบางอย่างจะเสียของ จะสู้ประชาคมในอาเซียนไม่ได้ ถ้าสู้ต้องสู้ให้เต็มตัว และวันนี้เราจะไม่สู้ไม่ได้แล้ว แต่หาทางบรรเทาผลกระทบ อย่าหาทางไม่ทำ\"นายศุภรัตน์ กล่าว ขณะเดียวกันเสนอภาครัฐควรบริหารจัด การรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังถืออยู่ให้เกิดประสิทธิภาพดีขึ้น โดยนำรูปแบบโฮลดิ้งคอมปานีมาใช้บริหารจัดการการถือหุ้นในรัฐวิสาหกิจ ต่างไ เพื่อความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพในการลงทุน นายศุภรัตน์ ยังเสนอให้โอนเงินสำรองระหว่างประเทศบางส่วนมาจัดตั้ง Soveregin Wealth Fund เพื่อแก้ปัญหาผลตอบแทนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) บริหารต่ำเกินไป และมีต้นทุนการบริหารจัดการสูง รวมถึงขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ฉะนั้น ควรมองว่าเงินสำรองระหว่างประเทศเป็นสมบัติของประเทศ ควรนำมาหาผลตอบแทนที่ดี เช่นเดียวกับกองทุเทมาเซคของรัฐบาลสิงคโปร์ นอกจากนี้ดูแลให้กองทุนประกันสังคม และกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการมีการลงทุนที่มีประสิทธิภาพด้วย นายศุภรัตน์ กล่าวว่า หากรัฐบาลใหม่เข้ามาโครงการลทุนต่างๆ จะทำให้ภาครัฐต้องขาดดุลและกู้ยืมเงินเพิ่มขึ้น โดยเสนอว่าในช่วง 2 ปีแรกทำงบประมาณขาดดุลปีละประมาณ 4-4.5% (รวมงบประมาณกับรัฐวิสาหกิจ) และในช่วง 2 ปีถัดมาลดลงงบขาดดุลเหลือ 3-3.5% จะมีวงเงินลงทุนเพียงพอประมาณ 2 ล้านล้านบาท โดยหนี้สาธารณะอยู่สูงสุดประมาณ 55%ของ GDP เป็นระดับที่น่าจะรับได้ จากที่เคยมีระดับสูงสุดที่ 58% ของ GDP หลังจากนั้นเตรียมแผนดึงงบกลับมาสมดุลและบริหารหนี้สาธารณะให้ลดลง \"สิ่งที่ห่วงคือเรื่องคอรัปชั่น ที่ผ่านมาการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐเกิดน้อยมาก แต่งบจะโตในงบประมาณประจำ การขาดดุลแบบนี้ถ้าเป็นการขาดดุลเพื่อลงทุนจะได้ผลตอบแทนที่ค้ม ค่า\"นายศุภรัตน์ กล่าว (อินโฟร์เควสท์
สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 24 - 30 ก.ค. 2554
Submitted on Sat, 2011-07-30 17:05
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)
ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ข่าวรอบวัน
‘ชลน่าน’แจงกรณีข้อมูล 2 ล้านคนหลุด ไม่ใช่จาก สธ. มีระบบป้องกันอยู่ ‘แพทย์ชนบท’ ชี้มีนโยบายแต่ไม่มีงบ
2024-03-19 15:29
2024-03-19 14:10
2024-03-19 01:18
2024-03-19 01:08
2024-03-18 21:20
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล