ช่วยกันทำลายอคติเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำในสังคมไทย

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

เป็นเรื่องดีที่การหาเสียงของพรรคใหญ่อย่างเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ ทำให้เกิดบรรยากาศตื่นตัวและความสนใจของผู้คนที่จะถกเถียงและหาความรู้เกี่ยวกับผลดีและผลเสียของนโยบายต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องที่ได้รับความสนใจในวงกว้างตอนนี้ คือ การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวัน ถึงแม้พื้นที่ส่วนใหญ่ของสื่อจะถูกฝ่ายทุนช่วงชิงไป และทำให้เราได้ยินและได้อ่านความคิดเห็นในทางคัดค้านนโยบายนี้เป็นส่วนใหญ่ก็ตาม ในความเป็นจริง เรื่องผลกระทบของการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดวิวาทะในสังคมอุตสาหกรรมมานานแล้ว และก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่ อย่างในสหรัฐอเมริกา ก็มีการถกเถียงเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำตลอดช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ในช่วงปลายปี 2549 เมื่อ ส.ส.จากพรรคเดโมแครตเสนอให้ขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของรัฐบาลกลางจาก 5.15 เป็น 7.25 ดอลลาร์ ก็ทำให้เกิดการถกเถียงในวงกว้างเกี่ยวกับผลกระทบต่อการจ้างงาน แต่ในที่สุด ก็สามารถผลักดันนโยบายนี้สำเร็จ โดยใช้ระยะเวลาเพิ่มค่าจ้างทั้งหมด 2 ปี ตามที่ได้เสนอไว้เป็นลำดับขั้นตอนถึง 3 ช่วง ในวงการเศรษฐศาสตร์เอง การอภิปรายถึงผลกระทบของการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ก็ยังไม่นำไปสู่ข้อสรุปที่แน่ชัดว่าจะก่อให้เกิดการจ้างงานลดลงหรือไม่ ถึงแม้นักเศรษฐศาสตร์ในอดีตมักจะปักใจเชื่อว่าการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ จะทำให้เกิดการจ้างงานลดลง เช่น ในช่วงปลายทศวรรษ 1970s หรือทศวรรษ 2510 การสำรวจนักเศรษฐศาสตร์วิชาชีพในวารสาร American Economic Review ชี้ให้เห็นว่านักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 90 เชื่อว่าการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำจะทำให้การว่างงานเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกับคนงานกลุ่มที่ถูกเรียกว่า \ไร้ฝีมือ\" จะถูกกีดกันออกจากตลาดแรงงาน แต่ในระยะหลัง นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากขึ้นก็พยายามหาข้อพิสูจน์ว่าการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ อาจไม่ได้ทำให้การจ้างงานลดลงเสมอไป ขึ้นอยู่กับบริบท เช่น พื้นที่และอุตสาหกรรม ข้อโต้แย้งของนักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักที่เชื่อว่าการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ จะทำให้เกิดการว่างงานเพิ่มขึ้นนั้น มาจากตรรกะของพวกเขาว่าการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทำให้คนงานไร้ฝีมือมีค่าจ้าง หรือ \"ราคา\" สูงกว่าที่ควรจะเป็น เมื่อเปรียบเทียบกับคนงานที่มีทักษะสูงกว่า จะว่าไปแล้ว นี่เป็นตรรกะที่สะท้อนแนวคิดที่หมกมุ่นกับผลิตภาพการผลิตจนเกินไป และมองคนงานเป็น \"ปัจจัยการผลิต\" แทนที่จะเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตและมีศักดิ์ศรีไม่ต่างจากคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นนายจ้างและมนุษย์เงินเดือนก็ตาม คงจะไม่เป็นการกล่าวเกินจริงเลย ถ้าจะพูดว่านักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักไม่สนับสนุนการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เพราะขัดกับหลักการเรื่องการแข่งขันเสรีที่พวกเขาเชื่อ เมื่อใดก็ตาม ที่มีการเสนอให้ขึ้นค่าจ้าง นักเศรษฐศาสตร์ก็มักจะคัดค้าน โดยอ้างทฤษฎีการกำหนดราคาสินค้าที่ว่า \"ผู้ประกอบการจะจ่ายค่าจ้างไม่มากไปกว่ามูลค่าของงานที่ได้รับจากชั่วโมงทำงานที่เพิ่มขึ้น\" ซึ่งถูกสะท้อนออกมาในรูปค่าจ้างในขณะนั้นอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาให้ลึกซึ้ง ข้อโต้แย้งดังกล่าวนี้ไม่มีความสมเหตุสมผล เนื่องจากระดับค่าจ้างที่ใช้อยู่ในปัจจุบันก็ไม่ได้ถูกกำหนดจากกลไกตลาดอย่างที่อ้าง แต่เป็นผลผลิตของการกำกับของรัฐผ่านกฎหมายจำนวนมาก ในกรณีของประเทศไทย ค่าจ้างที่ใช้อยู่ก็ถูกกำหนดจากคณะกรรมการค่าจ้างกลาง ซึ่งเกิดขึ้นจากกฎหมายและระเบียบต่างๆ ที่ให้อำนาจ รวมถึงอำนาจต่อรองระหว่างฝ่ายนายจ้างและลูกจ้าง การกล่าวว่านโยบายเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำซึ่งเป็นการตัดสินใจโดยฝ่ายบริหารนั้นเป็นการบิดเบือนกลไกตลาด จึงเป็น \"คำโกหกที่แนบเนียน\" ของผู้ที่คัดค้านการขึ้นค่าแรงเท่านั้น จะเห็นว่าอคติในเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำนั้นตั้งอยู่บนฐานที่แข็งแกร่งและยากจะทำลายของมายาคติเรื่อง \"กลไกตลาดในฐานะราคาที่เป็นธรรม\" ซึ่งถือเป็นมายาคติที่ฝังรากลึกที่สุดในวิชาเศรษฐศาสตร์ และแพร่หลายจนกลายเป็น \"ความจริง\" ที่คนจำนวนมากแม้กระทั่งนักวิชาการสายก้าวหน้าที่มีแนวโน้มจะสนับสนุนฝ่ายแรงงานก็ยังอ้างถึงโดยไม่ต้องพิสูจน์ ตราบใดก็ตามที่ผู้คนจำนวนมากยังเชื่ออย่างสนิทใจว่าค่าจ้างค่าแรง ซึ่งเป็นผลตอบแทนของการทำงานของคนควรที่จะปล่อยให้ถูกกำหนดจากสิ่งนามธรรมที่เรียกว่า \"กลไกตลาด\" ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไมวิวาทะเกี่ยวกับนโยบายขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในขณะนี้ จึงเต็มไปด้วยข้อโต้แย้งทางเทคนิคที่ไร้มนุษยธรรม ไม่ว่าจะเป็นความกังวลเรื่อง \"ความสามารถในการแข่งขัน\" ของผู้ประกอบการหรือเรื่องเงินเฟ้อของพวกมนุษย์เงินเดือน โดยแทบจะไม่มีใครสนใจประเด็นเรื่องสิทธิทางสังคมและความจำเป็นที่จะต้องสร้างหลักประกันคุณภาพชีวิตขั้นพื้นฐานให้กับคนงานเลย ทั้งที่เราทุกคนก็ทราบดี (โดยไม่ต้องมีความรู้เศรษฐศาสตร์แม้แต่น้อย) ว่า ระดับค่าจ้างขั้นต่ำที่เป็นอยู่นั้นไม่สะท้อนระดับค่าครองชีพที่เป็นจริงในชีวิตประจำวันแต่อย่างใด และที่คนงานไทยจำนวนมากมีรายได้พอกระเสือกกระสนไปแต่ละเดือน ก็ด้วยการทำงานล่วงเวลาเพื่อให้ได้รายได้เพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่ง จนทำให้จำนวนชั่วโมงทำงานของคนงานในโรงงานเฉลี่ยต่อวันนั้นอยู่ในระดับที่สูงมากจนน่าตกใจ เป็นเรื่องน่าเศร้าที่เราปล่อยให้วิวาทะเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำ ถูกฝ่ายนายทุนฉกเฉยไปและเบี่ยงเบนประเด็น \"ค่าจ้างที่เป็นธรรม\" ไปเป็นเรื่องความอยู่รอดของธุรกิจและโยนคำถามกลับมายังคนงานอย่างเลือดเย็นว่าจะเลือกงานที่แย่หรือตกงาน สังคมแบบไหนกันที่เสนอทางเลือกลักษณะนี้ให้กับคนทำงานที่ยังได้รับค่าจ้างไม่พอยังชีพ ตีพิมพ์ครั้งแรกในคอลัมน์ \"มุมมองบ้านสามย่าน\" หน้าทัศนะวิจารณ์ น.ส.พ. กรุงเทพธุรกิจ วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม 2554"

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท