Skip to main content
sharethis

อัลจาซีร่าสัมภาษณ์เปิดใจสไนเปอร์ผู้ละการปฏิบัติหน้าที่จากคำสั่งยิงผู้ชุมนุมในซีเรีย \สำหรับผมแล้ว ผมไม่อยากจะเห็นผู้คนล้มตายลงต่อหน้าต่อตาผมทุกๆ วันอีกต่อไป แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ถูกสังหารโดยตัวผมเองก็ตาม\" มือปืนสไนเปอร์กล่าว ซีเรีย หนึ่งในประเทศตะวันออกกลางที่อยู่ในกระแสการลุกฮือของประชาชนต่อต้านรัฐบาล ประเทศที่อยู่กับการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือ Emergency Laws มาตั้งแต่ปี 1963 ประเทศที่ถูกหน่วยงานจับตามองด้านสิทธิมนุษยชนอย่างฮิวแมนไรท์วอทช์จัดให้เป็นประเทศยอดแย่ในด้านสิทธิมนุษยชน การประท้วงต่อต้านตั้งแต่ต้นปีเริ่มมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นในช่วงเดือน เม.ย. มีผู้ประท้วงถูกยิงเสียชีวิต และมีรายงานว่าหนึ่งในการปฏิบัติการนั้นมีการใช้พลแม่นปืนระยะไกลหรือสไนเปอร์ด้วย เราจึงขอนำเสนอรายงานของอัลจาซีร่า ที่มีการสัมภาษณ์สไนเปอร์มานำเสนอให้ทุกท่านได้อ่าน ในค่ำคืนเงียบสงัดคืนหนึ่งในตอนใต้ของซีเรีย บนท้องถนนใกล้กับเมืองอิซรา (Izra) คนขับรถบรรทุกรายหนึ่งถูกกลุ่มคนที่อยู่ข้างทางเรียกให้จอด วันนั้นเป็นวันที่ 25 พ.ย. และคนที่มาโบกรถนั้นก็ดูกระวนกระวายใจ พยายามอธิบายว่าเหตุใดพวกเขาถึงต้องการโดยสารรถอย่างเร่งด่วน คนกลุ่มนี้คือทหารจากกองพล 47 ที่ละจากหน้าที่หลังจากถูกสั่งให้ไปประจำการในเดรา (Deraa) เมืองสำคัญสำหรับการลุกฮือในซีเรีย และนี้คือเรื่องราวของคนหนึ่งในกลุ่มนั้น ผู้ที่เป็นสไนเปอร์ เลือกที่จะหลบหนีจากการนองเลือดและไม่ยอมรับคำสั่งสังหารผู้ชุมนุมที่เขาบอกว่าเป็นคำสั่งจากมาเฮอร์* น้องชายขอประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซัด โดยตรง \"การที่เจ้าหน้าที่สั่งผมให้สังหารประชาชนที่ชุมนุมอย่างสงบและปราศจากอาวุธนั้นเป็นสิ่งที่โหดร้ายที่สุดเท่าที่ผมเคยประสบมา\" อดีตสไนเปอร์กล่าว เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกของหน่วยกองพลพิเศษ 47 ที่นำกองกำลังจากดามาคัสมาสู่อิซรา เมื่อวันที่ 25 เม.ย. ที่ผ่านมา อัลจาซีร่าได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับทหารที่หลบหนีไปอยู่ประเทศข้างเคียงคือตุรกี และได้รับการยินยันคำให้การของชายผู้นี้จากการรวบรวมข้อมูลของ insan กลุ่มสิทธิมนุษยชนของซีเรีย และ Avaaz องค์กรสิทธิสากล อัลจาซีร่าขออนุญาตไม่เปิดเผยชื่อ ข้อมูลส่วนตัวทางทหาร ภูมิลำเนาและข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ ของเขาเนื่องจากเจ้าตัวได้ขอร้องไว้ \"การตัดสินใจละทิ้งหน้าที่ครั้งนี้เป็นการตัดสินเป็นตายผมได้เลย\" เขาบอก \"สำหรับผมแล้ว ผมไม่อยากจะเห็นผู้คนล้มตายลงต่อหน้าต่อตาผมทุกๆ วันอีกต่อไป แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ถูกสังหารโดยตัวผมเองก็ตาม\" การปลูกฝัง สไนเปอร์บอกกับอัลจาซีร่าว่าเขาและเพื่อนทหารของเขาได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาว่าให้พวกเขาไปประจำการในเมืองเดราเพื่อคุ้มครองประชาชนจากกลุ่ม \"ผู้ก่อการร้าย\" \"เขาบอกพวกเราว่ามีการชุมนุมในเดรา แล้วพวกเราต้องปกป้องผู้ชุมนุมจากกลุ่มก่อการร้ายและอิทธิพลจากต่างชาติที่กำลังคุกคามพวกเขา\" เขาบอก \"ช่วงสัปดาห์ก่อนหน้าที่เราจะมาถึงเดรา ผู้บังคับบัญชาของพวกเราสั่งกำชับให้พวกเราใช้เวลาทุกเย็นช่วง 2 ทุ่ม ถึง 4 ทุ่ม ดูโทรทัศน์ช่อง อัล ดุนยา พวกเขาอ้างว่าจะทำให้เราได้รับรู้เกี่ยวกับการสมคบคิดต่อต้านซีเรีย\" โทรทัศน์สถานีช่องอัล ดุนยา เป็นสถานีดาวเทียมเอกชนช่องเดียวที่มีเจ้าของเป็นลูกพี่ลูกน้องของประธานาธิบดีอัสซัด และเป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยมากที่สุดในประเทศชื่อ รามี มาคห์ลอฟ ในวันที่ 5 มิ.ย. สถานีนี้ได้นำเสนอบทวิเคราะห์สนับสนุนรัฐบาลโดย ดร.ทาเล็บ อิบราฮิม ที่เรียกร้องให้ชายซีเรียสังหารผู้ชุมนุมเสีย \"มันเป็นช่องโฆษณาชวนเชื่อแสดงให้เห็นกลุ่มแก๊งค์และซาลาฟี (คำที่ตะวันตกใช้เรียกกลุ่มหัวรุนแรง) ยิงปืนใส่ทหาร ตำรวจลับ และประชาชน รวมถึงบอกว่ากลุ่มคนเหล่านี้ถูกต่างชาติจ้างมาให้สังหารประชาชน\" สไนเปอร์บอกอีกว่าค่ายทหารของเขาในอิซราเป็นพื้นที่ห่างไกลและทหารก็ถูกกักไว้ไม่ให้เห็นโลกภายนอก \"พวกเราได้รับคำสั่งมาว่าไม่ให้พูดกับประชาชน พวกเราเข้าถึงโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ และอินเตอร์เน็ตไม่ได้ ข่าวสารทางเดียวที่พวกเราได้รับมาจากผู้บัญชาการของพวกเราเอง ในช่วงการประชุมในตอนเช้า พวกเขาก็จะพูดย้ำถึงเรื่องการสมคบคิดต่อต้านซีเรีย อย่างเช่นมีบางคนในกลุ่มผู้ชุมนุมที่ได้รับอิทธิพลจากต่างชาติให้มาสังหารประชาชนและทหาร พวกเขาบอกเราเกี่ยวกับความสำเร็จของบาชาร์และสิ่งดีๆ ที่เขาทำให้กับประเทศ\" \"พวกเขาจะพูดว่า 'แน่นอนว่าพวกเราไม่ยอมรับที่ผู้ชุมนุมเรียกร้องให้โค่นล้มประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซัดผู้เป็นที่รักของเรา พวกคนที่เปล่งเสียงเช่นนั้นเป็นคนที่ถูกต่างชาติจ้างมา พวกเราควรจะกำจัดคนพวกนั้น'\" กระสุนสังหาร 4 ครั้งต่อสัปดาห์ที่กำลังทหารจะเคลื่อนจากฐานที่มั่นในอิซรา ลงไปทางตอนใต้สู่เดรา ด้วยคำสั่งปราบปรามผู้ชุมนุม กองพลพิเศษ 47 กำลังมีอยู่ราว 100 นาย รวมถึงสไนเปอร์ 6 นายที่ถูกสั่งการให้ขึ้นไปอยู่บนตึกสูงใกล้ๆ บริเวณเขตประท้วง เขาบอกว่า มีกองกำลังอื่นๆ เข้าสมทบกับกองพลพิเศษ 47 รวมถึงกองพลที่ 4 ภายใต้การนำของมาเฮอร์ อัล-อัสซัด ผู้ที่สไนเปอร์บอกว่าเป็นผู้บัญชาการการโจมตีทางทหารทั้งหมดในเดรา \"กองพลทั้งหมดในอิซราและเดราอยู่ภายใต้การนำของมาเฮอร์ อัล-อัสซัด เจ้าหน้าที่ทุกนายได้รับคำสั่งโดยตรงจากเขา ผมทราบเรื่องนี้เนื่องจากผมมักได้ยินเจ้าหน้าที่คุยกันว่าพวกเขาได้รับคำสั่งนี้จากมาเฮอร์หรือไม่ และเขาสั่งการมาอย่างไร\" สไนเปอร์บอกว่า ในช่วงวันแรกๆ ที่มีการวางกองกำลัง ขณะที่นายทหารทั่วไปได้รับคำสั่งให้ยิงขึ้นฟ้าเพื่อระงับการชุมนุม แต่สไนเปอร์ถูกสั่งให้ยิงเพื่อสังหาร \"พวกเราถูกสั่งให้เล็งที่หัวหรือหัวใจมาตั้งแต่ตอนแรก พวกเขาไม่ได้ให้ตัวเลขที่ชัดเจนมา แต่บอกให้ฆ่าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตราบใดที่พวกเขายังคงชุมนุมกันอยู่\" เขาบอก อย่างไรก็ตามสไนเปอร์ก็ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดโดยเจ้าหน้าที่ มีการวางตัวทหารอีกนายคอยควบคุมให้สไนเปอร์ทำตามคำสั่ง \"ผมทำได้แค่ยิงไปมั่วๆ ไม่ได้เล็งไปที่คน ทำให้ดูเหมือนว่าผมกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ และเจ้าหน้าที่ก็แน่นอนว่าไม่รู้ว่าผมเล็งไปที่อะไรกันแน่ ดังนั้นผมถึงไม่ได้มองหาเป้าหมายใดๆ เลย แต่พวกเราก็ยังคงได้รับคำสั่งยิงเพื่อสังหารอย่างต่อเนื่อง\" สไนเปอร์ผู้นี้บอกว่าเจ้าหน้าที่จะไม่สงสัยอะไรเลยเนื่องจากมีทหารคนอื่นยิงผู้ชุมนุมอยู่ \"ไม่ได้มีเพียงแต่ผมหรอก แต่ยังมีทหารอีกบางรายที่แสร้งอย่างลับๆ ไม่ยอมจะยิงใส่ประชาชน\" สไนเปอร์บอกอีกว่ามีประชาชนผู้ติดอาวุธอยู่ เพียงแต่เป้นกลุ่มที่ถูกทหารเองเป็นฝ่ายนำอาวุธให้ \"ผมไม่เคยเห็นหรือได้ยินเลยว่าประชาชนจะมีปืน ใช้ปืน หรือซุกซ่อนปืนไว้ในเดรา\" เขากล่าว \"แต่ผมเห็นประชาชนที่ติดอาวุธในกองทัพ มีเจ้าหน้าที่กองทัพเป็นผู้ให้อาวุธพวกเขาเอง พวกเราเคยเรียกพวกนี้ว่าเป็น 'พวกกุ๊ย' และเห็นพวกเขารับคำสั่งก่อนที่จะยิงใส่ประชาชน\" จากจุดที่มองในมุมสูงบนดาดป้าอาคารในเมืองเดรา สไนเปอร์ผู้นี้รู้สึกตระหนกกับการได้เห็นภาพกุ๊ยที่ไม่เพียงแค่ยิงใส่ประชาชน แต่ยังคงหันปืนใส่นายทหารธรรมดาทั่วไปด้วย \"ผมมองเห็นกุ๊ยบางคนยิงใส่ทหาร มันดูเหมือนฉากที่ต้องการย้ำให้เราเห็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่บอกกับพวกเราและที่พวกเราได้เห็นจากช่องดุนยา ว่ามีกลุ่มติดอาวุธกำลัง่อสู้กับกองทัพ ซึ่งตัวช่องดุนยาเองก็รายงานเหตุการณ์นี้ด้วย\" ผลที่ตามมาจากการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนั้นเป็นเรื่องร้ายแรงสไนเปอร์เล่าให้เราฟังว่ามีทหารนายหนึ่งชื่อ วาเอล ปฏิเสธที่จะยิงผู้ชุมนุมที่ปราศจากอาวุธ ซึ่งถือเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งโดยตรง \"เขาทะเลาะกับผู้บังคับบัญชาของเขา บอกว่าเขาจะไม่หันปืนไปทางประชาชนที่ปราศจากอาวุธ\" สไนเปอร์บอก \"ในตอนกลางคืนก็มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น เช้าวันต่อมามีคนบอกพวกเราว่าวาเอลถูกสังหารโดยผู้ก่อการร้ายที่ลอบเข้ามาในค่ายทหารก่อนหน้านี้ พวกเราทั้งหมดต่างก็รู้ว่าเขาถูกสังหารโดยเหล่าผู้บัญชาการของพวกเราเอง\" ละหน้าที่ มาถึงช่วงกลางเดือน พ.ย. สไนเปอร์รู้สึกว่าเขาได้เห็นเหตุการณ์มามากพอแล้ว เขาจึงเริ่มหารือเรื่องความเป็นไปได้ในการละทิ้งการปฏิบัติหน้าที่กับกลุ่มทหารที่ทราบว่ามาจากภูมิลำเนาทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรียด้วยกัน \"ในกองทัพนั้น เวลานายทหารถูกสั่งให้สังหารมันเป็นคำสั่งที่ไม่ได้มาจากเขตนั้นๆ เอง\" เขากล่าว \"พวกเราพบว่า พวกเราต่างก็มาจากถิ่นเดียวกัน เนื่องจากพวกเขามักจะส่งเราไปปฏิบัติภารกิจด้วยกันในเดรา พวกเราเริ่มไว้เนื้อเชื่อใจกันและพูดคุยกันเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จากนั้นพวกเราก็หารือกันเรื่องการละหน้าที่\" แต่ทหารในค่ายทหารของอิซรา ต่างก็อยู่ภายใต้การตรวจตราอย่างใกล้ชิดของตำรวจลับ \"เมื่อใดก็ตามที่พวกเขา (ตำรวจลับ) จะมาเข้าร่วมวงกับพวกเราขณะที่เรากำลังพูดคุยกันหลังปฏิบัติภารกิจในเดรา พวกเราก็จะเปลี่ยนเรื่องคุยหรือไม่ก็ตอบคำถามในเรื่องที่พวกเขาต้องการจะทราบ\" สไนเปอร์บอก เขาบอกอีกว่าก่อนหน้านี้มีการละการปฏิบัติหน้าที่จากทหารนายอื่นในการวางกำลังพลที่เดราอยู่ก่อนแล้ว ตั้งแต่ตอนที่พวกเขายังไม่ได้หารือกันในเรื่องนี้ \"ผมได้ยินว่มีทหารจำนวนมากละทิ้งหน้าที่จากเดรา ราวๆ 100 ถึง 150 นายได้ โดยปกติแล้วพวกเขาจะละหน้าที่ใน๘ระที่มีการปฏิบัติการในเมืองเดรา พวกเขาจะวางอาวุธแล้ววิ่งเข้าไปร่วมกับผู้ชุมนุม บางคนก็หลบหนีออกจากค่ายทหารตอนกลางคืน\" เขาบอกด้วยว่าผู้ที่ละหน้าที่ทั้งหมดเป็นพลทหารธรรมดา ไม่ใช่ระดับเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่นั้นจะพักหลับนอนอยู่ในค่ายทหารที่แยกต่างหาก และมีอาหารเลี้ยงอย่างดี ซึ่งในทางตรงกันข้ามพลทหารธรรมดาจะได้รับเพียงขนมปังและน้ำ บางครั้งก็เลวร้ายกว่านั้น มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ในน้ำมีหนอนอยู่ด้วย เมื่อพบว่าการฆ่าฟันยังคงดำเนินไปไม่รู้จะสิ้นสุดเมื่อไหร่ สไนเปอร์ก็ตกลงใจกับทหารอื่นๆ อีก 20 นายว่าถึงเวลาต้องหนีแล้ว ในช่วง 4 ทุ่มของคืนวันที่ 25 พ.ค. นายทหารต่างคืนอาวุธตามปกติและพักผ่อนบนเตียงนอน แต่หลังจากที่ปิดไฟแล้ว พวกเขาก็พากันมาที่จุดนัดหมายแล้วลอบออกจากค่ายทหารไปบนท้องถนน กลุ่มเล็กๆ ในนั้นรวมถึงสไนเปอร์เดินไปตามถนนแล้วก็โบกรถคันหนึ่ง รถที่ผ่านมาคันแแรกคือระบรรทุกที่มีคนขับวัยสูงอายุ ในทีแรกเขาก็ลังเลว่าควรจะรับ 'ของอันตราย' ขึ้นรถดีไหม แต่หลังจากการเจรจากว่าครึ่งชั่วโมง คนขับรถก็ยอมพาทั้งหมดไปส่งที่ 100 กม. ห่างจากกรุงดามาคัสไปทางเหนือ แล้วพวกเขาก็แยกย้าย อีกไม่กี่วันถัดมา สไนเปอร์ที่ละหน้าที่ก็อยู่ในตุรกี ที่นั่นมีทหารหนีทัพรายอื่นอยู่อีกจำนวนหนึ่งรวมถึงที่หนีมาจากเหตุปะทะใน Jisr al-Shughur ด้วย \"ผมรู้สึกดีขึ้นแล้วในตอนนี้ที่ได้อยู่กับเพื่อนที่หนีออกจากประเทศด้วยกัน แต่ก็ไม่ดีเท่าได้อยู่กับครอบครัวผมเองหรอก\" เขากล่าว \"ผมโทรหาพวกเขาทุกวันเพื่อให้รู้ว่าพวกเขายังคงอยู่ดีไหม ยังไม่มีใครมาถามหาผม แต่ผมก็เป็นห่วงแทนครอบครัวผมมากจากเรื่องที่ผมทำลงไป แต่มันก็เป็นทางเลือกเดียวที่ผมได้เลือกแล้ว\" *มาเฮอร์ อัล-อัสซัด เป็นผู้บัญชาการของกองทัพ 'ริพับลิกันการ์ด' ของกองทัพซีเรียซึ่งประกอบด้วยกำลังพล 10

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net