Skip to main content
sharethis

“อดีตไม่สำคัญ วันนี้ฉันรักเธอ” คือวลีเด็ดที่พอเรียกเสียงหัวเราะจากวงเสวนาได้บ้าง ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความตรึงเครียด และเป็นไปเพื่อคลายความกังวล หากต้องเปิดเผยข้อมูลลับส่วนตัวออกมา เป็นวลีที่ออกจากปากของ พ.ท.อิศรา จันทะกระยอม ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจ (ฉก.) ที่ 12 อำเภอรามัน จังหวัดยะลา ต่อบรรดาบุคลากรโรงเรียนมะอาหัดอิสลามียะห์ หรือ ปอเนาะบาลอ อำเภอรามัน ทั้งโต๊ะครูเจ้าของปอเนาะ อุสตาซ(ครูสอนศาสนา) และเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ในห้องเสวนา รวมกว่า 40 ชีวิต บรรยากาศการเสวนา “เปิดใจสร้างสันติสุข โรงเรียนมะอาหัดอิสลามียะห์” เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2554 ที่โรงแรมไดอิชิ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จัดโดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า นอกจากนั้น เป็นตัวแทนชุมชน ผู้นำศาสนา กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายกองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.) บาลอ และตำบลสาวอ อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส ที่เป็นพื้นที่ใกล้เคียง เป็นวงเสวนาที่ชื่อว่า “เสวนาเปิดใจสร้างสันติสุข โรงเรียนมะอาหัดอิสลามียะห์” ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 – 29 เมษายน 2554 ที่โรงแรมไดอิชิ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จัดโดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) เป็นวงเสวนาที่ดูเหมือนการจับบุคลากรของปอเนาะบาลอ ที่น่าจะมีส่วนรับรู้กับการก่อความไม่สงบบ้าง ไม่มาก็น้อย มาเปิดใจพูดคุยกัน ตามที่หน่วยเฉพาะกิจที่ 12 ระบุ โดยมีเครือข่ายชุมชนในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในการเสวนาด้วย ย้อนกลับไปเมื่อกลางดึกของวันที่ 1 เมษายน 2554 ชายฉกรรจ์ 10 คน แต่งกายคล้ายทหาร สวมหมวกแดง ตั้งด่านสกัดรถบนเส้นทางสายจ๊ะกว๊ะ – รือเสาะ เรียกให้รถกระบะโตโยต้า วีโก้ คันหนึ่งให้หยุดตรวจ เป็นรถยนต์หมายเลขทะเบียน ผข – 3510 สงขลา มีนายพิชัย ติ้นสั้น พ่อค้าขายผักชาวอำเภอรือเสาะ เป็นคนขับ มีภรรยานั่งโดยสารมาด้วย แต่แทนที่กลุ่มชายฉกรรจ์จะเรียกตรวจ กลับทำร้ายทั้ง 2 จนบาดเจ็บ แล้วยึดรถคันนั้นไป พร้อมกับปล้นเงินสดกว่า 120,000 บาท ต่อมาเกือบรุ่งเช้าวันเดียวกัน กล้องวงจรปิดแห่งหนึ่งสามารถจับภาพคนร้ายขับรถหลบหนีเข้าไปในเขตปอเนาะบาลอ แล้วขับออกไปใน 7 โมงเช้า แต่ได้ทิ้งหลักฐานซึ่งเป็นเอกสารคู่มือรถและหลักฐานอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง โดยถูกเผาทำลายทิ้ง ต่อมาอีกไม่กี่วัน เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจค้นอีกครั้ง โดยพบวัตถุระเบิดจำนวนหนึ่งในบริเวณปอเนาะ อันนำมาซึ่งการตั้งคำถามจากหลายฝ่ายว่า ทำไมคนร้ายจึงทิ้งร่องรอยหลักฐานในบริเวณโรงเรียนเสมือนกับจงใจ “การเข้าตรวจค้นครั้งที่สอง พบหลักฐานหลายชิ้น แต่พบในจุดที่การตรวจค้นครั้งแรกแล้วไม่เจอ เหมือนตั้งใจจะให้เจ้าหน้าที่หาเจอ” พ.ท.อิศรา ให้ความเห็นถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกับให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “มันเหมือนกับมีความพยายามจงใจที่จะสร้างความเสื่อมเสียแก่โรงเรียน ซึ่งเดิมโรงเรียนแห่งนี้ก็เป็นที่จับตามองจากฝ่ายความมั่นคงมาโดยตลอดอยู่แล้ว” แต่แม้จะอย่างไรก็ตาม ความผิดที่เกิดขึ้นกับปอเนาะบาลอครั้งนี้ร้ายแรงนัก เพราะอาจถึงขั้นต้องถูกสั่งปิด ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับโรงเรียนอิสลามบูรพา โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามชื่อดังในอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา “กองทัพมีคำสั่งให้พิจารณาปิดโรงเรียนแห่งนี้ เพราะเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ” นั่น คือคำยืนยันของ พ.อ.ชินวัตร แม้นเดช รองผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 15 (รอง ผบ.พล.ร.15) แต่ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 ได้ขอจากทางกองทัพบกว่า จะใช้วิธีการสันติวิธีในการแก้ปัญหา เพราะหากปิดโรงเรียน ก็จะยิ่งสร้างเงื่อนไขให้กลุ่มก่อความไม่สงบนำไปปลุกระดมได้ “ปัญหาใหญ่ที่ผ่านมา คือเมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้น ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐและฝ่ายประชาชนไม่ยอมมาพูดคุยกัน ต่างฝ่ายต่างระแวงกัน มันจึงไม่มีความเข้าใจกันทั้งสองฝ่าย จึงเกิดจินตนาการในทางร้ายใส่กันมาตลอด” พ.อ.ชินวัตร กล่าว นั่นจึงเป็นที่มาของการเสวนา “เปิดใจสร้างสันติสุข โรงเรียนมะอาหัดอิสลามียะห์” เพื่อทำความเข้าใจร่วมกันในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และร่วมกันหาทางป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นมาอีก วันแรกของการเสวนา หลังจากชี้แจงถึงที่มาที่ไปของงานแล้ว จึงต่อด้วยการบรรยายเรื่องพัฒนาการของขบวนการก่อความไม่สงบนับตั้งแต่เริ่มจนถึงปัจจุบัน พร้อมกับยกตัวอย่างเหตุการณ์ต่างๆ รวมทั้งหลักคำสอนทางศาสนาอิสลาม ที่หักล้างคำปลุกระดมของขบวนการ ขณะเดียวกัน ก็เปิดเผยข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับการเข้ามาของขบวนการก่อความไม่สงบในปอเนาะ โดยผู้เข้าร่วมฟังอย่างตั้งใจ วันที่สองบรรยากาศยังเต็มไปด้วยความตึงเครียด ผู้เข้าร่วมยังอยู่กันอย่างครบครัน และยิ่งตรึงเครียดขึ้นไปอีก เมื่อฝ่ายทหารได้เปิดเผยข้อมูลลับอันเป็นข้อสงสัยต่อบุคลากรและศิษย์เก่าของโรงเรียนทั้งมีอยู่และไม่ได้เข้าร่วมในห้องเสวนา “สิ่งที่ผมบอก เป็นการกล่าวหาพวกท่าน ซึ่งอาจไม่ถูกต้องทั้งหมด หลังจากนั้นผมจะให้พวกท่านกล่าวหาพวกผมบ้าง” พ.ท.อิศรา กล่าวขึ้นในที่วงเสวนา จากนั้นในช่วงบ่าย เป็นการเปิดโอกาสผู้เข้าร่วมทุกคนได้อธิบายเรื่องราวต่างๆ ที่แต่ละคนถูกกล่าวหาที่ละคน โดยส่วนใหญ่แสดงความเห็นว่า แต่ละคนไม่ได้รับรู้เรื่องทั้งหมด รู้คนละนิดคนละหน่อย มากบ้างน้อยบ้าง แม้ว่าบางคนยอมรับว่า เคยถูกเจ้าหน้าที่ปิดล้อมตรวจค้น หรือถูกเชิญตัวในฐานะผู้ต้องสงสัย เป็นต้น ในช่วงนี้บรรยากาศเริ่มคลายเครียดมากขึ้น ในขณะที่หลายคน แสดงความรู้สึกที่มีต่อปอเนาะบาลอ โดยเฉพาะหากต้องถูกสั่งปิด จะทำให้รู้สึกเหมือนขาดที่พึ่ง เพราะปอเนาะเปรียบเสมือนจิตวิญญาณของชุมชนมุสลิมในพื้นที่ พร้อมยืนยันว่า จะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำอีกแล้ว อุสตาซคนหนึ่ง เล่าว่า ต้องยอมรับว่า เด็กนักเรียนปอเนาะบาลอบางส่วนที่ไปเกี่ยวข้องกับความไม่สงบนั้น มาจากการถูกปลูกฝังอุดมการณ์ แต่อีกส่วนก็ต้องยอมรับว่า เกิดจากความผิดพลาดของรัฐเอง ที่เคยใช้มาตรการตาต่อตาฟันต่อฟันเด็กจึงเกิดความแค้นต่อสิ่งที่รัฐกระทำต่อครูของพวกเขา “นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นมาในอดีต แต่ก็ยังแก้ไขไม่ได้ ดังนั้นเราต้องมาร่วมกันคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะไม่ให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นมาอีก” อุสตาซรายนี้ กล่าว ส่วนอดีตอุสตาซอีกคน ซึ่งเคยหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ เล่าว่า คนที่หลบหนีอยู่ในตอนนี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากความกลัวและไม่มั่นใจต่อกระบวนการยุติธรรม ส่วนเรื่องความเชื่อในอุดมการณ์นั้น ถือเป็นความคิดเห็นส่วนตัว ซึ่งยากจะไปบังคับพวกเขาไม่ให้เชื่อได้ “เด็กปอเนาะบางคนที่มีอุดมการณ์ ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา มันก็คล้ายกับเด็กทางตอนบนของประเทศที่มีอุดมการณ์แบ่งสี เหลือง – แดง แต่จะทำยังไงให้พวกเขาไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับความรุนแรง นี่คือสิ่งที่เราต้องมาคิด” อุสตาซรายนี้ ระบุ วันสุดท้าย หลังจากเปิดใจพูดคุยเปิดใจกันแล้ว ฝ่ายทหารได้ย้ำกับบุคลากรปอเนาะบาลออีกครั้งว่า ว่าต้องไม่เกิดเรื่องราวลักษณะนั้นขึ้นมาอีกในบริเวณปอเนาะและขอให้คำมั่นสัญญาว่าจะร่วมกันพัฒนาชาติไทยให้รุ่งเรืองสืบต่อไป ทางฝ่ายบุคลากรปอเนาะบาลอ ต่างให้คำมั่นสัญญาว่า จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับขบวนการก่อความไม่สงบเด็ดขาด พร้อมทั้งขอร้องทั้งน้ำตาว่า จะไม่ให้ปอเนาะถูกเด็ดขาด เพราะเป็นห่วงอนาคตของนักเรียน ก่อนจบงาน นายรุสดี บาเกาะ ผู้อำนวยการโรงเรียนมะอาหัดอิสลามมียะห์และเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้กล่าวทั้งน้ำตาอย่างน่าสนใจว่า “ผมในฐานะผู้บริหารปอเนาะ เปรียบเสมือนยืนอยู่ระหว่างเขาควาย ต้องระวังจากทั้งฝ่ายรัฐและฝ่ายก่อความไม่สงบ กับฝ่ายรัฐก็กลัวว่าจะถูกมองว่า เราให้ความร่วมมือกับกลุ่มก่อความไม่สงบ ส่วนฝ่ายก่อความไม่สงบก็กลัวจะมองเราว่าเป็นสายลับให้ทางการ นี่คือความยากลำบากของเราในวันนี้” พ.ท.อิศรา เปิดเผยว่า ปอเนาะบาลอถูกตั้งข้อสงสัยมาหลายปีแล้วว่า มีส่วนพัวพันกับเหตุการณ์ไม่สงบ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ฝ่ายทหารได้มาจากทั้งผู้ถูกควบคุมตัว ผู้ที่มอบตัวและผู้ที่ออกมาแสดงความบริสุทธิ์บ้าง จากเหตุการณ์คนร้ายปล้นรถแล้วนำเข้าไปในบริเวณปอเนาะบาลอ และทิ้งหลักฐานบางส่วนนั้น ทางหน่วยงานความมั่นคงวิเคราะห์ร่วมกันว่า ผู้บริหารปอเนาะไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่คนร้ายอาจมีความขัดแย้งบางอย่างกับคนในปอเนาะ จึงพยายามก่อเหตุเพื่อลดความน่าเชื่อถือของปอเนาะ “เราได้เรียนเชิญบุคคลากรของปอเนาะบาลอมาร่วมพูดคุยเปิดใจกันอย่างตรงไปตรงมา เพื่อจะร่วมกันแก้ปัญหา ซึ่งงานนี้จะเป็นต้นแบบในการแก้ปัญหากรณีที่สถาบันการศึกษาถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความไม่สงบ” “เราไม่คิดที่จะปิดปอเนาะบาลอ แต่เราต้องมาคิดว่าจะเอาสิ่งไม่ต้องการออกไปอย่างไร” พ.ท.อิศรา กล่าว แนวคิดหนึ่งของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ที่จะเอาสิ่งไม่ต้องการออกไป และป้องกันไม่ให้สิ่งไม่ดีเข้ามา คือ การตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างปอเนาะ ชุมชน ผู้นำท้องถิ่นและฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ ในการพิจารณาคัดเลือกบุคคลที่จะเข้ามาเป็นบุคลากรของโรงเรียน โดยเฉพาะอุสตาซ อุสตาซ คือ เป้าหมายหลักของการสกรีนคนเข้าปอเนาะที่จะมีขึ้นต่อไปหลังจากนี้

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net