สังคมดัดจริตดีดดิ้น, ปากว่าตาขยิบ, เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง, ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง, ฯลฯ
แค่เด็กสาว 3 คนที่มีพฤติกรรมตามการหล่อหลอมของสังคมเองที่กระตุ้นให้เปิดอก อวดนม บนถนน (ย่านค้าโลกีย์ของผู้ดีส้นตีนแดง ตะแคงตีนเดิน) ก็ตีอกชกหัวจะเป็นจะตาย พากันลงโทษเด็กว่าทำลายอะไรต่อมิอะไรที่ผู้ใหญ่เฮงซวย จะรังสรรค์สำรากออกมาให้หรูๆ แต่ไม่ยอมพูดความจริงว่าสิ่งระยำอัปรีย์ที่มีในสังคมกรุงเทพฯ ล้วนเป็นของผู้ดี มีอำนาจสร้างไว้ ได้ทำลายผู้คนสังคมไทยมานานนักหนา แล้วยังทำลายอยู่และจะทำลายต่อไป
นิตยสารไทม์ออนไลน์ ให้ความสำคัญกรณีเด็กสาว 3 คน เปลือยอกเต้นโชว์นม ในงานสงกรานต์ บนถนนสีลม ถูกสังคมคนชั้นนำ เช่น รัฐมนตรี, ปลัดกระทรวง, ฯลฯ ประณามว่าดูหมิ่นวัฒนธรรมอันดีงามของไทย เป็นเรื่องน่าละอายต่ออารยประเทศ จึงเสนอบทความแสดงความคิดเห็นของนักเขียนต่างชาติคนหนึ่ง (มีคำแปลสรุปย่ออยู่ในคอลัมน์โลกมองไทย ของ โพสต์ ทูเดย์ ฉบับวันจันทร์ที่ 25 เมษายน 2554 วิเคราะห์เศรษฐกิจ หน้า 3) ตอบโต้คนชั้นนำของไทย มีใจความสรุปว่า
ที่พวกดัดจริตดีดดิ้นโทษเด็กสาว 3 คน สร้างภาพลักษณ์ไม่ดีให้ไทย จึงไม่เป็นความจริง
เพราะที่จริงแล้วพวกดัดจริตดีดดิ้นนั่นแหละ ทำภาพลักษณ์ระยำให้ไทยมานานมาก นับตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจ ของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้นมา เห็นได้จากซ่องถูกต้องตามกฎหมายในนาม อาบ อบ นวด มีทั่วประเทศ ไม่เว้นแม้กระทั่งข้างวัดและหน้าโรงเรียน
วันนั้นเด็กสาว 3 คน อยู่ท่ามกลางฝูงชนเล่นสาดน้ำสงกรานต์ ประเพณีสงกรานต์ที่มีมาแต่แรกเริ่มหลายพันปีมาแล้ว ยกย่องเป็น“เทศกาลปลดปล่อย”ทุกคนละเมิดข้อห้ามได้ ไม่ถือเป็นผิด แต่ต้องไม่ทำร้ายให้คนอื่นเดือดร้อนทางร่างกาย เช่น
เคยกราบพระทั้งปี ผู้หญิงถูกต้องตัวพระสงฆ์ถือเป็นบาป ครั้นถึงสงกรานต์จะพากันจับพระโยนลงน้ำก็ได้ ทุกวันนี้ยังมีในบ้านนอกทางอีสาน ตอนผมเป็นเด็กบ้านนอกยังเห็นสาวแก่แม่หม้ายจับพระมัดต้นเสาหน้าร้าน แล้วเอามือล้วงในสบงถอนขนเพชรเพื่อเรียกค่าไถ่แลกเหล้า
เจ้าคุณอนุมานราชธน เขียนเล่าว่าพระเณรแข่งเกวียน, แข่งควาย, แข่งเรือ ก็มีเล่นสาดน้ำสงกรานต์ก็ได้ ล่าสุดยังมีทั่วไปในล้านนาและสิบสองพันนา
ครั้งนั้นไม่มีใครดัดจริตดีดดิ้นประณามใคร เพราะ“ความเป็นไทย”แบบฉวยโอกาส เอารัดเอาเปรียบ ตอนนั้นยังไม่มีหรือมีน้อย จึงมีแต่“ความเป็นคน”ปกติธรรมดา