นักวิชาการชี้ 9 ข้อประชาวิวัฒน์ ลดรายจ่าย แต่ยังไม่เพิ่มรายได้

 
ในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ ประจำวันที่ 9 ม.ค.54 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงรายละเอียดโครงการเร่งรัฐปฏิบัติการด่วนเพื่อคนไทย (โครงการประชาวิวัฒน์) เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน จำนวน 9 ชิ้น หรือ 9 แผนปฏิบัติการ และจะนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 11 มกราคมนี้ โดยจะใช้งบประมาณกว่า 2,000 ล้านบาท โดยคาดว่าประโยชน์ที่จะเกิดกับประชาชนมีมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท
 
เว็บไซต์คมชัดลึกรายงานว่า นายพิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์ภายหลังที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศรายละเอียดโครงการเร่งรัฐปฏิบัติการด่วนเพื่อคนไทยเพื่อมอบเป็นของขวัญ 9 ข้อให้กับคนไทย ว่าสิ่งที่นายกฯประกาศนั้น ไม่ได้แก้ปัญหาให้กับประเทศ แต่เป็นเพียงการแบ่งเบาภาระ ซึ่งหวังผลทางการเมือง เนื่องจากการทำงานของรัฐบาลถือว่าเป็นช่วงสุดท้าย อย่างไรก็ตามโครงการดังกล่าวก็มีจุดดี คือ ให้บุคคลที่ประกอบอาชีพอิสระสามารถเข้าสู่ระบบสวัสดิการสังคมได้ แต่ยังไม่เห็นรายละเอียดว่ามีความแตกต่างจากระบบประกันสุขภาพ หรือ บัตรทองอย่างไรบ้าง
“โครงการดังกล่าวยอมรับว่าเน้นในส่วนของภาคเศรษฐกิจ ให้คนได้ประโยชน์ในระยะสั้น คือ มีความมั่นคง แม้จะตกงานแต่ก็ยังมีระบบที่ดูแล แต่ในระยะยาวบุคคลที่ลงทะเบียนเพื่อยอมรับการเข้าสู่ระบบประกันสังคมจะหลีกเลี่ยง หรือ หลบเลี่ยงการที่รัฐเข้าไปแทรกแซงจัดเก็บรายได้ไม่ได้ ดังนั้นประชาชนที่ต้องการมีหลักประกันทางด้านเศรษฐกิจ ก็ต้องยอมรับการถูกแทรกแซง การจัดระเบียบโดยภาครัฐมากขึ้น” นายพิชญ์ กล่าว
นายพิชญ์ กล่าวอีกว่า ส่วนนโยบายการตรึงค่าแก๊ซหุงต้ม หรือไม่เก็บค่าไฟครัวเรือนที่ใช้ไฟไม่เกินกำหนด ถือว่าเป็นคนละเรื่องกับการส่งเสริมโอกาสทางด้านเศรษฐกิจ เพราะไม่ได้ช่วยให้เศรษฐกิจโต แม้ประชาชนจะลดรายจ่าย แต่ไม่สามารถหาเงินเข้ากระเป๋าเพิ่มขึ้น ที่สำคัญกลุ่มเป้าหมายไม่ใช่ฐานการเมืองพรรคประชาธิปัตย์โดยตรงดังนั้น ประเด็นนี้ประชาชนจึงคิดว่าสิ่งที่รัฐบาลประกาศเป็นสิทธิ์ที่ประชาชนควรได้รับ แต่ถูกพรากไปตั้งแต่มีการทำรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549
       
ผู้สื่อข่าวถามว่ามองว่าโครงการของรัฐบาลจะช่วยส่งผลให้พรรคประชาธิปัตย์ชนะเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ นายพิชญ์ กล่าวว่าไม่ได้ช่วยให้พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกจากประชาชนมากขึ้น เพราะการขับเคลื่อนนโยบายจริงๆ ก็มีส่วนจากพรรคการเมืองอื่นด้วย แม้ว่ารัฐบาลจะอ้างว่าเป็นผลงานของพรรคประชาธิปัตย์ก็ตาม
        
“พท.”เย้ยรัฐแจกของขวัญ 9 ชิ้นต่อยอดเอื้ออาทร
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงเกี่ยวกับของขวัญ 9 ชิ้นให้กับประชาชนตามโครงการประชาวิวัฒน์ว่า พรรคเพื่อไทยเห็นว่าไม่ได้มีอะไรใหม่ๆให้กับประชาชนเลย เพราะสิ่งที่รัฐบาลทำออกมานั้น ไม่ได้แตกต่างจากโครงการเอื้ออาทรของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อีกทั้งยังเป็นโครงการที่ทำเพื่อการซื้อเสียงอย่างชัดเจน เหมือนเป็นการซื้อเสียงล่วงหน้าเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการขยายระบบประกันสังคมภาคสมัครใจให้แรงงานนอกระบบจำนวน 24 ล้านคน เปิดโอกาสให้แรงงานนอกระบบ จัดทำโครงการมอเตอร์ไซค์อาสาสมัครพิทักษ์เมือง เพิ่มจุดผ่อนผันให้ผู้ค้าหาบเร่แผงลอยกว่า 20,000จุด หรือการให้คนไทยกว่า 9 ล้านครัวเรือนทั่วประเทศจะมีโอกาสใช้ไฟฟ้า 90 หน่วยแรกต่อเดือน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการซื้อเสียงเท่านั้น
นายพร้อมพงศ์ กล่าวอีกว่า โครงการที่รัฐบาลพยายามทำนั้น เป็นสิ่งที่รัฐบาลควรที่จะทำมาตั้งแต่ 2 ปีก่อนหน้านี้แล้ว แต่เพิ่งจะมาคิดที่จะทำ ตนจึงอยากถามว่า 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลเอาเวลาไปทำอะไร แทนที่จะมาคิดว่า ประชาชนและนักท่องเที่ยวในกรุงเทพฯรวมกว่า 10 ล้านคนจะได้รับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมากขึ้น ทั้งนี้พรรคเพื่อไทยได้ทำการตรวจสอบความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ภาคใต้นั้นกำลังประสบกับภาวะทุกข์ร้อน จากกรณีที่มีน้ำท่วมสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาล ทั้ง ๆ ที่รัฐบาลก็มีบทเรียนจากเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อปี 2553 มาแล้ว แต่ขณะนี้รัฐบาลทำนิ่งเฉย เพราะมัวแต่พยายามหาเสียง
ส่วนกรณีที่เมื่อวันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมาได้เกิดเหตุระเบิดห้องสมุดภายในโรงเรียนเปรม ติณสูลานนท์ อ. น้ำพอง จ.ขอนแก่น ทำให้ทรัพย์สินได้รับความเสียหายนั้น นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า ตนคิดว่าเป็นเหตุการณ์ที่ต้องเชื่อมโยงให้เกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดง เพราะจังหวัดขอนแก่นถือเป็นพื้นที่ ๆ มีคนเสื้อแดงอยู่เยอะ เพราะฉะนั้นตนจึงต้องการให้นายกฯทำการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง อย่าปล่อยให้เรื่องเงียบไปเหมือนกับเหตุการณ์ระเบิดในอดีตอีก
 “ปชป.” โอ่ของขวัญ9ข้อแก้ทุกข์คนไทยได้
ด้านนพ.บูรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ถือเป็นสัญญาประชาคมที่พรรคจะนำไปใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง เบื้องต้นเชื่อว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถแก้ไขปัญหาที่คั่งค้าง และความทุกข์ยากให้กับประชาชนได้ ซึ่งต่างจากรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยที่มีเวลาทำงานถึง 3 ปีแต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆได้ ทั้งนี้พรรคขอสนับสนุนให้รัฐบาลประกาศรับรองโครงการเร่งรัฐบาลด้วยการเห็นชอบเป็นมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 11 ม.ค. นี้
        
นพ.บุรณัชย์ แถลงอีกว่า กรอบเวลาดำเนินโครงการที่ตั้งเป้าไว้ 6 เดือนนั้น เบื้องต้นจะเริ่มต้นโครงการแรกได้ภายในวันที่ 18 ม.ค.นี้ นอกจากนั้นรัฐบาลได้วางกรอบให้แล้วเสร็จแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ 1. ภายในเดือนแรก เรื่องค่าไฟและปัญหาอาชญากรรมจะเห็นผลทันที 2. ระยะ 3-4 เดือนจะเห็นผลในส่วนให้สินเชื่อ กับผู้ค้าหาบเร่แผงลอย แท็กซี่ วินมอร์เตอร์ไซค์ และ 3. ระยะ 6 เดือนเรื่องขยายประกันสังคม กองทุนน้ำมัน ต้นทุนราคาสินค้าเกษตร จะเห็นผลในที่สุด
        
ด้านนายอรรถวิชย์ สุวรรณภักดี รองโฆษกพรรคประชาธิป้ตย์ด้านเศรษฐกิจ แถลงย้ำว่า ของขวัญของรัฐบาลสามารถได้ผลตอบแทนมากถึงร้อยละ 13 เมื่อเปรียบเทียบกับเม็ดเงินลงทุน 2,000 ล้านบาท หรือได้มากถึง 2.6 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ประชาชนชั้นกลางจะไม่ได้รับผลกระทบ ยกตัวอย่างคือ การใช้ไฟฟ้าต่ำกว่า 90 หน่วย ที่จะประกาศเป็นมาตรการถาวรตั้งแต่เดือนก.พ.นี้ ชนชั้นกลางที่ใช้ไฟในภาคครัวเรือนปกติก็จะเสียค่าไฟฟ้าในอัตราเท่าเดิม แต่ยอมรับว่าภาคอุตสาหกรรมจะมีผลกระทบ ภายหลังจากเดือนพ.ค.ที่การไฟฟ้าฯ จะมีปรับการคำณวนค่าเอฟทีใหม่ ทั้งนี้การติดตามผลการทำงานจะมีคณะทำงานเพื่อติดตามและรายงานผลตรงไปยังนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีทุกสัปดาห์
        
ผู้สื่อข่าวถามว่าโครงการเร่งรัฐฯ เป็นนโยบายหาเสียงใช่หรือไม่ นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่าเป็นการแก้ไขปัญหาที่คั่งค้าง ส่วนผลการขับเคลื่อนทิศทางแก้ไขปัญหาประชาชนจะตอบรับหรือพอใจ ก็คาดว่าจะส่งผลต่อมาในการรณรงค์หาเสียง ส่วนจะทำสำเร็จหรือไม่ อยากให้ลองไปสอบถามกลุ่มเป้าหมาย เช่น วินมอร์เตอร์ไซต์ ผู้ค้าหาบเร่ แท็กซี่ดูว่าปัญหาได้รับการแก้ไขหรือไม่
 
ทั้งนี้ สำหรับรายละเอียดของโครงการประชาวิวัฒน์ นายกฯ กล่าวว่า นโนบายดังกล่าว เป็นการทะลุทะลวงระบบราชการโดยได้มีการเชิญทุกหน่วยงาน มีเจ้าหน้าที่กว่า 70 คนจาก 30 หน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ และมีทั้งท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ กรุงเทพมหานคร ซึ่งจะเป็นผู้นำร่องในหลายนโยบาย และมีภาคเอกชนเข้ามาร่วมกันทำงานแบบเต็มเวลาร่วมกันเป็นเวลาถึง 5 สัปดาห์ ก่อนเข้าไปพบและสัมภาษณ์ประชาชนกลุ่มเป้าหมายกว่า 1,000 คนตลอดระยะเวลากว่า 1 เดือน หลังโครงการต่างๆ เริ่มต้นก็จะมีคณะทำงานติดตามตรวจสอบด้วย
 
“แนวคิดในการแก้ไขปัญหาทั้ง 3 เรื่องนี้ในครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องของการที่จะมีการทุ่มเงินงบประมาณไปลด แลก แจก แถม ให้แก่พี่น้องประชาชน ตรงกันข้าม ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาในเชิงโครงสร้าง เป็นปัญหาในเชิงความเป็นธรรม ความเหลื่อมล้ำอย่างแท้จริง ซึ่งคือหัวใจของปัญหาที่เราพูดถึงว่าเป็นที่มาของความจำเป็นในการปฏิรูปประเทศไทย” อภิสิทธิ์กล่าว
 
9 แผนปฏิบัติการมีดังนี้
 
1.ระบบประกันสังคม
ปรับกฏระเบียบที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายประกันสังคม ให้ผู้ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคมเข้าสู่ระบบประกันสังคม โดยการสมทบเงินไม่เกินเดือนละ 100 บาท โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์การชดเชยรายได้เมื่อเจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต ในกรณีที่จ่าย 70 บาท รัฐบาลสมทบ 30 บาทก็จะได้ 3 เรื่องนี้ แต่หากเป็นกรณีที่จ่าย 100 บาท รัฐบาลสมทบ 50 บาทก็จะได้สิทธิในเรื่องของบำเหน็จชราภาพด้วย
 
ขณะเดียวกันจะมีการประสานงานกับผู้ที่กำลังทำกฎหมายกองทุนเงินออมแห่งชาติว่า การเข้ามาสู่ระบบประกันสังคมแบบใหม่ตรงนี้ ไม่ตัดสิทธิ์สำหรับประชาชนที่สนใจจะเข้าไปอยู่ในกองทุนเงินออมแห่งชาติ
 
“หมายความว่าเรากำลังเปิดโอกาสให้มีระบบการออมและสวัสดิการทางเลือก สำหรับพี่น้องประชาชนในแรงงานนอกระบบทั้งหมด” อภิสิทธิ์ กล่าว
 
2.การเข้าถึงสินเชื่อของคนขับแท็กซี่-ผู้ค้าแผงลอย
โครงการนำร่องสินเชื่อพิเศษ เปิดโอกาสให้การกลุ่มแท็กซี่มืออาชีพที่มีประสบการณ์มากกว่า 3 ปีเป็นเจ้าของรถแท็กซี่ใหม่โดยผ่อนเงินดาวน์ต่ำสุด 5% โดยมีวงเงินสินเชื่อรวม 1,600 ล้านบาท ทำให้แท็กซี่สามารถผ่อนรถได้ถูกกว่าเช่า
โครงการลักษณะเดียวกันนี้จะทำกับผู้ค้าหาบเร่แผงลอยในจุดผ่อนผันใน กทม. ด้วยให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ในอัตราที่มีความเป็นธรรม มีความผ่อนปรน
 
“งบประมาณตรงนี้ไม่มีภาระงบประมาณ เพราะว่าเป็นเรื่องของสถาบันการเงินของรัฐ และที่มีความวิตกหวั่นเกรงกันว่าถ้าจะมีเป็นภาระของรัฐก็คือกรณีของหนี้เสีย จริง ๆ แล้วจากการที่เราคัดกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้ เรามีความมั่นใจครับว่าบุคคลเหล่านี้นั้นเป็นบุคคลซึ่งมีรายได้ที่มีความชัดเจนอยู่แล้ว แทนที่เขาจะกลายเป็นหนี้เสีย เรากลับมั่นใจว่าสถาบันการเงินของรัฐที่เข้ามาร่วมในโครงการนี้จะมีลูกค้าดีเพิ่มขึ้น ซึ่งก็จะเป็นกรณีที่เราได้มีประสบการณ์แล้วกับการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ซึ่งเคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ที่เราสามารถโอนหนี้จากนอกระบบเข้ามาสู่ในระบบ ซึ่งทำให้คนที่เคยเป็นหนี้นอกระบบได้ลดภาระต่าง ๆ มากมาย แล้วขณะเดียวกันก็กลายมาเป็นลูกค้าที่ดีของสถาบันการเงินเหล่านี้” อภิสิทธิ์กล่าว
 
3.จัดระเบียบมอเตอร์ไซด์รับจ้าง
หลังเคยมีการขึ้นทะเบียนมอเตอร์ไซค์รับจ้างไว้ ยังมีจำนวนมากประกอบการไม่ถูกต้องตามกฎหมายและยังมีการจ่ายส่วยนอกระบบ จึงจะมีการขึ้นทะเบียน จัดระบบ ออกบัตรประจำตัว ให้เลขในทะเบียน เสื้อวิน หมวกนิรภัยสอดคล้องกันทั้งหมดเพื่อนำไปสู่การพัฒนาระบบสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์ในอนาคต นอกจากนี้ยังจะจัดการกับสภาพแวดล้อมในการทำงานหรือความปลอดภัยในการขับขี่ด้วย
 
4.เพิ่มจุดผ่อนปรน จัดโซนหาบเร่แผงลอย
หากมีการผ่อนผันเพิ่มเติมก็ต้องไม่ไปกระทบกระเทือนสร้างความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องประชาชนที่ใช้ทางเท้าสัญจรไปมาในบริเวณต่าง ๆ เหล่านั้น หลังจากการสำรวจเห็นว่าน่าจะสามารถดำเนินการเพิ่มจุดผ่อนผันได้ประมาณ 20,000 รายที่มีการค้าการขายอยู่สามารถทำได้แบบถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากนี้ในหลายพื้นที่โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครเอง โดยจะดำเนินการในเรื่องของการพัฒนาจุดที่เป็นจุดท่องเที่ยวเดิม โดยแบ่งเป็นย่านขายสินค้าต่างๆ ที่มีเชื่อเสียงประจำย่านนั้นๆ โดยจะมีการจัดระบบระเบียบเพื่อส่งเสริมให้เป็นลักษณะของการเป็นเสน่ห์ของเมืองเช่นเดียวกัน สามารถดำเนินการเห็นผลได้ตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2554
 
5.ยกเลิกตรึงราคา LPG ภาคอุตสาหกรรม
ปัญหาขณะนี้เป็นผลมาจากภาระของกองทุนน้ำมัน  การเก็บเงินจากผู้ที่ใช้น้ำมันส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเพื่อมาอุดหนุนในบางเรื่อง เรื่องสำคัญที่สุดที่เป็นรายการของการอุดหนุนก๊าซหุงต้ม หรือ LPG หลังตรวจสอบแล้วว่าหลังจากตรึงราคา LPG เพื่อให้ประชาชนที่ใช้ก๊าซหุงต้มในราคาที่เป็นธรรม เพราะก๊าซธรรมชาติก็เป็นทรัพยากรของคนทั้งประเทศ แต่เมื่อไปตรึงราคากดราคาให้ต่ำนี้ก็ไปจูงใจให้เกิดการเติบโตในการใช้ LPG ในภาคอุตสาหกรรม จึงจำเป็นที่จะต้องมีการนำเข้า LPGและชดเชยราคาที่เป็นส่วนต่างระหว่าง LPG ที่นำเข้ากับราคาที่ถูกตรึงเอาไว้ในประเทศ  กระทรวงพลังงานและคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติมีการปรับแรงจูงใจไปส่วนหนึ่ง แต่ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2554 จะดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบในการเลิกอุดหนุน LPG สำหรับภาคอุตสาหกรรม ภาคอุตสาหกรรมจะได้ใช้ LPG ในราคาตลาด ส่วนภาคครัวเรือนและขนส่งจะมีการตรึงราคาไว้เหมือนเดิม ซึ่งจะสามารถที่จะประหยัดการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันได้ถึง 7,300 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ฐานะของกองทุนน้ำมันดีขึ้นสามารถดูแลให้ประชาชนไม่ต้องซื้อดีเซลแพงกว่า 30 บาทไปจนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์
 
6.คนจนใช้ไฟฟรีถาวร ปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียมรายใหญ่
การดำเนินการต่อเนื่องจากเรื่องของการใช้ไฟฟ้าฟรีในปัจจุบันสำหรับ 9.1 ล้านครัวเรือน โดย 8.5 ล้านอยู่ในชนบท แต่มาตรการนี้เป็นมาตรการซึ่งจะต้องเป็นภาระกับผู้เสียภาษีอากรเนื่องจากเงินงบประมาณไปชดเชยให้กับการไฟฟ้า ต่อไปนี้เราจะทำให้ไฟฟ้าสำหรับประชาชนที่ใช้ต่ำกว่า 90 หน่วยนั้นฟรีแบบถาวรโดยไม่ใช่ภาษีอากร แต่จะปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียม
 
“ในประเทศในอาเซียนด้วยกัน โครงสร้างของค่าไฟเขาจะเก็บเงินจากคนที่ใช้ไฟมากในอัตราที่สูงกว่าค่อนข้างมาก ในขณะที่โครงสร้างอัตราค่าธรรมเนียมไฟฟ้าของประเทศไทยนั้นค่อนข้างที่จะอยู่ในแนวราบ คือ จะใช้มากใช้น้อยก็จะเก็บอยู่ในอัตราซึ่งไม่แตกต่างกันมากนัก พอเราไปปรับโครงสร้างตรงนี้ ผู้ที่ใช้ไฟเยอะ ๆ ซึ่งพูดจริง ๆ แล้วคนเหล่านี้คือคนที่ทำให้เราต้องเอาเงินไปลงทุนในเรื่องของการจัดหาพลังงานไฟฟ้ามาค่อนข้างมากนี้ ก็จะเป็นผู้ที่จะต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้น เพื่อเอาเงินในส่วนนั้นมาช่วยให้กับพี่น้องประชาชนที่ใช้ไฟน้อย แต่ว่าเราได้คำนวณดูแล้วโดยเฉพาะกับเรื่องของแนวโน้มของค่าเอฟทีที่จะอยู่ในเดือนพฤษภาคมนี้ มั่นใจว่าภาคอุตสาหกรรมที่ใช้ไฟในจำนวนมากก็จะไม่ได้จ่ายค่าไฟเพิ่มขึ้น เพียงแต่ว่าอาจจะไม่ได้ประโยชน์จากการลดลงค่าเอฟทีในรอบต่อไป”  นายกฯ กล่าว
 
7.ลดต้นทุนภาคการเกษตร โดยเฉพาะอาหารสัตว์และพ่อพันธุ์แม่พันธุ์
ใช้แนวทางของการดูแลในเรื่องของการใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขันทางการค้า วิเคราะห์เจาะลึกลงไปถึงต้นทุนในส่วนต่าง ๆ ในองค์ประกอบต่าง ๆ แล้วก็จะทำให้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้น  เพราะรายเล็กรายน้อยไม่สามารถเข้าถึงปัจจัยการผลิตเหล่านี้อย่างเท่าเทียม เชื่อว่าตรงนี้จะสามารถทำให้ทั้งเกษตรกรที่เป็นผู้ประกอบการรายย่อยมีรายได้เพิ่มขึ้น แล้วก็นำมาสู่การลดต้นทุนและราคาของสินค้าเกษตรที่พี่น้องประชาชนส่วนใหญ่บริโภค ตั้งใจให้เห็นผลเดือนกรกฎาคม 2554
 
 
8.ข้อมูลราคาอาหาร-ไข่ไก่ขายเป็นกิโล
จะมีการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับต้นทุนราคาต่าง ๆ ให้ประชาชนอย่างทั่วถึงเท่าเทียมมากยิ่งขึ้น อาจจะมีการให้บริการไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์หรือมีสถานีโทรทัศน์ เพื่อให้พี่น้องประชาชนที่เป็นผู้บริโภคทั้งประเทศสามารถรับรู้รับทราบถึงการเคลื่อนไหวของราคาต้นทุนต่าง ๆ เพื่อจะไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากการค้าขายในเรื่องของสินค้าอุปโภคบริโภค
 
ในส่วนของไข่ไก่บ ก็จะมีการทดลองการที่จะซื้อขายกันเป็นกิโล ซึ่งจะเป็นการประหยัดต้นทุนในเรื่องของการคัดแยกไป อาจจะประหยัดได้ระหว่าง 5 - 10 สตางค์ เพื่อที่จะให้พี่น้องประชาชนที่เป็นคนยากคนจนนั้นมีทางเลือกในการซื้อไข่แบบซื้อเป็นกิโล ซึ่งขณะนี้ก็จะมีการทดลองนำร่องที่เขตมีนบุรี กับที่รังสิต
 
9.ลดอาชญากรรมในกรุงเทพ 20% ใน 6 เดือน
มีการวิเคราะห์จุดเสี่ยง จุดอันตราย หากได้รับการสนับสนุนและดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษแล้ว ก็จะสามารถลดเรื่องของอาชญากรรมต่าง ๆ ได้ จึงจะประกาศเป็นเป้าหมายชัดเจนว่าภายใน 6 เดือนในกรุงเทพมหานครนั้น เรื่องของคดีอาชญากรรมต่าง ๆ นั้นจะต้องลดลง 20 เปอร์เซ็นต์ อันนี้จะเริ่มต้นตั้งแต่เดือนมกราคมนี้
แนวทางที่เราจะทำส่วนหนึ่งคือการกำหนดจุดเสี่ยงมากที่สุด 200 กว่าจุด และในบริเวณเหล่าจะมีการบูรณาการในเรื่องของระบบของกล้องวงจรปิด จากทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน รวมไปจนถึงการเพิ่มบุคลากรในเรื่องของการตรวจตราพื้นที่เหล่านี้ ซึ่งจะไปสอดคล้องกับแนวทางในเรื่องของการปฏิรูปตำรวจ ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมซึ่งกำลังจะใช้อาสาสมัครอีกหลายรูปแบบเข้ามาช่วยกันทำงานในเรื่องนี้ ใช้เงินงบประมาณประมาณ 200 - 300 ล้านบาทเท่านั้น
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท