Submitted on Wed, 2010-12-01 17:41
ในงานสัมมนาวิชาการประจำปี 2553 ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยเรื่อง “การลดความเหลื่อมล้ำและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ” ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านการบริหารจัดการระบบเศรษฐกิจ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)ได้นำเสนอบทความวิจัยหัวข้อ การสร้างโอกาสด้านเศรษฐกิจ : โอกาสสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก-ขนาดกลาง โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
|
ข้อมูลของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแสดงว่าในปี พ.ศ. 2552 มีวิสาหกิจในประเทศไทยทั้งหมด 2,832,651 ล้านราย จากจำนวนดังกล่าวเป็นวิสาหกิจขนาดย่อมตามนิยามที่กำหนดโดยประกาศของกระทรวงอุตสาหกรรม พ.ศ. 2545 [1] ถึง 2,819,547 เป็นวิสาหกิจขนาดกลางเพียง 8704 รายและขนาดใหญ่ 4388 ราย นอกจากนี้แล้ว ข้อมูลดังกล่าวยังแสดงว่า จากจำนวนวิสาหกิจทั้งหมด เพียงร้อยละ 20 หรือประมาณ 5 แสนกว่ารายจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ที่เหลือเป็นกิจการขนาดเล็ก ซึ่งอาจดำเนินการในลักษณะของคณะบุคคลหรืออาจเป็นกิจการนอกระบบที่ไม่ได้นำรายได้มาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คณะบุคคล หรือนิติบุคคล
นโยบายในการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นนโยบายที่มีมาตลอดทุกรัฐบาลทุกสมัย การศึกษานี้ต้องการที่จะประเมินว่า ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสามารถใช้ประโยชน์จากมาตรการของรัฐที่ให้สิทธิพิเศษทางด้านภาษีและแหล่งเงินทุนมากน้อยเพียงใด โดยมาตรการที่ศึกษามีทั้งหมด 11 รายการ ประกอบด้วยมาตรการในการลดหล่อนภาษีสรรพากร 2 รายการ มาตรการยกเว้นหรือชดเชยภาษีศุลกากร 4 รายการ สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน 2 รายการ มาตรการในการส่งเสริมแหล่งเงินทุน (equity) 2 รายการ และ แหล่งเงินกู้ 1 รายการตามที่ปรากฏในตารางด้านล่าง
|
คุณสมบัติวิสาหกิจที่สามารถใช้สิทธิ
|
จำนวน SME ที่ใช้ประโยชน์ 2552
|
1. การลดหย่อนภาษีนิติบุคล
(พรฏ ตามประมวลรัษฎากรฉบับที่ 431 และ 471)
|
ทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่เกิน 5 ล้านบาท
|
174,990
|
2. การลดอัตราค่าสึกหรอและค้าเสื่อมราคาทรัพย์สิน
(พรฏ ตามประมวลรัษฎากรฉบับที่ 395 และ 473)
|
สินทรัพย์ถาวรไม่รวมที่ดินไม่เกิน 200 ล้านบาท
|
ไม่มีข้อมูล
|
3. สิทธิพิเศษในการส่งเสริมการลงทุนทั่วไป
|
การลงทุนไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาทไม่รวมที่ดินและเงินทุนหมุนเวียน และมีอัตราหนี้สินต่อทุนไม่เกิน 3 ต่อ 1
|
848 (จำแนกตามขนาดของโครงการ)
|
4. สิทธิพิเศษในการส่งเสริมการลงทุนเฉพาะสำหรับ SME ตามประกาศ 6/2546
|
การลงทุนไม่ต่ำกว่า 500,000 ล้านบาทไม่รวมที่ดินและเงินทุนหมุนเวียน และมีอัตราหนี้สินต่อทุนไม่เกิน 3 ต่อ 1
|
20
(ข้อมูลปี 50)
|
5. การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับ venture capitalist
(พรฏ ตามประมวลรัษฎากรฉบับที่ 396)
|
- เป็นธุรกิจหลักทรัพย์ ที่มีทุนจดทะเบียนไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาท
- ต้องลงทุนใน SME ตามสัดส่วนของเงินทุนจดทะเบียนชำระแล้วตามข้อกำหนด
|
0
|
6. การร่วมทุนโดย สสว.
|
เป็น SME ตามนิยามของประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม
|
55
|
7. การให้สินเชื่อโดย ธพว.
|
เป็น SME ตามนิยามของประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม
|
18,789
|
8. ยกเว้นภาษีในการนำเข้าวัตถุดิบเขตปลอดอากร
|
ไม่มีข้อกำหนดใดๆ
|
158 (ข้อมูล ตค 53)
|
9. มาตรา 19 ทวิ
|
ไม่มีข้อกำหนดใดๆ
|
1,423 (ข้อมูล ตค 53)
|
10. ขอชดเชยอากรสินค้าส่งออก
|
ไม่มีข้อกำหนดใดๆ
|
3,092 (ข้อมูล ตค 53)
|
ผลการประเมินพบว่า วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเพียงไม่กี่รายที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ ยกเว้นในกรณีของมาตรการในการลดหย่อนภาษีรายได้นิติบุคคลซึ่งวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมกว่า 1.77 แสนรายที่ยื่นเสียภาษีนิติบุคคลในปี พ.ศ. 2552 ใช้สิทธิเกือบทุกราย เนื่องจากสิทธิพิเศษดังกล่าวไม่มีเงื่อนไขใดๆ ในการใช้ประโยชน์นอกจากขนาดของทุนจดทะเบียนเท่านั้น ในทางตรงกันข้าม การเข้าถึงสิทธิประโยชน์อื่นๆ ล้วนมีข้อจำกัด ในส่วนของมาตรการลดหล่อนภาษีโดยการหักค่าเสื่อมในอัตราที่สูงกว่าปกติยังไม่สามารถประเมินการใช้ประโยชน์ได้เนื่องจากยังไม่มีการเก็บข้อมูลการใช้สิทธิดังกล่าวโดยสรรพากร ในขณะที่สิทธิประโยชน์ในการส่งเสริมการลงทุนนั้นไม่มีการแยกสถิติข้อมูลการส่งเสริมตามขนาดของวิสาหกิจที่ได้รับการส่งเสริมหากแต่มีการจำแนกตามขนาดของโครงการที่ได้รับการส่งเสริมซึ่งส่วนมากเป็นโครงการที่มีวงเงินลงทุนสูง ยกเว้นในกรณีของโครงการส่งเสริมการลงทุนที่มุ่งเป้าเฉพาะสำหรับ SME ซึ่งมีการประกาศใช้ในปี พ.ศ. 2546 นั้นมีผู้ได้รับสิทธิเพียง 20 รายในปี พ.ศ. 2550
ในส่วนของมาตรการยกเว้นหรือชดเชยภาษีศุลกากรนั้น พบว่าวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไม่กี่รายได้รับสิทธิในการยกเว้นภาษีนำเข้าภายใต้ระบบคลังสินค้าทัณฑ์บนหรือเขตปลอดอากร ส่วนมากจะใช้สิทธิในการชดเชยภาษีอากรมากกว่า เนื่องจากต้นทุนในการจัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์ค่อนข้างสูงในขณะที่เขตปลอดอากรมีจำกัด ส่วนมากจะตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมยกเว้นในกรณีของอุตสาหกรรมที่รัฐส่งเสริม เช่น ยานยนต์ สิ่งทอ หรือ อิเล็กทรอนิกส์ ที่มีการประกาศให้เขตโรงงานผลิตเป็นเขตปลอดอากร
วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมส่วนมากใช้สิทธิในการชดเชยอากรตาม พ.ร.บ. ชดเชยภาษีอากรสินค้าส่งออกที่ผลิตในราชอาณาจักร พ.ศ. 2424 หากแต่การชดเชยยังมีปัญหาความล่าช้าในการชดเชยซึ่งมีผลทำให้ SME ขาดสภาพคล่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาของศุลกากรที่ผ่านมาคือการให้ผู้ประกอบการต้องวางเงินค้ำประกันลอย หรือให้บุคคลหรือหน่วยงานเอกชนอื่นค้ำประกันแทนจึงจะได้รับการชดเชยที่รวดเร็วรวมทั้งได้รับสิทธิในการลดอัตราภาษีอีกด้วย เงื่อนไขดังกล่าวสร้างภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมให้แก่วิสาหกิจขนาดย่อมที่มีเงินทุนจำกัด
สุดท้าย ในส่วนของมาตรการในการส่งเสริมแหล่งเงินทุนให้แก่ SME นั้น พบว่ามาตรการที่มุ่งสร้างแรงจูงใจให้บริษัทเอกชนร่วมลงทุนกับ SME โดยให้การลดหย่อนภาษีรายได้นิติบุคคลนั้นล้มเหลวเนื่องจากไม่มีบริษัทรายใดที่สามารถใช้สิทธิประโยชน์ดังกล่าวได้เลยในช่วง 8 ปีผ่านมา ในขณะที่การเข้าไปร่วมลงทุนของภาครัฐเองโดยผ่านสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ผ่านมา 6 ปีมีโครงการที่เข้าไปร่วมทุนเพียง 55 โครงการ และในปัจจุบันยังติดพันกับปัญหาจากการที่โครงการที่เข้าไปร่วมทุน 43 โครงการในช่วงรัฐบาลทักษิณในอดีตนั้นไม่ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรรมการของ สสว. อีกด้วย
มาตรการในการอำนวยความสะดวกแหล่งเงินกู้ผ่านธนาคารเพื่อวิสาหกิจขนาดย่อมนั้นพบว่าเงื่อนไขในการให้สินเชื่อนั้นมีความเข้มงวดไม่ต่างไปจากธนาคารพาณิชย์ทั่วไป รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยค่อนข้างสูง ซึ่งสะท้อนถึงให้เห็นว่า ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) มีการประกอบธุรกิจในเชิงพาณิชย์มากกว่าในเชิงส่งเสริม เนื่องจากกระทรวงการคลังยังคงให้ความสำคัญแก่ดัชนีชี้วัดผลดำเนินการทางการเงินของ ธพว. นอกจากนี้แล้วโครงการสินเชื่อกว่าครึ่งหนึ่งเป็นโครงการที่ดำเนินการตามนโยบายของภาครัฐ เช่น การปล่อยกู้โครงการแท็กซี่เอื้ออาทรในอดีต หรือ โครงการปล่อยกู้ให้แก่ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากกรณีการประท้วงที่ราชดำริ โครงการเหล่านี้นอกจากจะเป็นการเบียดเบียนทรัพยากรที่ควรได้รับการจัดสรรให้แก่ SME ที่มีความจำเป็นในการมีแหล่งเงินกู้แล้ว ยังสร้างภาระหนี้เสียให้แก่ ธพว. อีกด้วยเนื่องจากมีการผ่อนปรนเงื่อนไขในการปล่อยสินเชื่อสำหรับโครงการตามนโยบายรัฐบาล
คณะผู้วิจัยมีความเห็นว่า แนวนโนยายและมาตรการในการส่งเสริม SME ไทยจำเป็นต้องมีการปรับปรุงครั้งใหญ่โดยเริ่มจากการทบทวนหลักเกณฑ์ในการจำแนกขนาดของวิสาหกิจที่กระชับมากขึ้น โดยการกำหนดให้วิสาหกิจที่จัดเป็นวิสาหกิจขนาดย่อมต้องมีคุณสมบัติตามเงื่อนไขจำนวนการจ้างงานและทุนจดทะเบียน นอกจากนี้แล้วอาจพิจารณาใช้รายได้เป็นเกณฑ์เพิ่มเติมอีกด้วย รวมทั้งมีการจำแนกวิสาหกิจขนาดย่อมจำนวน 2.9 ล้านรายในปัจจุบันเป็นกลุ่มย่อย ทั้งนี้ นโยบายในการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดย่อมของรัฐบาลควรจะแยกแยะระหว่างวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเพราะวิสาหกิจในสองกลุ่มนี้มีความแตกต่างกันอย่างมากจึงไม่ควรเหมารวมกัน
นอกจากนี้แล้ว การที่วิสาหกิจกว่าร้อยละ 80 อยู่นอกระบบนั้น รัฐควรมีมาตรการด้านภาษีในการจูงใจให้วิสาหกิจขนาดย่อมและรายย่อยเข้ามาในระบบมากขึ้น อัตราภาษีนิติบุคคลที่ค่อนข้างสูงที่ร้อยละ 30 เป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักให้วิสาหกิจจำนวนมากเลือกที่จะไม่เข้าระบบจึงไม่สามารถพัฒนาศักยภาพได้เต็มที่ นอกจากนี้แล้วควรมีการทบทวนสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีต่างๆ ที่มีอยู่ว่ามีประสิทธิผลในการช่วยลดภาระต้นทุนให้แก่ SME ได้ในทางปฏิบัติมากน้อยเพียงใด เพื่อใช้ในการปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการใช้สิทธิให้ใช้ประโยชน์ได้จริงมากขึ้น สำหรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่มีเงื่อนไขเกี่ยวกับการค้ำประกันเช่นในกรณีของการชดเชยภาษีศุลกากรนั้น รัฐควรมีมาตรการช่วยเหลือ SME ที่ขาดทุนทรัพย์ด้วย
สำหรับมาตรการในการส่งเสริมแหล่งเงินทุนและแหล่งเงินกู้ให้แก่ SME นั้น คณะผู้วิจัยเห็นว่าในส่วนของแหล่งเงินทุนรัฐควรให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการสร้างแรงจูงใจให้เอกชนร่วมลงทุนในการพัฒนา SME มากกว่าการให้หน่วยงานของรัฐเข้าไปร่วมลงทุนเอง ซึ่งต้องมีการแก้ไขกฎ ระเบียบที่ให้สิทธิพิเศษทางด้านภาษีแก่ผู้ที่ร่วมลงทุนให้ใช้ประโยชน์ได้ในทางปฏิบัติ โดยการปรับคุณสมบัติของผู้ที่สามารถใช้สิทธิและข้อกำหนดในการลงทุนที่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของธุรกิจ
ในส่วนของ แหล่งเงินกู้นั้น รัฐควรพิจารณาผ่อนปรนเงื่อนไขในส่วนของสินทรัพย์ค้ำประกันในการปล่อยกู้สำหรับวิสาหกิจขนาดย่อมโดยอาจกำหนดเงื่อนไขให้ธุรกิจที่ต้องการรับสินเชื่อต้องปรับปรุงวิธีการในการบริหารธุรกิจให้เป็นระบบโดยเฉพาะในเรื่องของการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายและงบดุลเป็นการแลกเปลี่ยน การปล่อยกู้ตามนโยบายของภาครัฐนั้นควรแยกบัญชีรายรับ รายจ่ายและหนี้เสียซึ่งแสดงในรายงานผลการดำเนินงานประจำปีของ ธพว. เพื่อที่จะสามารถประเมินผลการดำเนินงานที่แท้จริงของธนาคารรวมทั้งประเมินความเสียหายจากโครงการตามนโยบายของรัฐด้วย ทั้งนี้ การประเมินผลงานของ ธพว. และระบบแรงจูงใจที่ใช้ควรสะท้อนขีดความสามารถในการกระจายสินเชื่อสู่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ต้องการแหล่งเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าผลการดำเนินงานทางการเงิน
[1] กิจการผลิตสินค้า ที่มีจำนวนการจ้างงานไม่เกิน 50 คน หรือมีมูลค่าสินทรัพย์ถาวรไม่เกิน 50 ล้านบาท