Skip to main content
sharethis

"มาร์ค" ย้ำไม่ฟ้องใครอยากเอาเท้ามาแตะรูปหน้าก็เชิญ ระบุเป็นความผิด "ตัวต่อตัว" แต่จะอดทนไม่ฟ้อง ศอฉ.อย่ามายุ่ง

24 พ.ย. 53 - เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่าที่โรงแรมอิมพีเรียล ควีนสปาร์ค  นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งในการสัมมาหัวข้อ “นโยบายเศรษฐกิจไทยท่ามกลางความท้าทาย” ซึ่งจัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่า ความขัดแย้งที่ยังเป็นปัญหาใหญ่ของเราคือความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งตนยืนยันว่าสิ่งที่ตนพยายามจะทำอยู่ในทุกเรื่องตามแผนการปฏิรูปหรือการ ปรองดอง แม้หลายคนรู้สึกว่ายังไม่สามารถทำให้ความขัดแย้งหมดไปได้ แต่ตนยืนยันว่ามันเป็นแนวเดียวที่เราต้องเดินและต้องทำให้ได้ แม้จะช้าบ้างแต่ก็ต้องทำ โดยการที่เสนอการแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่รัฐสภาในขณะนี้ ไม่ได้หมายความว่าเมื่อร่างรัฐธรรมนูญของรัฐบาลผ่านการพิจารณาของรัฐสภาแล้ว แปลว่าปรองดอง แต่เพื่อจะบอกกับคนไทยทั้งประเทศว่าเงื่อนไขเรื่องรัฐธรรมนูญสำหรับรัฐสภา ชุดนี้ได้จบแล้ว ไม่ว่าจะผ่านหรือไม่ผ่าน ก็ไม่ต้องเถียงกันอีกแล้ว แต่ถ้าอยากจะถกเถียงเรื่องรัฐธรรมนูญอีก ขอให้ไปเถียงกันภายหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า
  
“ผมต้องการปลดเงื่อนไขออกไปทีละประเด็น ไม่มีวันไหนที่ผมเสนอแล้วไม่ถูกค้าน และไม่มีวันไหนที่ผมอยู่เฉยแล้วไม่ถูกอีกฝ่ายบอกว่าทำไมไม่ทำ จึงต้องปลดเงื่อนไขออกไปทีละประเด็นๆ และยืนยันว่าประเด็นที่ละเอียดอ่อนเกินไปจะนำไปสู่ความขัดแย้ง ผมก็ไม่เสนอ เช่น ปัญหาการยุบพรรค เป็นต้น”นายอภิสิทธิ์ กล่าว
  
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนประเด็นอื่นๆนั้น คณะกรรมการของนายอานันท์ ปันยารชุน ของศ.นพ.ประเวศ วะสี และของนายคณิต  ณ นคร จะเสนออะไรมา ตนพยายามดูตลอดและให้เดินต่อไป เช่น การที่ตนพูดคุยกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในขณะที่บางคนสนใจแต่ว่าเมื่อใดที่แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมเมื่อช่วงที่ผ่านมา จะได้รับการประกันตัว แต่คนที่ไม่ได้เป็นแกนนำ กลายเป็นคนที่ไม่มีใครดูแล ตนจึงขอให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ไปดูแลให้หมดว่าเขามีปัญหาอะไรในระหว่างถูกคุมขัง มีทนายหรือไม่ จนในที่สุดก็เข้าช่วยในการยื่นประกันตัว ดังนั้น ตนอยากบอกว่าตนทำงานในการพยายามลดเงื่อนไขและสร้างความปรองดอง
  
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อีกทั้ง ตนระมัดระวังในกรณีที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.)สั่งห้ามขาย สินค้านั้น ต้องทำความชัดเจนว่ากรณีที่เป็นสินค้าที่ผิดกฎหมายโดยเป็นการหมิ่นสถาบัน หลักของชาติ ก็ขอให้ดำเนินการกันไป แต่อะไรที่เป็นความผิดต่อส่วนบุคคล ศอฉ.ก็ไม่ต้องไปยุ่ง “ใครอยากเอาเท้ามาแตะรูปหน้าผม ก็เชิญตามสบาย เป็นความผิดส่วนตัว ต่อตัวผม ผมก็ไม่ฟ้องนะครับและก็อดทน เป็นเรื่องที่ต้องทำกันอย่างนี้เพื่อหาทางให้สังคมกลับเข้ามาสู่การใช้ กฎหมายที่เป็นปกติให้มากที่สุด”
  
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนการเลิกพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น เราไม่ได้คิดแค่เรื่องของการชุมนุมทางการเมือง แต่ตอนนี้เรากำลังจะเลิกใช้ในบางอำเภอใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อปรับเปลี่ยนแนวทางการบริหารจัดการเข้าสู่แนวทางของความสมานฉันท์และ สันติวิธี แต่ต้องใช้เวลา อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่าในปีหน้าจะมีเรื่องท้าทายอย่างนี้อีก เพราะมีบางกลุ่มที่ต้องการไม่ให้สงบ ซึ่งเราต้องบริหารจัดการด้วยความละเอียดอ่อนและรอบคอบ อีกทั้ง ตนบอกแล้วว่าต้องมีการเลือกตั้งในปีหน้า แต่ตนต้องการให้เป็นการเลือกตั้งที่สงบ เป็นธรรม และทุกคนยอมรับกติกา ดังนั้น เมื่อเรื่องรัฐธรรมนูญผ่านไปแล้วจะออกมาเป็นอย่างไร ก็ถือเป็นความพร้อมอีกขั้นหนึ่งที่จะให้มีการเลือกตั้ง  ส่วนจะมีความสงบหรือไม่นั้น กลุ่มคนที่เรียกร้องว่าอยากให้มีการเลือกตั้งเร็วๆ กลับเป็นเงื่อนไขที่ทำให้เราตัดสินใจไปเลือกตั้งไม่ได้ ทั้งนี้ ตนจะจับตาดูว่าการเลือกตั้งซ่อมส.ส.ครั้งนี้และการทำกิจกรรมทางการเมือง ต่างๆ ยังอยู่ในสภาวะการใช้ความรุนแรงหรือมีความเสี่ยงว่าจะใช้ความรุนแรงหรือไม่ ซึ่งถ้าไม่มี ก็สามารถไปจัดเลือกตั้งได้

ที่มาข่าว:

นายกฯไม่ฟ้องใครเอาเท้าเหยียบรูปหน้าก็เชิญ (เดลินิวส์, 24-11-2553)
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=8&contentID=106094

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net