การอ่อนตัวของเงินดอลลาร์สหรัฐฯเป็นประเด็นสำคัญในการประชุมประจำปีของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เมื่อต้นเดือนนี้ แม้รมต.คลังสหรัฐฯยืนยันว่าสนับสนุนให้ดอลลาร์แข็งตัว คำยืนยันดังกล่าวไม่มีน้ำหนักเพราะธนาคารกลางสหรัฐฯไม่มีนโยบายพยุงค่าเงินและแสดงท่าทีว่าจะใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำต่อไป กล่าวได้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯถือคติว่า “เงินตราของเรา ปัญหาของคุณ” (Our currency, your problem)
อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศมีความสำคัญมากในยุคเศรษฐกิจตกต่ำ เพราะนานาประเทศหวังพึ่งตลาดต่างประเทศเพื่อทดแทนการหดตัวของตลาดในประเทศ การบริหารอัตราแลกเปลี่ยนให้เงินอ่อนลงเพื่อส่งเสริมการแข่งขัน (Competitive devaluation) เป็นมาตรการที่ธนาคารกลางทั่วโลกใช้มานาน ถ้าหลายประเทศใช้พร้อมกันก็เกิดสงครามเงินตรา (Currency war) กล่าวคือ ความพยายามทำให้เงินอ่อนตัวจนอาจลุกลามเป็นความขัดแย้งทางการเมือง สงครามเงินตราเกิดขึ้นหลายครั้งในอดีต เช่น สงครามเงินตราในสมัยรัฐบาลพลเอกเปรม ซึ่งจบลงด้วยข้อตกลงระหว่างประเทศอุตสาหกรรมให้เงินเยนและเงินมาร์คแข็งตัวขึ้น สงครามเงินตราที่มีผลกระทบมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเงินระหว่างประเทศคือสงครามเงินตราในสมัยรัชกาลที่ 7 ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างประเทศอุตสาหกรรมจนวิกฤตเศรษฐกิจลุกลามไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 วิกฤตดังกล่าวได้ลุกลามมาถึงไทยจนเกิดแรงกดดันให้เปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475
ภาวะบาทแข็งในปัจจุบัน
โดยนิยามการอ่อนตัวของเงินดอลลาร์คือการแข็งตัวของเงินสกุลอื่น การประเมินภาวะบาทแข็งต้องคำนึงถึงโครงสร้างการค้าขายระหว่างประเทศเพราะเงินของประเทศคู่ค้าก็ปรับตัวด้วย เราต้องดูค่าเฉลี่ยของการปรับตัวของอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทกับเงินของประเทศคู่ค้าต่างๆ นอกจากนี้ราคาสินค้าส่งออกขึ้นอยู่กับอัตราเงินเฟ้อด้วย ดังนั้นเราต้องปรับค่าเฉลี่ยดังกล่าวด้วยอัตราเงินเฟ้อของไทยและประเทศคู่ค้า สถิตินี้เรียกว่าดัชนีค่าเงินที่แท้จริง (Real effective exchange rate)
รูปข้างล่างแสดงดัชนีค่าเงินที่แท้จริงของไทยและประเทศคู่แข่งที่สำคัญระหว่าง ม.ค. 2550 และ ก.ย. 2553 ประเด็นคือการเปลี่ยนแปลงของดัชนีไม่ใช่ระดับของดัชนี การปรับตัวขึ้นของดัชนีบ่งบอกว่าเงินแข็งขึ้น รูปนี้สมมุติให้ดัชนีเดือน ม.ค. 2550 เป็น 100 ปี 2550 เป็นปีที่วิกฤตการเงินปะทุที่สหรัฐฯ ปัญหาหนี้เสียจากสินเชื่อที่อยู่อาศัยทำให้แบร์สเติร์นส์ (Bear Stearns) ซึ่งเป็นวาณิชธนกิจเก่าแก่ต้องปิดกิจการ เห็นได้ชัดว่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯเอ่อนลงเพียงสกุลเดียว เมื่อเทียบกับเดือน ม.ค. 2550 แล้วเงินดอลลาร์อ่อนลง 6% เงินเยนแข็งที่สุดคือแข็งขึ้น 23% แต่ต้นปีที่แล้วเงินเยนญี่ปุ่นแข็งขึ้นถึง 30% รองลงมาคือเงินหยวนจีนซึ่งแข็งขึ้น 16% ต้นปีที่แล้วเงินหยวนแข็งขึ้นถึง 20% เงินสกุลอาเซียนทั้ง 4 สกุลได้แก่ดอลลาร์สิงคโปร์ เงินบาท เปโซฟิลิปปินส์ และริงกิตมาเลเซียแข็งขึ้นไล่เลี่ยกันด้วยอัตรา 11% 9% 8% และ 7% ตามลำดับ ยังไม่มีสถิติของเดือนนี้ซึ่งเป็นเดือนที่เงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็วจนทะลุอัตรา 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ชัดเจนว่าสหรัฐฯชนะสงครามเงินตราครั้งนี้อย่างขาดลอย เงินดอลลาร์ไม่เพียงแต่อ่อนค่าลงแต่เงินสกุลอื่นๆยังแข็งขึ้นมากกว่าที่เงินดอลลาร์อ่อนลงเสียอีก
ใครได้ใครเสียจากภาวะบาทแข็ง?
กลุ่มที่เสียหายจากภาวะบาทแข็งคือผู้ส่งออก โดยเฉพาะผู้ส่งออกรายย่อยที่รายจ่ายตายตัว (Fixed cost) มีมูลค่าสูงเมื่อเทียบกับมูลค่าการผลิต เมื่อผู้ส่งออกเสียหายแรงงานในภาคส่งออกก็ได้รับผลกระทบด้วย งานวิจัยเชิงประจักษ์พบว่าการแข็งค่าของเงินมีผลกระทบเชิงลบต่อมูลค่าการส่งออกด้วยความเฉื่อยประมาณ 6-12 เดือน ถ้าค่าเงินแข็งวันนี้มูลค่าส่งออกจะลดลงใน 6-12 เดือนข้างหน้า เนื่องจากสัญญาซื้อขายสินค้ากำหนดราคาและปริมาณสินค้าก่อนค่าเงินจะเปลี่ยน และผู้ส่งออกมักยอมลด Profit margin ในระยะสั้น ดังนั้นสถิติการส่งออกในระยะสั้นจะไม่แสดงผลกระทบจากจากค่าเงิน ผลกระทบต่อปริมาณการส่งออกขึ้นอยู่กับทั้งอัตราการแข็งค่าของเงินและความยืดหยุ่นของการทดแทน (Elasticity of substitution) ของสินค้า แม้ว่าเงินบาทแข็งขึ้นด้วยอัตราที่ต่ำกว่าดอลลาร์สิงคโปร์ 2% (ดูดัชนีค่าเงินที่แท้จริงในรูปข้างบน) สินค้าและบริการของไทยยังมีคุณภาพไม่สูงทำให้ประเทศคู่ค้าทดแทนด้วยสินค้าและบริการจากประเทศคู่แข่งได้ง่าย ดังนั้นการหดตัวของปริมาณการส่งออกของไทยน่าจะมากกว่าการหดตัวของปริมาณสินค้าและบริการจากสิงคโปร์
กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากภาวะบาทแข็งมี 5 กลุ่ม
1. ผู้นำเข้าสินค้าบริโภค (Consumption goods) จากต่างประเทศและผู้บริโภค ในแง่ดีภาวะบาทแข็งทำให้ผู้บริโภคมีโอกาสบริโภคสินค้าที่หลากหลายและได้ใช้สินค้าคุณภาพสูงในราคาที่ต่ำลง ในแง่ไม่ดีทำให้สินค้าฟุ่มเฟือยราคาต่ำลง อาจทำให้ผู้บริโภคบางกลุ่มสร้างหนี้สินเพื่อบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือย
2. ผู้นำเข้าสินค้าทุน (Capital goods) ที่จำเป็นต่อการผลิตสินค้าเพื่อบริโภคในประเทศ เช่น ผู้นำเข้าเครื่องจักรที่ใช้ในการก่อสร้าง ในแง่ดีผู้ประกอบการแบ่งกำไรให้แรงงานได้โดยการขึ้นค่าแรงและนำกำไรไปลงทุนเพื่อยกระดับเทคโนโลยีได้ ในแง่ไม่ดีผู้ประกอบการอาจผูกขาดทั้งตลาดแรงงานและตลาดสินค้า ในกรณีนี้กำไรจากภาวะบาทแข็งจะทำให้ความเหลื่อมล้ำทางรายได้มากขึ้น
3. นักลงทุนไทยในตลาดตราสารหนี้ ตลาดหุ้น และตลาดอสังหาริมทรัพย์ ได้กำไรจากส่วนต่างของราคาทรัพย์สิน เพราะเม็ดเงินจากทุนต่างชาติเข้ามาหนุนแรงซื้อ แม้ว่ากฏหมายไทยในปัจจุบันยังไม่ยินยอมให้ชาวต่างชาติซื้อที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย ชาวต่างชาติสามารถเป็นเจ้าของห้องชุดคอนโดมิเนียมและสามารถจดทะเบียนร่วมทุนกับคนไทยเพื่อทำธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์
4. นักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนในตลาดตราสารหนี้ ตลาดหุ้นและตลาดอสังหาฯ กำไรที่ชัดเจนที่สุดคือส่วนต่างดอกเบี้ยในตลาดตราสารหนี้ ส่วนการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นไทยไม่ต้องเสียภาษีเหมือนในสหรัฐฯและอังกฤษ (และอีกหลายประเทศ) ทุนต่างชาติมีปริมาณสูงมากจึงสามารถดันราคาสินทรัพย์ในตลาดทุนให้ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในอนาคตเมื่อทุนต่างชาติไหลออกราคาหลักทรัพย์จะปรับตัวลงอย่างรวดเร็วแต่ทุนต่างชาติเป็นผู้กำหนดราคา ดังนั้นนักลงทุนรายย่อยในตลาดหุ้นจะรับภาระขาดทุนหลังทุนต่างชาติออกไปแล้ว การลงทุนในตลาดอสังหาฯไทยก็ไม่มีภาษีทรัพย์สินแบบในสหรัฐฯหรือยุโรป ผลกำไรสุทธิจากตลาดอสังหาฯไทยจึงมากกว่าการลงทุนในต่างประเทศเมื่อเปรียบเทียบกับอสังหาฯที่ราคาเท่ากัน
5. กลุ่มทุนไทยที่นำทุนออกไปซื้อกิจการต่างประเทศ ในแง่ดีกลุ่มนี้สามารถซื้อเทคโนโลยีแล้วนำเข้ามาต่อยอดในประเทศเพื่อยกระดับเทคโนโลยีและช่วยสร้างงาน ในแง่ไม่ดีคือการลงทุนซื้อกิจการต่างประเทศอาจเป็นเพียงการเก็งกำไรในระยะสั้น เมื่อเงินบาทอ่อนลงในอนาคตหลังจากที่ทุนต่างชาติไหลออกแล้ว กลุ่มนี้สามารถขายกิจการในต่างประเทศแล้วนำกำไรจากส่วนต่างกลับมาซื้อทรัพย์สินในไทย วิธีการทำกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวคล้ายคลึงกับการช้อนซื้อทรัพย์สินไทยโดยกลุ่มทุนต่างชาติด้วยราคาถูกหลังวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540
มาตรการแก้ไขปัญหาเงินดอลลาร์อ่อนตัว
ประเทศต่างๆรับมือกับภาวะดอลลาร์อ่อนตัวด้วยมาตรการดังต่อไปนี้
1. การแทรกแซงในตลาดเงินตราต่างประเทศ เช่น การแทรกแซงของธนาคารกลางญี่ปุ่น จีนและสิงคโปร์ ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทยหรือแบงค์ชาติได้เปลี่ยนมาใช้ระบบแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่เสรีกว่าระบบตะกร้าเงินตั้งแต่ปี 2540 ระบบนี้เป็นผลโดยตรงจากการสูญเสียทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ ถ้าตอนนี้ไทยหันกลับไปใช้ระบบเดิมแบงค์ชาติก็ต้องแทรกแซงในตลาดเงินตราต่างประเทศด้วยการขายเงินบาทและซื้อเงินดอลลาร์ นโยบายนี้จะสร้างปัญหาเงินเฟ้อและเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะฟองสบู่ ปัญหาเงินเฟ้อก็เป็นปัญหาสำหรับจีน แต่จีนถือว่าซื้อเวลาเพื่อใช้ภาคส่งออกถ่ายเทแรงงานออกจากภาคเกษตร ที่สำคัญจีนต่อรองให้บรรษัทข้ามชาติขึ้นค่าแรงได้ ดังนั้นผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อต่อคุณภาพชีวิตของคนรายได้ต่ำในจีนน้อยกว่าในไทย นอกจากนี้จีนมีอำนาจในตลาดสินค้าโลกจึงกำหนดราคาสินค้าส่งออกให้ชดเชยอัตราเงินเฟ้อได้ ส่วนญี่ปุ่นไม่มีปัญหาเงินเฟ้อและมีปัญหาประชากรลดลงซึ่งเป็นปัจจัยหนุนภาวะเงินฝืด ดังนั้นญี่ปุ่นจึงแทรกแซงตลาดเงินตราต่างประเทศโดยไม่ต้องกังวลปัญหาเงินเฟ้อ ส่วนสิงคโปร์มีความเสี่ยงต่อภาวะฟองสบู่ต่ำกว่าไทยเพราะตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสิงคโปร์มีขนาดเล็กมาก
2. การสนับสนุนให้ผู้ส่งออกและผู้นำเข้าทำสัญญาค้าขายระหว่างประเทศและชำระเงินด้วยเงินสกุลของตนแทนเงินดอลลาร์ นโยบายนี้ใช้ในสหภาพยุโรปและจีน นโยบายของจีนได้รับการตอบรับที่ดีจากธนาคารต่างชาติรวมทั้งธนาคารอเมริกัน วิธีบริหารความเสี่ยงแบบนี้ราคาถูกกว่าทำสัญญาซื้อขายเงินตราล่วงหน้าและเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาเงินเป็นเงินนานาชาติเพื่อแข่งขันกับเงินดอลลาร์ในอนาคต ไทยมีอำนาจต่อรองในตลาดสินค้าและตลาดเงินตราต่างประเทศน้อยกว่าสหภาพยุโรปและจีน ไทยจึงไม่สามารถสนับสนุนให้ผู้ส่งออกทำสัญญาซื้อขายสินค้าด้วยเงินบาทได้ จึงสนับสนุนให้ผู้ส่งออกทำสัญญาซื้อขายเงินบาทล่วงหน้าแทน การบริหารความเสี่ยงด้วยวิธีนี้มีข้อจำกัดตรงที่ว่าเงินบาทไม่ใช่เงินสกุลหลักที่มีปริมาณการซื้อขายล่วงหน้ามากแบบเงินเยน ในภาวะความเสี่ยงสูงมักหาคู่ค้าธุรกรรม (Counterparty) ยากและทำให้ค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมสูงขึ้น
3. การลดดอกเบี้ยตามธนาคารกลางสหรัฐฯเพื่อลดส่วนต่างดอกเบี้ย เช่น นโยบายของธนาคารกลางที่ญี่ปุ่น สวิสเซอร์แลนด์ อังกฤษ สิงคโปร์ ฯลฯ นโยบายนี้เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะฟองสบู่ เพราะทำให้ทุนในประเทศไหลเข้าตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ และตลาดอสังหาฯแทนทุนต่างชาติ ประเทศที่ตลาดหุ้นและตลาดอสังหาริมทรัพย์ซบเซาสามารถใช้นโยบายนี้ได้ โปรดสังเกตุว่าการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯในเดือน ตค. 2551 เป็นการประสานนโยบายลดดอกเบี้ยพร้อมธนาคารกลางยุโรป ธนาคารกลางอังกฤษ สวีเดน สวิสเซอร์แลนด์ และแคนาดา ความร่วมมือดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามเงินตราระหว่างประเทศอุตสาหกรรมตะวันตก
4. นโยบายควบคุมการไหลเวียนของทุนต่างชาติ มีทั้งที่ใช้กฏเกณฑ์จำกัดธุรกรรมแบบจีนหรืออินเดีย และการเก็บภาษีจากเงินทุนต่างชาติแบบบราซิล ในปีนี้บราซิลได้ประกาศขึ้นอัตราภาษีที่เก็บจากทุนต่างชาติถึง 2 ครั้ง ภาษีดังกล่าวมีผลบังคับใช้กับทุนต่างชาติทั้งในตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้น มีผลบังคับครอบคลุมถึงกองทุนรวม กองทุนบำนาญและเฮดจ์ฟันด์จากต่างประเทศ การส่งเสริมให้ทุนไหลออกนอกประเทศไม่ใช่มาตรการโดยตรงที่ทำให้เงินอ่อนค่าลง จีนคือตัวอย่างที่ชัดเจน แม้จีนอนุญาตให้คนจีนไปลงทุนในต่างประเทศได้บ้างและให้สถาบันการเงินต่างชาติเริ่มซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลจีน นโยบายนี้เป็นยุทธศาสตร์เพื่อพัฒนาเงินหยวนให้เป็นเงินนานาชาติเพื่อแข่งขันกับเงินดอลลาร์ในอนาคต และใช้พร้อมกับการทำสัญญาค้าขายระหว่างประเทศด้วยเงินหยวน ปัจจุบันกระทรวงการคลังของไทยได้เสนอให้จัดเก็บภาษีจากดอกเบี้ยจากการลงทุนในตราสารหนี้ของทุนต่างชาติด้วยอัตรา 15% แต่ยังไม่ปรากฏชัดเจนว่ารัฐสภาจะอนุมัติเมื่อไรและจะมีผลบังคับใช้เมื่อไร จึงกล่าวได้ว่าไทยยังไม่มีมาตรการควบคุมการไหลเวียนของทุนต่างชาติ
ทางเลือกของไทย
เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นแล้ว ไทยมีความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อมากกว่าญี่ปุ่น มีอำนาจต่อรองในตลาดสินค้าโลกน้อยกว่าจีน มีอำนาจต่อรองค่าแรงกับบรรษัทข้ามชาติน้อยกว่าจีน มีตลาดอสังหาฯขนาดใหญ่กว่าสิงคโปร์ ดังนั้นการเข้าร่วมสงครามเงินตราด้วยการแทรกแซงในตลาดเงินตราต่างประเทศไม่ใช่นโยบายที่ดีทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การลดดอกเบี้ยก็ทำได้เพียงเล็กน้อยเพราะตลาดหลักทรัพย์และตลาดอสังหาฯของไทยไม่ซบเซา ไทยไม่ใช่ประเทศเดียวที่ไม่ลดดอกเบี้ยให้ใกล้เคียงกับสหรัฐฯ บราซิลก็จำเป็นต้องใช้ดอกเบี้ยสูงกว่าสหรัฐฯเพื่อควบคุมเงินเฟ้อและความเสี่ยงต่อภาวะฟองสบู่
ทางเลือกอื่นคือการควบคุมการไหลเข้าของทุนต่างชาติควบคู่ไปกับการลดดอกเบี้ยเพียงเล็กน้อยหรือคงดอกเบี้ยไว้ การควบคุมทุนต่างชาติมี 2 วิธี หนึ่งคือกระทรวงการคลังเก็บภาษีจากทุนต่างชาติเหมือนนโยบายในบราซิล สองคือวิธีที่ชิลีใช้ในอดีต กล่าวคือ ธนาคารกลางกำหนดว่ากี่เปอร์เซ็นต์ของทุนต่างชาติที่ไหลเข้าตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้นต้องกลายเป็นทุนสำรองในบัญชีที่ไม่ได้ดอกเบี้ยนานเท่าไร ที่สำคัญคือต้องประกาศกฏเกณฑ์ให้นักลงทุนรู้ล่วงหน้าว่าจะมีผลบังคับใช้เมื่อไร ไม่ใช่ทำโดยไม่ประกาศล่วงหน้าแบบที่ไทยลองเมื่อ 3 ปีที่แล้ว การประกาศล่วงหน้าจะป้องกันภาวะตื่นตระหนกในตลาดทุน
ทุนต่างชาติไหลทะลักเข้าตลาดทุนไทยใน 3-4 ปีที่ผ่านมาเพราะภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและดอกเบี้ยต่ำที่สหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น ทำให้สถาบันการเงินต่างชาติไม่ค่อยมีที่เก็งกำไร ด้วยเหตุนี้อำนาจต่อรองของไทยในตลาดทุนจึงสูงกว่าทศวรรษที่แล้วมากมาย ขณะนี้ไทยสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสเพื่อตั้งกฎเกณฑ์ควบคุมทุนต่างชาติให้มีแรงจูงใจลงทุนระยะยาว มิฉะนั้นทุนต่างชาติจะเก็งกำไรและดันให้เงินบาทแข็งจนอาจจะทำลายฐานส่งออก เมื่อทุนต่างชาติไหลออกในภายหลัง เงินบาทจะอ่อนตัวลงแต่ตอนนั้นฐานส่งออกอาจจะถูกทำลายแล้ว ผู้ส่งออกไม่สามารถปรับตัวในเวลาระยะสั้น เมื่อเทียบกับมูลค่าผลผลิตแล้วรายจ่ายตายตัว (Fixed cost) ของการผลิตเพื่อส่งออกสูงกว่าการรายจ่ายตายตัวของการลงทุนในตลาดทุน
แม้ว่าในระยะยาวทุกประเทศมีเป้าหมายลดการพึ่งพาตลาดต่างประเทศ โครงสร้างเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันยังห่างไกลจากจุดนั้นเป็นทศวรรษ ในด้านการผลิตไทยยังไม่ใช่เจ้าของเทคโนโลยีที่ผลิตสินค้าและบริการที่จำเป็นต่อการบริโภค อาทิ การรักษาพยาบาล อาวุธยุทโธปกรณ์ เครื่องจักรกล ยานพาหนะ ฯลฯ ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เป็นตัวอย่างชัดเจนของประเทศที่ปรับค่าเงินหลังพัฒนาเทคโนโลยีแล้ว การพัฒนาคุณภาพสินค้าส่งออกขึ้นอยู่กับทั้งภาคส่งออกและภาคธุรกิจอื่น เพราะคุณภาพวัตถุดิบและบริการที่เป็นปัจจัยการผลิตมีอิทธิพลกับคุณภาพสินค้าส่งออกเท่ากับเทคโนโลยีของผู้ส่งออก ดังนั้นคุณภาพแรงงานในภาคธุรกิจอื่นมีผลกระทบต่อคุณภาพสินค้าส่งออกด้วย เป็นไปไม่ได้ที่ภาคส่งออกจะพัฒนาคุณภาพสินค้าได้ฉับไวในเวลาไม่กี่ปี ในด้านการบริโภค กำลังซื้อในไทยยังไม่สูงพอที่จะยกระดับรายได้และฐานภาษีเพื่อสร้างสวัสดิการสังคม สวัสดิการสังคมในที่นี้คือการประกันความเสี่ยงขั้นพื้นฐานที่แม้แต่ประเทศทุนนิยมสุดขั้วอย่างสหรัฐฯยังมี เช่น ประกันการตกงาน (Unemployment insurance) ดังนั้นการส่งออกจะมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาไทยไปอีกหลายทศวรรษ การแทรกแซงตลาดทุนเพื่อแก้ปัญหาบาทแข็งจึงเป็นนโยบายที่สำคัญมากต่ออนาคตของไทย
แม้ว่าสถาบันการเงินต่างชาติจะไม่ชื่นชอบนโยบายควบคุมทุนต่างชาติ ถ้าเศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพสถาบันการเงินต่างชาติจะปรับตัวได้เอง เพราะการลงทุนในตลาดทุนมีรายจ่ายตายตัว (Fixed cost) ที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับมูลค่าการผลิต ไทยไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวว่าทุนต่างชาติจะไม่ไหลกลับมา แม้แต่อาร์เจนตินาที่เคยชักดาบไม่จ่ายดอกเบี้ยตอนเศรษฐกิจตกต่ำก็ไม่มีปัญหาว่าเงินทุนนอกไม่ไหลกลับ เมื่อเศรษฐกิจในประเทศดีหรือเมื่อเศรษฐกิจต่างประเทศซบเซาทุนต่างชาติจะไหลกลับมาเอง แม้ IMF จะคัดค้านการควบคุมทุนต่างชาติ นั่นไม่ได้หมายความว่าไทยจะเสียสิทธิการเป็นสมาชิกของ IMF ไทยไม่จำเป็นต้องตามนโยบายของ IMF ตราบใดที่ไม่กู้เงินจาก IMF นอกจากนี้สมดุลอำนาจใน IMF ได้มาถึงยุคเปลี่ยนผ่านแล้ว อีกไม่นานประเทศในเอเชียตะวันออกและตะวันออกกลางจะมีอำนาจใน IMF สูสีกับสหรัฐฯและสหภาพยุโรปโดยการนำของจีน เกาหลีใต้ และซาอุดิอาระเบีย ส่วนประเทศในละตินอเมริกามีบราซิลเป็นหัวหอกต่อรองเพื่อเปลี่ยนแปลงสมดุลอำนาจใน IMF
ปรากฎการณ์ที่ทุนต่างชาติไหลทะลักเข้าตลาดทุนไทยเพราะภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและดอกเบี้ยต่ำที่สหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น เหมือนการไหลทะลักของทุนต่างชาติเข้าตลาดทุนไทยก่อนวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ถ้าทุนต่างชาติยังไหลเข้ามาดันราคาทรัพย์สินในตลาดทุนและตลาดอสังหาฯอย่างเสรีต่อไป เมื่อเศรษฐกิจประเทศอื่น(ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นสหรัฐฯ ยุโรปหรือญี่ปุ่น)ดีขึ้น หรือเมื่อต่างประเทศปรับดอกเบี้ยขึ้น หรือเมื่อความเสี่ยงด้านการเมืองไทยเพิ่มขึ้น เงินทุนต่างชาติจะไหลออกแล้วตลาดทุนและตลาดอสังหาฯจะซบเซาเหมือนวิกฤตต้มยำกุ้ง และนั่นจะยิ่งซ้ำเติมความเสียหายจากภาคส่งออกจนอาจก่อปัญหาหนี้เสียในสถาบันการเงินได้ นโยบายควบคุมทุนแบบชิลิน่าจะป้องกันการไหลออกของทุนอย่างกะทันหันและสร้างเสถียรภาพได้มากกว่าการเก็บภาษีจากทุนต่างชาติแบบบราซิล การไหลออกของทุนต่างชาติอย่างกะทันหันจะทำให้เกิดการเปลี่ยนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินครั้งใหญ่เหมือนหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง กล่าวคือ ทุนต่างชาติจะย้อนกลับมาซื้อทรัพย์สินไทยด้วยราคาถูกในภายหลังแต่คราวนี้จะมีกลุ่มทุนไทยที่ไปลงทุนในต่างประเทศกลับมาซื้อทรัพย์สินด้วย การเปลี่ยนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินหลังวิกฤตการเงินมักทำให้ปัญหาทุนผูกขาดย่ำแย่ลง วิกฤตการเงินทำให้มีการถ่ายโอนกรรมสิทธิ์จากกลุ่มทุนผูกขาดบางกลุ่มกลุ่มไปยังกลุ่มทุนผูกขาดกลุ่มอื่น แต่กลุ่มทุนผูกขาดอีกหลายกลุ่มก็สามารถขยายตัวหลังวิกฤตการเงินได้ ดังที่ไทยได้เรียนรู้มาแล้วจากวิกฤตต้มยำกุ้ง
บทสรุป
“สงครามคือธุรกิจ”ไม่ว่าจะเป็นสงครามเงินตราหรือสงครามระหว่างกองทัพ สงครามทุกครั้งทำกำไรให้คนบางกลุ่มในขณะที่คนบางกลุ่มขาดทุน ภาวะบาทแข็งทำกำไรให้ผู้นำเข้าสินค้าและบริการ กลุ่มทุนไทยที่ซื้อกิจการต่างประเทศ นักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนไทยในตลาดตราสารหนี้ ตลาดหุ้นและตลาดอสังหาฯ แต่ให้โทษแก่ผู้ส่งออกและแรงงานในภาคส่งออก ภาคธุรกิจที่ได้กำไรจากภาวะบาทแข็งคือภาคที่มีค่าแรงสูงกว่า ภาวะบาทแข็งจะซ้ำเติมปัญหาความเหลื่อมล้ำของรายได้ การเรียกร้องให้ภาคส่งออกพัฒนาคุณภาพสินค้าไม่ใช่วิธีการรับมือภาวะบาทแข็งที่ตั้งอยู่บนความเป็นจริง การพัฒนาคุณภาพสินค้าส่งออกต้องควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพวัตถุดิบ สินค้าและบริการในภาคธุรกิจอื่นซึ่งเป็นปัจจัยการผลิตสินค้าส่งออก รวมทั้งการพัฒนาคุณภาพคน ในทางกลับกันกลุ่มที่ปรับตัวได้ง่ายกว่าคือผู้ลงทุนในตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้นโดยเฉพาะผู้ลงทุนชาวต่างชาติที่ลงทุนเพื่อเก็งกำไรระยะสั้น นโยบายควบคุมทุนต่างชาติในตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้นจะช่วยบรรเทาพิษของสงครามเงินตราครั้งนี้
ตีพิมพ์ครั้งแรกใน มติชนออนไลน์
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)