Skip to main content
sharethis

15 ก.ย. 53 - เอเเบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค)เสนอผลวิจัยเชิงสำรวจ และบทวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติต่อประเด็นสำคัญทางการเมืองปัจจุบันโดยดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ทั้งนี้จากการพิจารณาข้อมูลที่ค้นพบครั้งนี้หลังจากสอบถามความคิดเห็นถึงการ ชุมนุมทางการเมืองของประชาชนว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาของประเทศที่ปกครองใน ระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 59.3 ระบุว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา ในขณะที่ร้อยละ 15.6 ระบุไม่เป็นและที่เหลือไม่แน่ใจ

ดร.นพดล มองว่า หากกลุ่มประชาชนที่ต้องการชุมนุมในวันที่ 18 หรือ 19 กันยายนที่จะถึงนี้และเป็นการชุมนุมที่สงบมีการนำเสนอแนวทางที่สร้างสรรค์ เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนทั่วไปและต่อประเทศชาติโดยส่วนรวมก็น่าจะได้รับการ สนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ นอกจากนี้

เมื่อถามถึงความเห็นต่อข้อเรียกร้องของกลุ่มประชาชนคนเสื้อแดงใน ประเด็นต่างๆ พบสิ่งที่น่าพิจารณาคือประการแรก ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 76.9 เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องเรื่องการประกันรายได้ให้เกษตรกรและกรรมกรให้เพียง พอต่อการดำรงชีพ นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 67.3 เห็นด้วยที่จะมีการลดภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เหลือ 5% และครึ่งหนึ่งหรือร้อยละ  50.8 เห็นด้วยกับการยกเว้นภาษีน้ำมัน

ดร.นพดล วิเคราะห์ต่อว่า ข้อเรียกร้องที่ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยในการสำรวจครั้งนี้เป็นเรื่องปกติ ธรรมดาที่ค้นพบเพราะหากรัฐบาลใดหรือกลุ่มคนกลุ่มใดทำให้ประชาชนมีหลักประกัน ในการดำรงชีวิต มีรายจ่ายน้อยลง ถ้าหากทำได้ก็ย่อมจะทำให้ประชาชนมีสิ่งที่ดีจับต้องได้เกิดขึ้นกับตนเองและ คนรอบข้างเพราะมีรายจ่ายน้อยลง ก็น่าจะมีเงินในการ “จับจ่ายใช้สอย” หรือ “เก็บออม” ได้มากขึ้น ผลที่ตามมาคือ ความเดือดร้อนจะลดลงและชีวิตความเป็นอยู่ที่ยึดผูกกับรายได้ก็จะดีขึ้น

ผลสำรวจยังค้นพบต่อไปด้วยว่า คนจำนวนมากหรือร้อยละ 46.8 เห็นด้วยกับการจัดเก็บภาษีมรดกในอัตราก้าวหน้า ในขณะที่ร้อยละ 22.8 ไม่เห็นด้วย และร้อยละ 30.4 ไม่มีความเห็น สิ่งที่ค้นพบในเรื่องนี้น่าถูกนำไปศึกษาเพิ่มเติมว่า จะสามารถช่วยลดช่องว่างทางสังคมและเศรษฐกิจในหมู่ประชาชนได้มากน้อยเพียงไร จะมีการนำรายได้ไปช่วยพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนได้อย่างไร และที่สำคัญเงินที่จะสามารถจัดเก็บได้จะเป็นไปอย่างโปร่งใส ปราศจากปัญหาทุจริตคอรัปชั่นได้อย่างไร

ที่น่าสนใจคือ ประชาชนร้อยละ 37.4 เห็นด้วยกับการนำรูปแบบ “คณะลูกขุน” มาใช้ในการพิจารณาคดี แต่ร้อยละ 25.8 ไม่เห็นด้วย และร้อยละ 36.8 ไม่มีความเห็น แต่ที่น่าห่วง คือ กลุ่มประชาชนถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มสามกลุ่มในสัดส่วนที่ไม่แตกต่างกันมากนัก คือ ประเด็นขอให้ปล่อยตัวนักโทษทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดงทุก คน ตั้งแต่หลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา โดยพบว่า ร้อยละ 33.2 เห็นด้วย แต่ร้อยละ 37.5 ไม่เห็นด้วย และร้อยละ 29.3 ไม่มีความเห็น  โดยผลสำรวจที่ออกมาเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงประเด็นที่อ่อนไหวทางการเมืองก็จะทำให้ประชาชนถูกแบ่งออก ตามแนวคิดที่แตกต่างกันทางการเมืองในสัดส่วนมากพอๆ กัน และอาจส่งผลทำให้แนวคิดแนวทางในการปรองดองประชาชนกลุ่มต่างๆ ของประเทศเป็นไปด้วยความยากลำบาก

อย่างไรก็ตาม ประชาชนเกินกว่าครึ่งหรือร้อยละ 54.1 เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องข้างต้นของกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นการปฏิรูปประเทศไทยสู่ความก้าวหน้า ในขณะที่ร้อยละ 13.8 ไม่เห็นด้วย และร้อยละ 32.1 ไม่มีความเห็น

ดร.นพดล  ชี้ให้เห็นข้อมูลที่น่าจะเป็นสัญญาณที่ดีคือ จำนวนมากหรือร้อยละ 47.8 มีความกังวลค่อนข้างน้อย ถึงไม่กังวลเลยว่าจะเกิดความรุนแรงบานปลายในการชุมนุมวันที่ 19 กันยายนนี้ ในขณะที่ร้อยละ 17.4 กังวลระดับปานกลาง แต่ร้อยละ 34.8 กังวลค่อนข้างมากถึงมากที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อถามถึงทางออกที่ดีที่สุดเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง พบว่า ร้อยละ 32.7 เห็นว่ารัฐบาลกับฝ่ายค้านควรร่วมกันสร้างความปรองดอง ในขณะที่ร้อยละ 27.5 เห็นควรยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ร้อยละ 24.8 ให้นำทุกคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างเที่ยงธรรม และรองๆ ลงไปคือ นายกรัฐมนตรีลาออก แก้ไขรัฐธรรมนูญ ตั้งรัฐบาลแห่งชาติ และอยู่ให้ครบวาระแล้วเลือกตั้งใหม่

ที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจพิจารณาคือ ร้อยละ 43.8 เห็นควรจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 3 เดือน ร้อยละ 37.8 ระบุภายใน 6 เดือน ร้อยละ 16.2 ระบุภายใน 1 ปีและร้อยละ 2.2 มากกว่า 1 ปีขึ้นไป ตามลำดับ

จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่าร้อยละ 53.5 เป็นเพศหญิง ร้อยละ 46.5 เป็นเพศชาย ตัวอย่างร้อยละ 6.4 อายุต่ำกว่า  20 ปี ร้อยละ 16.5 อายุระหว่าง 20-29 ปี ร้อยละ 22.9 อายุระหว่าง 30-39 ปีร้อยละ 23.3 อายุระหว่าง 40-49 ปี และตัวอย่างร้อยละ 30.9 อายุระหว่าง 50 ปีขึ้นไป ตัวอย่างร้อยละ 45.7 จบมัธยมศึกษาตอนต้นหรือต่ำกว่า รองลงมาร้อยละ 28.8 จบมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่าหรือ ปวช. และร้อยละ 14.6 จบปริญญาตรี ส่วนผู้ที่จบอนุปริญญาหรือเทียบเท่าหรือ ปวส. และจบสูงกว่าปริญญาตรี มีร้อยละ 9.3 และ 1.6 ตามลำดับ

เมื่อจำแนกตามอาชีพ พบว่าร้อยละ 44.1 มีอาชีพค้าขายรายย่อย/อิสระ รองลงมาร้อยละ 17.2 เป็นผู้รับจ้างใช้แรงงานทั่วไป ร้อยละ 13.8 เป็นลูกจ้าง/พนักงานบริษัท ร้อยละ 11.8 เป็นแม่บ้าน/พ่อบ้าน/เกษียณอายุ ร้อยละ 4.5 เป็นข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 4.3 เป็นนักเรียน/นักศึกษา และร้อยละ 4.3 อื่นๆ อาทิ อาชีพเกษตรกร/ประมง รวมถึงว่างงาน/ไม่ประกอบอาชีพ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net