รายงานวงเสวนา "ประสบการณ์ด้านปรมาณูในนางาซากิ" ที่เชียงใหม่ โดยฮะคะริยะ มิชิโอะ สมาชิกชมรมสนับสนุนสันติภาพในนางาซากิ ผู้ได้รับผลกระทบจากระเบิดปรมาณูเมื่อ 65 ปีที่แล้ว “ผมอยากจะให้ท่านศึกษาสันติภาพโดยผ่านวิกฤตจากระเบิดปรมาณู”
“ก่อนวันที่จะมีการทิ้งระเบิดปรมาณูลงมา ผมได้นัดหมายกับเพื่อนว่า‘พรุ่งนี้เราไปตกปลาฮะเซะที่แม่น้ำอุระคะมิกันเถอะ’ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2488 ผมถูกพ่อแม่ตะคอกว่า‘ทำการบ้านแล้วค่อยไป’ ในขณะที่ทำการบ้านอยู่อย่างไม่มีทางเลือกนั้นก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น และมีแสงสว่างเจิดจ้าห่างออกไปประมาณ 3,800 เมตร จากนั้นมีผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมากที่แม่น้ำอุระคะมิ เพื่อนผมดังกล่าวสูญหายไป เป็นการนัดหมายกับนักเรียนชั้น ป.2 ที่แม้แต่ปัจจุบันก็ยังรู้สึกเศร้าอยู่ตลอดเวลา ชีวิตของมนุษย์ยังมีวิกฤตที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้แต่ก็มนุษย์มีปัญญาที่จะทำให้วิกฤตดังกล่าวลดน้อยลงได้ ผมอยากจะให้ท่านศึกษาสันติภาพโดยผ่านวิกฤตจากระเบิดปรมาณู”
(ข้อความจากป้ายประชาสัมพันธ์หน้างานเสวนา)
เมื่อวันที่ 11 ส.ค. ที่ห้อง 4210 อาคาร 4 สาขาวิชาสังคมศึกษาและสิ่งแวดล้อม คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้จัดบรรยายในหัวข้อ "ประสบการณ์ด้านปรมาณูในนางาซากิ" โดยคุณฮะคะริยะ มิชิโอะ สมาชิกของชมรมสนับสนุนสันติภาพในนางาซากิ ดำเนินรายการโดย เชษฐภูมิ วรรณไพศาล อาจารย์คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ผู้ดำเนินรายการกล่าวว่า วันที่ 14 ก็เป็นวันครบรอบอีกวันหนึ่งที่พวกเราในฐานะที่เป็นครูสังคมศึกษาทุกคนจะต้องจดจำว่าเป็นวันยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเราก็คิดว่าเดือนสิงหาคมน่าจะเป็นเดือนหนึ่งที่เราจะมาคุยกันเรื่องสันติภาพ เพราะว่า หนึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเดือนแห่งความรักนั่นก็คือวันแม่ ในอีกแง่หนึ่งคือ แม่เป็นผู้พิทักษ์สันติภาพให้แก่พวกเราทุกคน ก็เลยคิดว่าวันที่ 14 สิงหาคมที่จะถึงนี้ก็เป็นวันสำคัญเช่นเดียวกัน และพวกเราก็คิดว่าในวันนี้เราต้องการสันติที่เกิดขึ้นในสังคมโลก เหตุการณ์ในนางาซากิก็เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่ใช้เป็นแบบเรียน ใช้ในการศึกษา ทุกคนก็จะจำได้ว่าที่ฮิโรชิมาและนางาซากิเป็นมูลเหตุของการยุติสงครามโลก โดยกำหนดการรำลึกสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นวันที่ 15 ประเด็นวันนี้คือเหตุการณ์ที่ผ่านมาเขาได้รับผลกระทบเป็นกรณีศึกษาเวลาพูดถึงเรื่องการเรียนการสอนเรื่องสันติภาพหรือสันติศึกษา ไม่ว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 หรือครั้งที่ 2 การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 1 และครั้ง 2 เราก็ล้วนแต่ต้องการให้เกิดสันติภาพขึ้น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นบทเรียนที่ได้จากความขัดแย้ง
ต่อมา นายมิชิโอะ เริ่มบรรยายประกอบภาพ มีรายละเอียดดังนี้ (หมายเหตุจากประชาไท: ภาพที่ใช้นำเสนอบางภาพมีลักษณะไม่เหมาะสม)
ผมชื่อฮะคะริยะ มิชิโอะ หรืออาจจะเรียกผมว่า มิชิ ก็ได้ ผมเกิดเมื่อ 73 ปีที่ผ่านมา อาจจะยังดูหนุ่มอยู่ วันนี้จะขออนุญาตมาพูดคุยในหัวข้อเรื่องสันติภาพ ซึ่งประเทศไทยตอนที่เกิดสงครามโลกก็อาจจะมีส่วนร่วมอยู่บ้างเล็กน้อย แต่อาจจะไม่โดดเด่นเท่าประเทศญี่ปุ่น ถ้าพูดถึงสงครามโลกทุกท่านสามารถจินตนาการไปได้ถึงคุณปู่ คุณตา คุณย่า คุณยายของเราที่ท่านยังเป็นเด็ก เพราะว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้ว หากเทียบกับการพูดถึงสงครามที่ประเทศเวียดนามกับประเทศสหรัฐอเมริกาที่เพิ่งสิ้นสุดเมื่อประมาณ 30 ปีที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นวันนี้หัวข้อก็จะเกี่ยวข้องกับเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2
เมื่อ 60 ปีที่ผ่านมา สาเหตุอะไรที่ทำให้เกิดสงครามโลก เราจะย้อนไปดูกัน
นี่คือรูปภาพปัจจุบันของเมืองนางาซากิ ซึ่งมีประชากรเยอะมาก ซึ่งมีประมาณ 20-30 ล้านคน เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศเกาะ ฉะนั้นในแต่ละเกาะก็จะมีผู้คนอาศัยอยู่เยอะมาก ๆ ถ้าเทียบกับประเทศไทยแล้วเป็นเกือบ 2 เท่าตัวเลย
เมื่อ 65 ปีก่อน เมืองแห่งนี้เป็นท้องทุ่งที่ถูกเผาไหม้จนไม่เหลืออะไรเลยจากระเบิดปรมาณู จุดนี้คือจุดศูนย์กลางที่ระเบิดปรมาณูถูกทิ้งลงมาในตอนนั้น และ บรรยากาศโดยรอบ
นี่เป็นภาพที่ถ่ายโดยทหารอเมริกันก่อนที่จะมีการทิ้งระเบิดปรมาณู 2 วัน โดยที่ทหารอเมริกันได้วางแผนและถ่ายรูปนี้ไว้
หลังจากที่ปรมาณูถูกทิ้งลง ทุกสิ่งทุกอย่างก็หายไปหมดเลย นางาซากิจริงๆ แล้วเป็นเมืองท่า หลังจากที่ระเบิดปรมาณูลงทุกสิ่งทุกอย่างก็สูญสิ้น
นี่คือสภาพของเมืองนางาซากิ เป็นจุดศูนย์กลางที่ระเบิดทิ้งลงมา จะเห็นได้ว่ามีคนถูกเผาไหม้ทั้งเป็น สังเกตได้ว่าในภาพจะมีญาติๆ กำลังตามหาอยู่โดยรอบ
เมื่อปี 1941 ในภาพที่มีเส้นวงล้อมรอบ นั่นคือประเทศที่ถูกประเทศญี่ปุ่นรุกราน ได้ทำสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อให้กลายเป็นประเทศของตัวเอง ญี่ปุ่นได้ยึดประเทศเกาหลี ไต้หวัน และจีน ในประเทศเวียดนามเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส ประเทศพม่าเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ หมู่เกาะฟิลิปปินส์เป็นเมืองขึ้นของฮอลแลนด์
สมัยนั้น ประเทศต่างๆ ในเอเชียตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศตะวันตก ยกเว้นประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่น ประเทศไทยไม่เหมือนญี่ปุ่นตรงที่รักษาเอกราชและไม่ก่อสงคราม (หมายเหตุจากประชาไท: รัฐบาลสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม นำประเทศเข้าร่วมสงครามโลกกับญี่ปุ่นในฝ่ายอักษะ ขณะที่ปรีดี พนมยงค์ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์รัชกาลที่ 8 ได้ก่อตั้งขบวนการเสรีไทยอย่างลับๆ และร่วมมือกับฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้ไทยไม่ตกเป็นประเทศแพ้สงคราม หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2) ในสมัยปู่ย่าถือว่าโชคดีมากที่ไม่ถูกทหารยุโรปรุกราน
ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 150 ปีก่อน ประเทศที่มีอำนาจกว่ายึดประเทศที่ด้อยกว่าเป็นเรื่องธรรมดา ถ้ายึดได้แล้วก็จะยึดเอาทรัพยากรดีๆ กลับไป ญี่ปุ่นเมื่อเห็นข้อดีของการทำสงครามของประเทศมหาอำนาจก็เลยอยากรุกรานประเทศอื่นในเอเชียมากขึ้น ทำให้ขัดแย้งกับอเมริกาและประเทศยุโรปต่างๆ จึงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้น
นี่คือรูปครอบครัวของผม ขณะนั้นผมอายุได้ 3 ขวบ อีก 5 ปีต่อมา พี่ชายคนโตหายไปเพราะไปทำสงคราม ผมมีน้องสาวเพิ่มขึ้นมา ในตอนนั้นญี่ปุ่นเองต้องการให้มีลูกเยอะมากๆ แต่เป็นเรื่องลำบากที่ต้องเลี้ยงลูกจำนวนมาก แต่ต้องการเพิ่มศักยภาพทางการทหาร จึงสนับสนุนให้มีลูกมาเพื่อทำสงคราม ต่างจากปัจจุบันที่สนับสนุนให้มีลูกครอบครัวละหนึ่งคน ตอนผมอายุ 7 ปี ผมอยู่ชั้น ป.1 พอผมขึ้น ป.2 สงครามโลกก็สิ้นสุดลง
ตัวอย่างระเบิดปรมาณูที่ทิ้งลงที่นางาซากิ เมื่อเทียบกับคนแล้วคนตัวเล็กมาก ทำลายล้าง เท่ากับระเบิด TNT 2,000 ตัน สิ่งที่น่ากลัวขณะที่เกิดระเบิดคือ แสง แรงลม และกัมมันตภาพรังสี แรงระเบิดมีฤทธิ์ทำลายล้างสูง ในระยะ 1.5 กิโลเมตรจากศูนย์กลางจะตายหมด
เป็นภาพตรงจุดศูนย์กลาง ทุกอย่างจะถูกเผาไหม้ทั้งหมด หลังจากที่ระเบิดลงคนก็จะมาคนหาย มาหาศพ คนที่เสียชีวิตทันที 70,000 คน นางาซากิมีคน 200,000 คน 1 ใน 3 ของประชากรตายในการระเบิด นี่ภาพผู้หญิงกับลูกเสียชีวิตห่างจากจุดเกิดเหตุกิโลเมตรกว่าๆ ลักษณะศพมอดไหม้เป็นตอตะโก
เด็กบางคนอาจรอดชีวิตแต่ก็ร้องไห้ระงม
มีผู้คนรอรักษาแต่ก็เหมือนกับรอความตายเพราะไม่รู้ว่าจะรอดไหม
พี่ชายกำลังแบกน้องชายไปรักษา ภาพนี้จะเห็นเยอะมากจนกลายเป็นเรื่องธรรมดาในตอนนั้น
เป็นภาพโรงเรียนประถม ผู้บาดเจ็บมีเยอะมากจนต้องใช้โรงเรียนเป็นโรงพยาบาลชั่วคราว
ภาพที่เป็นห้องเรียนกลายเป็นห้องรักษาผู้ป่วย ในความเป็นจริงแล้วผู้บาดเจ็บจะทยอยเสียชีวิตเรื่อยๆ ตลอดจนใช้เป็นที่อาศัยของผู้คนด้วยเช่นกัน
ผู้คนที่รอรักษามีเส้นผมกระจัดกระจายเพราะกัมมันตภาพรังสี
ภาพผู้หญิงที่ถูกรังสีทำให้ลวดลายกิโมโนติดแผ่นหลัง ถ้าคนที่ไม่มีเสื้อผ้าจะไหม้เกรียมไปหมดเลย
ช่วงเดือนสิงหาคมอากาศจะร้อนที่สุด ศพจะเหม็นมาก ลานต่างๆ ในนางาซากิก็จะมีการเผาศพ ในกัมพูชา พอลพตฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จนมีคนเสียชีวิตล้านคน ในญี่ปุ่นคนเสียชีวิตมากกว่า 3 ล้านคน ในประเทศจีนตัวเลขไม่ชัดเจนแต่ในสมัยที่ญี่ปุ่นมีปัญหากับจีน ทำให้มีคนเสียชีวิต 35 ล้านคน ปัญหาที่ทำให้คนตายเยอะอย่างนี้เกิดมาจากปัญหาทางศาสนา เชื้อชาติ ชนชั้น
ภาพพี่ชายไม่ใส่รองเท้ายืนตรงอย่างตื่นตระหนกเพราะกำลังรอต่อแถวเพื่อเผาน้องชายตัวเอง
บ่อยครั้งที่ต้องเผาศพในที่โล่งแจ้งเวลากลางคืน บางครั้งต้องเอาศพกองรวมกันแล้วเผาทีละหลายๆ ศพ สนามกีฬาในโรงเรียนก็กลายเป็นที่เผาศพชั่วคราว
ภาพเหยื่อของระเบิด เด็กที่ถูกกัมมันตภาพรังสีไม่เหลือเส้นผมเลย ภาพผู้ชายอยู่ในสภาพครึ่งเป็นครึ่งตาย เขามีอากาศเลือดตกใน ไม่ต่างจากศพ
ชายในภาพปาฏิหาริย์มากที่เขายังมีชีวิตอยู่ เขาอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุ 1.5 กิโลเมตรแต่รอดมาได้ แต่ว่าแผ่นหลังของเขามีบาดแผลฉกรรจ์ ตลอดชีวิตของเขาไม่สามารถนอนหงายได้ ต้องนอนคว่ำตลอด
รูปแสดงจำนวนระเบิดนิวเคลียร์ เป็นข้อมูลปี 2009 ล่าสุดมีข้อมูลว่าประเทศพม่ามีอุปกรณ์บางส่วนที่สามารผลิตระเบิดนิวเคลียร์ได้นำเข้ามาจากเกาหลีเหนือ สรุปว่าทั่วโลกมีประมาณ 20,000 ลูก บางประเทศไม่ได้ถูกนำมาใส่ไว้ในนี้
ผมเป็นหนึ่งในคนที่เป็นเหยื่อของปรมาณู เลยมีการรณรงค์เรื่องสันติภาพ และให้คนทั่วโลกรู้ว่าระเบิดนิวเคลียร์น่ากลัวอย่างไร ซึ่งผมกับเพื่อนกำลังทำกันอยู่ ตอนนี้ประธานาธิบดีโอบามาประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะพยายามลดจำนวนอาวุธนิวเคลียร์แล้ว
กลุ่มผมมีเพื่อน 10 คน ไปมาแล้ว 20 ประเทศทั่วโลก เพื่อบอกความร้ายแรงของระเบิดนิวเคลียร์และเรื่องสันติภาพ เป็นตัวแทนของประเทศญี่ปุ่นที่เรียกร้องเรื่องสันติภาพไปทั่วโลก ผมเคยไปบรรยายที่เวียดนาม
จากนี้ไปอาวุธนิวเคลียร์จะร้ายแรงไปอีก 10 เท่าตัว ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง
ตอนผมไปบรรยายที่อียิปต์ ที่นั่นมีกับระเบิด ผมตกใจมากเพราะคิดว่ามีกับระเบิดแต่ในเวียดนามและกัมพูชา แต่คนที่นั่นบอกว่าที่อียิปต์มีเยอะที่สุดในโลก ฝังไว้ในทะเลทราย เวลาฝังกับระเบิดในทะเลทราย บางครั้งลมแรงพัดจนไม่ทราบว่าฝังระเบิดอยู่ที่ไหน ทำให้ยากต่อการทำลายและอยู่ดีๆ ก็เกิดระเบิดขึ้นเอง
ที่เอกวาดอร์ผมได้รับการรับรองจากประธานาธิบดีและในรัฐธรรมนูญของเขาก็เขียนไว้ว่าห้ามทำระเบิดนิวเคลียร์ ในโลกมี ประเทศที่ห้ามครอบครองและผลิตอาวุธนิวเคลียร์ ได้แก่ ญี่ปุ่น เอกวาดอร์ อีกประเทศผมไม่แน่ใจ
ก่อนที่ระเบิดจะลงผมนัดกับเพื่อนว่าจะไปว่ายน้ำด้วยกัน ใกล้ๆ กับจุดที่ระเบิดจะลง ในวันนั้นตอนเช้า ผมกำลังจะออกไปตามนัด แต่แม่ของผมดุไม่ให้ผมไป บอกว่าต้องทำการบ้านให้เสร็จก่อน วันนั้นผมทำการบ้านทั้งน้ำตา แต่ตอน 11.02 น. ก็ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นตรงแม่น้ำที่นัดกันไว้ ที่บ้านเศษกระจกกระจัดกระจาย แรงลมจากลูกระเบิดสูงมาก ถ้าเทียบกับการคว้างลูกเบสบอลจะเร็วเป็น 4 เท่าซึ่งแรงมากๆ
ภาพสุดท้ายนี้เป็นภาพนางาซากิในปัจจุบัน ผมรู้สึกดีใจที่ได้พูดถึงความน่ากลัวของระเบิดนิวเคลียร์ในวันนี้ นางาซากิเป็นเมืองสุดท้ายที่ถูกระเบิดและยังไม่มีประเทศไหนโดนระเบิดอีก ผมอยากขอความร่วมมือจากท่านฝากบอกคนอื่นๆ ว่าระเบิดนิวเคลียร์น่ากลัวอย่างไร บอกกับคนที่ไม่ได้มาฟังในวันนี้
ในช่วงท้ายของการบรรยาย รศ.ดร.สมโชติ อ๋องสกุล คณะศึกษาศาสตร์ได้กล่าวปิดท้ายการบรรยาย โดยได้แนะนนำหนังสือที่มีชื่อว่า “นางาซากิ เสียงครวญแห่งสันติ The Bells of NAGASAKI” หรือในภาษาญี่ปุ่นคือ “NAGASAKI NO KANE” เขียนโดย ดร.ทะคะชิ นะกะอิ แปลเป็นภาษาอังกฤษโดย William Johnston และแปลเป็นภาษาไทยโดยฉัตรนคร องคสิงห์ ได้นำภาพบางส่วนจากหนังสือแสดงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้แก่
“ลูกรักพ่อยังอยู่ ช่วยตามหาพ่อด้วย”
เป็นข้อความที่พบทั่วไปตามผนังต่างๆ ของเมืองตามโรงพยาบาล
นอกจากนี้แล้วยังมีภาพถ่ายฟิล์มเอ็กซเรย์ที่หลงเหลือเงาของเหยื่อที่ถูกระเบิดปรมาณูแต่ร่างกายของเขาไม่เหลือแล้ว รูปกองทัพทหารญี่ปุ่นในประเทศไทย รูปวัดในเชียงใหม่ที่ทหารญี่ปุ่นมาพักอาศัยอยู่
ความรุนแรงจากสงครามโลกทำให้ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ได้เรียกร้องว่าอย่าก่อสงครามขึ้นอีกเลย
“เรื่องสงครามเป็นเรื่องใหญ่สำหรับพวกเรา คุณมิชิโอะอายุได้ 2 ขวบได้ผ่านเหตุการณ์ความรุนแรง เราเองก็ได้ผ่านเหตุการณ์ความรุนแรงด้วยเช่นกัน ในเดือนพฤษภาคม 53 ที่ผ่านมา ตอนเราอายุ 20 ขวบ (หมายถึงนักศึกษาที่มาฟังบรรยาย) ณ วันนี้ความพยายามไม่ให้เกิดสงครามก็อาจจะถูกทำให้เกิดสงครามในกรณีเขาพระวิหาร เป็นภารกิจของคนหนุ่มสาวที่ต้องคิดต้องช่วยกัน” สมโชติกล่าว