Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

ประเทศไทยกำลังพิจารณาว่า จะสร้างระบบชดเชยแก่ผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุขอย่างกว้างขวางหรือไม่ ขณะที่ในปัจจุบัน ผู้ป่วยในประเทศไทยที่หวังว่าจะได้รับค่าชดเชยความเสียหายจากการรักษาพยาบาลไม่มีทางเลือกอื่น ยกเว้นการนำเรื่องขึ้นสู่ศาล ซึ่งจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าบุคลากรทางการแพทย์นั้นเป็นผู้กระทำผิดพลาดหรือละเลย ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องยาก สาเหตุหนึ่งก็คือ บริบทในการดูแลสุขภาพมักมีความซับซ้อน ยากในการสืบสวนโดยปราศจากผู้เชี่ยวชาญพิเศษ นอกจากนี้ ในกระบวนการทางศาลก็มักจะต้องใช้เวลายาวนาน และต้องใช้เงินจำนวนมาก

มีหลายแนวคิดที่เสนอเรื่องการชดเชยนี้ในประเทศไทย แนวคิดใหม่ก็คือ การจ่ายค่าชดเชยโดยไม่คำนึงถึงว่าจะมีบุคลากรทางการแพทย์ผู้กระทำผิดหรือไม่ เป็นระบบหนึ่งที่รู้จักกันในนาม "a no-fault system” (ระบบที่ไม่มีผู้ผิด) ซึ่งที่ถูกควรเรียกว่า "a no-blame system” (ระบบที่ไม่มีการคาดโทษ)

จากการถกเถียงกันในประเทศไทยถึงขณะนี้ ระบบนี้จะดูแลโดยองค์กรที่จัดตั้งขึ้นเป็นการเฉพาะที่จะรับมือกับการชดเชยความเสียหาย แนวคิดคือใช้กระบวนการบริหารจัดการแทนที่จะขึ้นศาลเพื่อประหยัดเวลาและประหยัดเงิน ระบบนี้ของประเทศไทยยังให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงระหว่างระบบชดเชยกับการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้จากบริการสาธารณสุข

การออกแบบระบบชดเชยความเสียหายฯ ของประเทศไทยอาศัยบทเรียนจากประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย รวมถึงประเทศสวีเดน ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1975

ในปีค.ศ.1975 ระบบประกันสุขภาพโดยสมัครใจถือกำเนิดขึ้นในประเทศสวีเดนทั้งในภาครัฐและเอกชน เพียงสองสามปีผ่านไป เกือบร้อยละ 99 ของผู้ให้บริการก็เข้าสู่ระบบนี้ ในปีค.ศ.1997 ระบบประกันสุขภาพโดยสมัครใจถูกแทนที่ด้วย พ.ร.บ.ผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุข (Patient Injury Act) กฎหมายนี้มีพื้นฐานมาจากระบบประกันสุขภาพโดยสมัครใจและผลกระทบจากระบบนั้น จาก พ.ร.บ.ผู้เสียหายฯ ผู้ให้บริการทุกแห่งในประเทศสวีเดนจะต้องรับประกันความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย ผู้ให้บริการจะชดเชยความเสียหายผ่านระบบประกันสุขภาพซึ่งเชื่อมโยงโดยตรงกับการดูแลรักษา ทำให้ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งที่เสียหายไม่ไปฟ้องศาลเพื่อพิสูจน์ความผิด การจ่ายค่าชดเชยความเสียหายเป็นไปอย่างสมเหตุผลโดยไม่ต้องพิจารณาว่ามีความผิดพลาดเกิดขึ้นหรือไม่

หลักการสำคัญในระบบของประเทศสวีเดนก็คือ จ่ายชดเชยในทุกกรณีความเสียหายแม้จะหลีกเลี่ยงความเสียหายได้ด้วยวิธีอื่น อย่างไรก็ตาม ความเสียหายที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้แม้จะใช้เทคนิคและความรู้สมัยใหม่ล่าสุดตามมาตรฐานแล้ว จะไม่ได้รับค่าชดเชย มาตรฐานการดูแลรักษาที่ว่านี้หมายถึงมาตรฐานที่ผู้เชี่ยวชาญผู้มีประสบการณ์ในด้านนั้นๆ เคยใช้อยู่ บริษัทประกันจะเป็นผู้รับผิดชอบการเรียกร้องค่าเสียหายในเบื้องต้น บริษัทประกันรายเดียวคือ County Councils’ Mutual Insurance Company (LÖF) รับผิดชอบมากกว่าร้อยละ 90 ของการเรียกร้องค่าชดเชย ถ้าคนไข้รายใดไม่พอใจการประเมินของบริษัทประกัน เขาสามารถขอให้คณะกรรมการพิจารณาข้อร้องเรียนของคนไข้ (Patient Claims Panel) ทำการทบทวนใหม่ได้ แม้ว่าคณะกรรมการฯ นี้จะเป็นเพียงที่ปรึกษา แต่บริษัทประกันต่างๆ ก็มักจะยอมรับการตัดสินนั้นๆ การประเมินทั้งของบริษัทและคณะกรรมการฯ ดังกล่าวไม่มีค่าใช้จ่ายที่เกิดกับคนไข้ ดังนั้นคนไข้จึงไม่มีความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจในการยื่นข้อร้องเรียน ถ้าคนไข้ไม่พอใจการประเมินของคณะกรรมการฯ ก็สามารถไปยื่นฟ้องต่อศาลต่อไปได้ อย่างไรก็ตาม คนไข้ก็จะมีความเสี่ยงที่จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในการดำเนินคดีที่เกิดขึ้นทั้งสองฝั่งถ้าแพ้คดี จากการเรียกร้องค่าเสียหาย 10,000 รายต่อปี มีเพียง 5 – 10 รายเท่านั้นที่ไปยื่นฟ้องต่อศาล

เนื่องจากมากกว่าร้อยละ 90 ของการดูแลทางการแพทย์ในประเทศสวีเดนเป็นภาครัฐ ดังนั้นระบบการชดเชยนี้ส่วนใหญ่จึงจ่ายด้วยภาษีอากร

ระบบประกันสุขภาพของชาวสวีเดนทำงานอย่างไร และประเทศไทยจะเรียนรู้อะไรได้บ้างจากประเทศสวีเดน?

จ่ายชดเชยตามความเสียหายที่ปรากฎ

จากหลักการสำคัญของระบบสวีเดน ทุกความเสียหายที่หลีกเลี่ยงได้จะได้รับค่าชดเชย คนไข้ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ว่ามีบุคลากรการแพทย์ที่กระทำความผิดพลาด

คนไข้จำนวนมากขึ้นได้รับค่าชดเชยความเสียหาย

ก่อนหน้าระบบประกันสุขภาพจะเกิดขึ้นในปี ค.ศ 1975 มีคนไข้ประมาณ 100 รายต่อปีได้รับค่าชดเชยความเสียหายตามบทบัญญัติในกฎหมายความเสียหาย (tort law rules) ขณะนี้ คนไข้ประมาณ 5,000 รายต่อปีได้รับค่าชดเชยความเสียหาย ดังนั้น ผลก็คือจึงมีคนไข้ในสวีเดนจำนวนมากขึ้นอย่างมากที่ได้รับค่าชดเชยความเสียหายภายใต้ระบบไม่คาดโทษ (no-blame system) ในปัจจุบัน

จัดการปัญหาการร้องเรียนได้เร็วขึ้น

คดีในศาลใช้เวลาหลายปี แต่เมื่อใช้วิธีบริหารจัดการแบบนี้แทน จะใช้เวลาไม่ถึงปี ร้อยละ 50 ของการร้องเรียนเรียกค่าเสียหาย คนไข้จะได้รับแจ้งว่าจะได้รับค่าชดเชยหรือไม่ภายใน 6 เดือนนับจากวันยื่นร้องเรียน ร้อยละ 80 ของทั้งหมดจะได้รับแจ้งผลการพิจารณาภายในหนึ่งปี

เป็นวิธีที่มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า

ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของบริษัทประกันในการจัดการนี้คือประมาณ 1,100 US$ ขณะที่การพิจารณาของคณะกรรมการฯ มีค่าใช้จ่ายประมาณ 1,200 US$ ต่อราย เมื่อเปรียบเทียบกับคดีทางศาลซึ่งมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยประมาณ 27,000 US$ ดังนั้นวิธีทางการบริหารแบบนี้จึงมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่ามากๆ

ไม่มีความเสี่ยงทางเศรษฐกิจสำหรับคนไข้

ดังได้กล่าวแล้วว่า วิธีทางการบริหารไม่มีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นกับคนไข้ คนไข้จึงไม่มีความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่จะยื่นร้องเรียนในระบบประกันของประเทศสวีเดน

สิ่งที่น่าสนใจประการหนึ่งเมื่อเปรียบเทียบระบบของประเทศสวีเดนกับระบบของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งใช้กฎหมายความเสียหาย (tort law) ก็คือ ประมาณร้อยละ 70 ของเงินในระบบประกันของประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นค่าทนายและค่าบริหารจัดการ ส่วนระบบของประเทศสวีเดนมีค่าบริหารจัดการน้อยกว่าร้อยละ 20 ดังนั้นคนไข้จึงรับไปมากกว่าร้อยละ 80 ของเงินในระบบประกัน ที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งในระบบของประเทศสหรัฐอเมริกาก็คือ ทนายสหรัฐฯ ทำงานด้วยความหวังเงินสำรอง คอยรับส่วนแบ่งบางส่วน (ระหว่างร้อยละ 30 ถึง 40) ของเงินที่คนไข้ควรจะได้รับจากความเสียหาย ดังนั้น จึงไม่มีทนายความผู้ใดรับว่าความคดีที่จะได้รับค่าชดเชยน้อยกว่า 200,000 US$ ส่งผลให้คนไข้ผู้เคราะห์ร้ายจำนวนมากในสหรัฐอเมริกายากที่จะหาทนายมาว่าความให้ตนได้

ลูกจ้างผู้ประกันตนเป็นผู้จ่ายเบี้ยประกัน ดังนั้นจึงไม่มีความเสี่ยงทางเศรษฐกิจสำหรับแพทย์

ในระบบของสวีเดน การที่ลูกจ้างเป็นผู้จ่ายเบี้ยประกันในระบบประกันสุขภาพเป็นการขจัดความเสี่ยงทางเศรษฐกิจแก่แพทย์แต่ละคน

ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคนไข้กับบุคลากรทางการแพทย์

การแก้ปัญหาของสวีเดน โดยแยกเรื่องออกจากกันระหว่างเรื่องสิทธิของคนไข้ในการเรียกร้องค่าชดเชยกับเรื่องความผิด มิเพียงแต่ทำให้คนไข้ได้รับค่าชดเชยความเสียหายจากการรักษาทางการแพทย์ได้ง่ายขึ้น แต่ยังทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคนไข้กับบุคลากรทางการแพทย์ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญด้วย คนไข้ที่ต้องการเรียกค่าชดเชยไม่จำเป็นต้องค้นหาสาเหตุของความผิดพลาดหรือความประมาทในการรักษา คนไข้เข้าใจได้มากขึ้นว่า ความเสียหายอาจเกิดขึ้นในระหว่างกระบวนการรักษาโดยที่ไม่ได้มีแพทย์หรือเจ้าหน้าที่คนใดละเลยหรือกระทำการผิดพลาด ในทางตรงข้าม คนทำงานในทีมดูแลรักษา ก็ไม่ต้องระแวงว่าจะเกิดการเรียกร้องค่าชดเชยได้ในทุกขณะ หรือเกรงว่าจะถูกตรวจสอบพฤติกรรมอย่างเข้มข้นเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีผู้ใดละเลยหรือกระทำผิดพลาด ส่งผลให้บุคลากรทางการแพทย์เต็มใจช่วยเหลือคนไข้ผู้เคราะห์ร้ายจากการรักษาของตนให้ได้รับค่าชดเชยโดยไม่ต้องกังวลว่าใครจะเป็นผู้รับผิดในความเสียหายนั้น

ดังได้กล่าวแล้วข้างต้น ระบบของประเทศสวีเดนได้ให้ประสบการณ์เชิงบวกมากมาย ซึ่งระบบนี้ทำงานได้อย่างดีเยี่ยมมาเป็นเวลามากกว่า 30 ปี อย่างไรก็ตาม ต้องเน้นย้ำว่า ประเทศหนึ่งประเทศใดไม่ควรลอกเลียนแบบระบบของประเทศอื่นในทุกแง่ทุกมุม แต่ต้องพิจารณาเงื่อนไขต่างๆ เช่น ระบบสวัสดิการสังคมของประเทศ ระบบการดูแลรักษาสุขภาพ และปัจจัยทางด้านวัฒนธรรม ซึ่งอาจแตกต่างอย่างมากระหว่างประเทศหนึ่งกับอีกประเทศหนึ่ง การชดเชยความเสียหายแก่คนไข้ในสวีเดนเกิดขึ้นในบริบทที่มีระบบสวัสดิการสังคมอย่างกว้างขวางแล้ว

อย่างไรก็ตาม มีแนวคิดพื้นฐานมากมายในระบบประกันสุขภาพของประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวียที่ประเทศไทยสามารถนำมาใช้ในการพิจารณาได้เนื่องจากระบบคล้ายกัน ข้อดีประการหนึ่งที่มีในระบบของประเทศไทยก็คือ ความเชื่อมโยงอย่างเหนียวแน่นระหว่างระบบชดเชยกับกิจกรรมต่างๆ ที่มุ่งป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดกับคนไข้ในอนาคต นี่คือองค์ประกอบที่ประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวียสามารถเรียนรู้จากประเทศไทย ที่น่าประทับใจก็คือ การที่ประเทศไทยกำลังพิจารณานำระบบไม่คาดโทษ (no-blame system) มาใช้ ในขณะที่ประเทศส่วนใหญ่ในยุโรป สหรัฐอเมริกา และประเทศที่พัฒนาแล้วอื่นๆ อย่างเช่น ญี่ปุ่น ยังไม่ได้นำระบบนี้มาใช้เพื่อชดเชยคนไข้อย่างเป็นธรรม ถึงวันนี้ มีเพียงประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวียและนิวซีแลนด์เท่านั้นที่มีระบบบริหารจัดการอย่างรอบด้านเพื่อการชดเชยความเสียหายที่เกิดกับคนไข้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ประเทศไทยจะเข้ามาร่วมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วยในไม่ช้า

 

---------------------------------------

ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบนี้ในประเทศสวีเดนได้จาก www.patientforsakring.se และ “Medical Liability in the Land of the Midnight Sun” by Kaj Essinger CEO The Regions’ (The County Councils) Mutual Insurance Company for Patient Injuries (LÖF) สำหรับเนื้อหาใน พ.ร.บ.ผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุข ของประเทศสวีเดน และข้อคิดเห็นเกี่ยวกับระบบของประเทศสวีเดน ดูได้ที่ www.pff.se

หมายเหตุ: แปลจาก Lessons from Sweden's no-blame compensation http://www.bangkokpost.com/opinion/opinion/189516/lessons-from-sweden-no-blame-compensation

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net