Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

ผมเคยเขียนโต้แย้ง ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ประธานคณะกรรมการแก้ไขรัฐธรรมนูญ (ตามแผนปรองดอง) ในประเด็นที่ว่า การตัดสินใจทางการเมืองของคนชั้นกลางที่มีการศึกษาเป็นการตัดสินใจที่มีคุณภาพมากกว่าการตัดสินใจทางการเมืองของคนชั้นล่างที่มีการศึกษาต่ำ โดยชี้ว่า ความเห็นของ ดร.สมบัติอาจไม่จริงเสมอไป เพราะประวัติศาสตร์การเมืองเวลานี้ชี้ชัดว่าคนชั้นกลางที่มีการศึกษาดีกว่าเลือกสนับสนุน หรือยอมรับรัฐประหาร และกระบวนการสืบเนื่องจากรัฐประหาร ขณะที่คนชั้นล่างที่มีการศึกษาต่ำกว่าออกมาต่อต้านรัฐประหาร หรือปฏิเสธรัฐประหาร และกระบวนการที่สืบเนื่องจากรัฐประหาร (โปรดดูhttp:/www.prachatai3.info/journal/2010/06/29980)แม้เราอาจถกเถียงกันได้ว่า การที่คนชั้นล่างออกมาต่อต้านรัฐประหารนั้นอาจเป็นเรื่องของศรัทธาในตัวบุคคลหรือศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย? แต่การที่คนชั้นกลางมีการศึกษาดีสนับสนุน หรือยอมรับรัฐประหารนั้น เป็นหลักฐานที่ยืนยันได้ว่า การมีการศึกษาไม่ได้สร้างหลักประกันการตัดสินใจทางการเมืองที่มีคุณภาพ (ในความหมายว่ายึดหลักการประชาธิปไตย) เสมอไป

ฉะนั้น สิ่งที่น่าตั้งคำถามคือ การศึกษาของบ้านเราเป็นอะไรไป ทำไมคนที่มีการศึกษาดี เช่น อาจารย์มหาวิทยาลัย หรือกระทั่งอธิการบดีของมหาวิทยาลัยชั้นนำ จึงเลือกที่จะอยู่ข้างรัฐประหาร แสดงความเห็นสนับสนุน หรือตัดสินใจเข้าร่วมวงไพบูลย์กับรัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร?

เป็นความจริงหรือไม่ว่า การศึกษาแบบทางการ ในบ้านเราแทบไม่ได้ใส่ใจกับการสร้างอุดมการณ์หรือจิตวิญญาณประชาธิปไตยเลย ยิ่งหนังสือเรียนวิชาประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะประวัติศาสตร์การเมืองการปกครอง มีลักษณะเป็น ประวัติศาสตร์ของ พ.ศ. ที่มี เนื้อหาสำคัญ ประมาณว่า ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น นักเรียนที่เรียนประวัติศาสตร์แบบนี้อาจทำข้อสอบได้เกรด A หากเขากากบาทถูกว่า พ.ศ.ใดมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง

นักเรียนที่ได้เกรด A ไม่จำเป็นต้องเข้าใจบริบททางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง โครงสร้างอำนาจ ความคิด และบทบาทของคนชั้นนำในเวลานั้น ความเป็นอยู่ สิทธิอำนาจของประชาชนทั่วไป ไม่ต้องเข้าใจการก่อตัวของแนวความคิด เหตุผล อุดมการณ์ที่นำมาสู่การเกิดเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ เช่น การเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 เป็นต้น

ทั้งนี้เพราะ แบบเรียนวิชาประวัติศาสตร์ คือแบบเรียนที่ตัดตอน ลดทอนความจริงบางแง่บางด้านออกไป เช่น เมื่อเรียนประวิศาสตร์ พ.ศ.2475 นักเรียนไม่มีโอกาสจะได้อ่านประกาศคณะราษฎรฉบับเต็มที่วิพากษ์วิจารณ์ความฟอนเฟะของระบบกษัตริย์ในขณะนั้น การปกครองที่กดขี่ ความอยุติธรรมต่างๆ เป็นต้น อันเป็นเหตุผลสำคัญที่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงการปกครอง

วิชาประวัติศาสตร์ไม่มีเนื้อหา หรือ เวที ให้กับการวิเคราะห์ ประเมินค่าอุดมการณ์ และอื่นๆ ที่อาจทำให้ผู้เรียนเกิดมโนสำนึกว่า อุดมการณ์ และการเสียสละของผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง มีความหมาย (meaningful) ต่อสภาพสังคมและวิถีชีวิตในยุคเราอย่างไร และหรือมี คุณค่า เป็นบทเรียนต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นอย่างไร

ฉะนั้น เมื่อเรียนประวัติศาสตร์ของ พ.ศ.2475 นักเรียนอาจรู้สึกซาบซึ้ง และสำนึกในบุญคุณของผู้ที่ถูกยึดอำนาจมากว่าที่จะเห็น คุณค่า ของ คณะราษฎร ผู้ก่อการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือผู้แรกเริ่มสร้างประวัติศาสตร์การปกครองระบอบประชาธิปไตยขึ้นในประเทศของเรา

เช่นเดียวกัน เมื่อเรียนประวัติศาสตร์ 14 ตุลา 16 ประวัติศาสตร์ 6 ตุลา 19 พฤษภา 35 และต่อไปคือ ประวัติศาสตร์ 10 เมษา-พฤษภา 53 นักเรียนที่กากบาทถูกว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง ก็คงได้เกรด A เขาเป็นนักเรียนที่ได้ คะแนนดีมากเพียงเพราะว่าเขาท่องจำ ประวัติศาสตร์ของ พ.ศ. ได้ดี เขาไม่จำเป็นต้องซึมซับ ความเจ็บปวดทางประวัติศาสตร์ ไม่จำเป็นต้องซาบซึ้งใน อุดมการณ์ หรือจิตวิญญาณรักประชาธิปไตยของบรรพชนผู้เสียสละเพื่อประชาธิปไตย ไม่ต้องรับรู้หรือเกลียดชังความอำมหิตของผู้ที่ใช้อำนาจรัฐ ฯลฯ

ด้วยเหตุนี้เขาจึงเป็นนักเรียนวิชาประวัติศาสตร์ที่ได้คะแนนดีแต่ไร้หัวใจที่จะเห็นคุณค่าของอุดมการณ์และความเสียสละของผู้รักประชาธิปไตย จึงไม่แปลกที่สังคมวันนี้จะเต็มไปด้วยผู้มีการศึกษาดีแต่ไร้หัวใจ ประณามชาวบ้านที่ออกมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยด้วยทัศนะที่ตื้นเขิน ฉาบฉวย กระทั่งหยาบคาย จนถึงดูหมิ่น เกลียดชัง ขยะแขยง!

แน่นอนว่า การศึกษาเรื่องประชาธิปไตย (democratic education) และการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร เป็นเงื่อนไขสำคัญ (precondition) ที่จะทำให้การมีส่วนร่วมทางการเมือง หรือการตัดสินใจทางการเมืองของประชาชนมีความหมายต่อการพัฒนาประชาธิปไตย แต่เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ความเป็นจริงของสังคมไทยวันนี้ คนที่มีการศึกษา (กระทั่งคนที่อยู่ในภาคการศึกษา) กลายเป็นคนส่วนน้อยที่มีจิตสำนึกและออกมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย

คนเหล่านี้ไม่ทุกข์ร้อนกับการที่รัฐละเมิดเสรีภาพขั้นพื้นฐานของฝ่ายที่คิดต่างทางการเมือง ด้วยการปิดสื่อ การคง พรก.ฉุกเฉิน (ใช้อำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ) การอ้างนิติรัฐ (rule of law) แต่ไม่มีกระบวนการสอบสวนที่เที่ยงธรรม (fair trial) ไล่จับกุมฝ่ายตรงข้าม/กักขังโดยไม่ตั้งข้อหา ละเมิดสิทธิที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาคในทางกฎหมาย สองมาตรฐาน ฯลฯ

คนเหล่านี้ (ที่เป็นเจ้าของสื่อ และสามารถส่งเสียงผ่านสื่อได้มากกว่า) ไม่ได้ใส่ใจว่า ประชาธิปไตยต้องสัมพันธ์อย่างแยกไม่ออกกับหลักสิทธิมนุษยชนที่ทำหน้าที่ (function) เคารพและปกป้องความสง่างามของมนุษย์ (human dignity) ฉะนั้น รัฐบาลที่ลุแก่อำนาจจึงละเมิดสิทธิมนุษยชนได้อย่างสะดวกดาย

จึงเป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่งที่ประเทศกึ่งดิบกึ่งดีทางเสรีภาพ (partly free) อย่างบ้านเราจะเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นประเทศที่มีเสรีภาพอย่างสมบูรณ์ เนื่องจากบรรดาผู้ที่มีการศึกษา (ที่ผ่านระบบการศึกษาอันบิดเบี้ยว ไม่สร้างอุดุมการณ์ และจิตวิญญาณประชาธิปไตย) นั่นเองคือ อุปสรรค ของการเปลี่ยนแปลง!

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net