Skip to main content
sharethis

(30 พ.ค. 53) -สวนดุสิตโพลล์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ ที่มีต่อการยื่นเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ "รัฐบาล" จำนวนทั้งสิ้น 1,516 คน ระหว่างวันที่ 27-29 พ.ค.53 สำหรับความคิดเห็นของประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 52.02 เห็นด้วยที่ฝ่ายค้านยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เพื่อให้รัฐบาลได้ชี้แจงข้อเท็จจริง และแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสในการทำงาน ขณะที่ร้อยละ 32.43 ไม่เห็นด้วย เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมในช่วงนี้ ชี้ควรให้เวลารัฐบาลแก้ไขฟื้นฟูบ้านเมืองก่อน ส่วนร้อยละ 15.55 ไม่แน่ใจ เพราะหลังจากการอภิปรายเสร็จ ยังไม่รู้ว่ารัฐบาลจะตัดสินใจดำเนินการอย่างไรต่อไป

สำหรับคนที่ประชาชนอยากให้ฝ่ายค้านอภิปรายมากที่สุด อันดับ 1 ร้อยละ 42.13 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี อันดับ 2 ร้อยละ 35.53 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และอันดับ 3 ร้อยละ 12.69 นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ส่วนผู้ที่ประชาชนอยากให้ทำหน้าที่เป็นผู้อภิปรายมากที่สุด คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง มากถึงร้อยละ 74.56 ตามมาด้วยนายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายสุนัย จุลพงศธร ตามลำดับ

ส่วนเรื่องที่ประชาชนอยากรู้ในการอภิปรายครั้งนี้มากที่สุด ร้อยละ 61.20 ยกให้เรื่องการสลายการชุมนุม อันดับ 2 ร้อยละ 27.04 เรื่องการแสดงบัญชีทรัพย์สิน และร้อยละ 11.76 เรื่องการออกโฉนดและการบุกรุกทำลายทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ

สิ่งที่ประชาชนร้อยละ 42.79 เป็นห่วงและวิตกกังวลต่อการอภิปรายในภาพรวมคือ การกล่าวหากันไปมามากเกินไป เพราะไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น ทำให้เกิดความแตกแยกเหมือนเดิม

อย่างไรก็ตาม  ประชาชนร้อยละ 57.04 คาดหวังว่าจะได้รับรู้ข้อมูลที่เป็นจริงและชัดเจนมากขึ้นจากทั้ง 2 ฝ่าย อาจได้เห็นภาพถ่าย คลิปวิดีโอ ที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อนเป็นลำดับแรก นอกจากนี้ ประชาชนยังเห็นว่าการอภิปรายครั้งนี้จะทำให้การเมืองไทยเป็นเหมือนเดิมร้อยละ 60.81 ส่วนอีกร้อยละ 21.62 คาดว่าจะดีขึ้น เพราะทั้ง 2 ฝ่าย มีโอกาสได้แสดงความคิดเห็น และข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ซึ่งเป็นการต่อสู้ชิงไหวชิงพริบกันทางการเมือง ส่วนร้อยละ 17.57 มองว่า อาจทำให้แย่ลง เพราะสถานการณ์ยิ่งบานปลายมากขึ้น เหมือนเป็นการขุดคุ้ยมากกว่า และต่างฝ่ายต่างยังคงมีทิฐิกันอยู่

ทางด้านสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจเรื่อง "ประชาชนคิดอย่างไรต่อการใช้จ่ายงบประมาณเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง" กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนใน 17 จังหวัด จำนวน 1,137 ครัวเรือน ระหว่างวันที่ 25-29 พ.ค.พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 73.9 คิดว่ารัฐบาลมีงบประมาณจำกัด ขณะที่ร้อยละ 26.1 คิดว่ารัฐบาลมีงบประมาณไม่จำกัด แต่ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 87.6 คิดว่ารัฐบาลควรใช้งบประมาณเข้าไปช่วยเหลือชดเชย  เมื่อเกิดการเผาทำลายสถานที่ราชการอาคารบ้านเรือนต่างๆ เมื่อถามถึงผลเสียจากการที่รัฐบาลช่วยเหลือชดเชยกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบ จากเหตุการณ์ความไม่สงบ ร้อยละ 71.8 คิดว่าจะทำให้งบประมาณรัฐบาลที่ใช้บริหารประเทศลดลง อย่างไรก็ตามร้อยละ 89.2 คิดว่ารัฐบาลควรใช้งบประมาณช่วยเหลือเกษตรกร ที่ได้รับผลกระทบเสียหายจากภัยธรรมชาติ

เมื่อถามถึงความพร้อมในการเป็นส่วนหนึ่ง เพื่อรณรงค์ให้คนไทยรักกันพบว่า ร้อยละ 51.7 พร้อมช่วยรณรงค์และจะชักชวนคนอื่นให้รักกัน ขณะที่ร้อยละ 13.6 ไม่พร้อม และร้อยละ 10.4 ไม่พร้อม และจะบอกให้คนอื่นอยู่แบบตัวใครตัวมัน ที่น่าเป็นห่วง คือ ส่วนใหญ่ร้อยละ 57.3 ไม่เชื่อมั่นต่อหน่วยงานต่างๆ ของรัฐ ในการรับแจ้งเหตุร้าย ว่าจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็วทันสถานการณ์ความเดือดร้อนของประชาชน ขณะที่ร้อยละ 42.7 เชื่อมั่น

อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 73.1 คิดว่าคนไทยส่วนใหญ่ยังรักกัน และอยากอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ในขณะที่ร้อยละ 26.9 คิดว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่รักกันแล้ว แต่เมื่อวิเคราะห์ระดับความสุขมวลรวมของคนไทยทั้งประเทศ ประจำเดือน พ.ค. นี้พบว่า มีแนวโน้มลดลงจาก 7.15 ในเดือน มี.ค. มาอยู่ที่ 6.46 ในเดือน พ.ค. นอกจากนี้ส่วนใหญ่ร้อยละ 63.2 เห็นด้วยกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ร้อยละ 74.9 อยากเห็นการอภิปรายเชิงสร้างสรรค์หาทางออกของประเทศ แต่ร้อยละ 51.8 กังวลว่าการอภิปรายจะนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงครั้งใหม่

โฆษกเพื่อไทย แฉไอ้โม่งเป็นทหาร
30 พ.ค. 53 -  นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์  โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงกรณีการสลายการชุมนุมและภาพประชาชนที่ถูกยิงในวัดปทุมวนาราม เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยนำพยาน 5 คน ที่อยู่ในเหตุการณ์มาร่วมแถลง ข่าวประกอบด้วย นายณรงค์ศักดิ์ สิงห์แม พยานที่ถูกยิงที่ต้นขาซ้าย นางสายัณ สิงห์แม นายศักดิ์นรินทร์ สิงห์แม ชาวจังหวัดขอนแก่น  นายสุริยา สวัสดี ชาวจ.ชลบุรีและนางสุภาพร มนตรี ชาวจ.นครศรีธรรมราช พร้อมทั้งนำคลิปวีดีโอ รวมทั้งภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในวัดปทุมช่วงเย็นภายหลังที่รัฐบาลสลายการชุมนุม กลุ่มคนเสื้อแดงบริเวณสี่แยกราชประสงค์ มาประกอบการแถลงข่าว

นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า การที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดทำเนียบรัฐบาลชี้แจงกับคณะทูตานุทูตและสื่อต่างประเทศว่ารัฐบาลมีความชอบธรรมในการปราบปรามสลายการชุมนุม โดยอ้างว่ามีกลุ่มติดอาวุธหรือไอ้โม่งแฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม ตนอยากถามว่าทำไมรัฐบาลไม่เคยจับตัวไอ้โม่งได้เลยและเอาแต่ตั้งธงว่าไอ้โม่งเป็นกลุ่มคนเสื้อแดง เหมารวมว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ซึ่งข้อกล่าวหานั้นตนมีข้อมูลทั้งรูปถ่ายและคลิปวีดีโอยืนยันว่าไอ้โม่งเป็นทหาร โดยมีภาพไอ้โม่งถือปืนเอ็ม 16 ยืนคู่กับทหาร ซึ่งภาพเหล่านี้พร้อมจะนำไปโชว์ในสภาด้วย

นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีภาพทหารอยู่เต็มพื้นที่บนดาดฟ้าตึกชาญอิสระพร้อมอาวุธครบมือ เป็นปืนไรเฟิลเป็นสไนเปอร์ที่มีใช้เฉพาะทหารหน่วยกองพันจู่โจม สังกัดรบพิเศษที่ขึ้นตรงกับผบ.ทบ.   โดยหน่วยนี้นอกจาก ผบ.ทบ.แล้วจะไม่มีใครสามารถเรียกใช้งานได้เพราะต้องใช้ลายเซ็นผบ.ทบ.เท่านั้น ซึ่งเป็นภาพก่อนการเสียชีวิตของพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก นอกจากนี้ยังมีภาพเหตุการณ์ที่ทหารจับกุมคนเสื้อแดงทั้งชายและหญิงมามัดมือมัดเท้าและปิดตา รวมทั้งคลิปที่ทหารจับชายคนหนึ่งมัดมือ มัดเท้าและให้นอนราบลงบริเวณข้างวัดปทุมฯ รวมทั้งภาพที่ทหารจับกุมตัวพระสงฆ์ไปคุมขังในเรือนจำแดนต่างๆ

“รัฐบาลชุดนี้ยังเป็นชาวพุทธอยู่หรือไม่  รัฐบาลใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ คุกคามละเมิดสิทธิ์ประชาชน บ้านเมืองถูกปกครองโดยรัฐบาลอภิทธิ์ชน ผมดูภาพดูคลิปแล้วต้องหลั่งน้ำตาที่คนไทยด้วยกันทำกันถึงขนาดนี้ ขอฝากกลอนไว้บทหนึ่งว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ชน ทำดำเป็นขาว ขาวเป็นดำ คนเจ็บถูกใส่ร้าย คนตายถูกกล่าวหา คนสั่งฆ่ายังลอยหน้า คนฆ่าประชาชนยังลอยนวล” นายพร้อมพงศ์กล่าว

 

พร้อมพงศ์เรียกร้อง องค์กรระหว่างประเทศเข้ามาตรวจสอบ
นายพร้อมพงศ์ กล่าวอีกว่า ขอเรียกร้องว่านายอภิสิทธิ์ ควรจะให้องค์กรระหว่างประเทศที่มีความเป็นอิสระเข้ามาตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด เพราะถ้ารัฐบาลตั้งหน่วยงาน คณะกรรมการอิสระหรือว่าองค์ใดๆเข้ามาตรวจสอบจะทำให้ประชาชนไม่มั่นใจว่าจะได้รับความเป็นธรรม เนื่องจากองค์กรที่เข้ามาอาจจะไม่มีความเป็นกลางหรือเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชน วันนี้ต้องยอมรับว่าคนกลางไม่มีแล้วในประเทศไทย เพราะว่าคนกลางกลายเป็นคนกลัว คนกลางกลายเป็นคนเลือกข้าง ดังนั้นจึงน่าจะให้องค์กรระหว่าสงประเทศเข้ามาตรวจสอบ ดังนั้นรัฐบาลควรจะพิสูจน์ว่ามีความจริงใจอย่างที่พูดจริงหรือไม่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นนายพร้อมพงศ์ได้นำภาพพระสงฆ์ที่ถูกจับกุมและคลิปวิดีโอเหตุการณ์ภายในวัดปทุมฯช่วงเย็นวันที่ 19 พฤษภาคมโดยมีนายณรงค์ศักดิ์ พยานที่ถูกยิงที่ต้นขาอยู่ในเหตุการณ์ด้วย โดยนายณรงค์ศักดิ์ได้อธิบายเหตุการณ์ในคลิปวีดีโอไปด้วยว่า ช่วงเย็นของวันที่ 19 พฤษภาคมตนและประชาชนจำนวนมากได้เข้าไปหลบในวัดปทุมฯโดยคิดว่าน่าจะมีความปลอดภัยเนื่องจากเป็นเขตอภัยทานแต่ปรากฏว่าทหารยิงเข้าใส่ประชาชน ตนเองถูกยิงที่ต้นขาและยังมีคนเสียชีวิตภายในวัดอีกหลายคน

นายพร้อมพงศ์กล่าวเสริมว่า กรณีที่มีการเสนอข่าวคนตายภายในวัด 6 ศพความจริงมีมากกว่านั้น โดยนายศักดิ์นรินทร์ บุตรชายนายณรงค์ศักดิ์เห็นเหตุการณ์ว่ายังมีอีก 3 ศพที่ทหารแย่งเอาศพไป ซึ่งนายศักดิ์นรินทร์ กล่าวยอมรับว่าเหตุการณ์กล่าวเป็นความจริงตามที่นายพร้อมพงศ์กล่าว

 

เหยื่อสูญหาย 39 ราย
นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า ประชาชนที่ถูกมัดมือมัดเท้าและถูกทหารจับตัวไป และยังตามตัวไม่พบ จนมีการร้องเรียนผ่านหน่วยงานต่างๆ ซึ่งทราบว่าขณะนี้มีจำนวนถึง 39 คนนั้น อยากถามว่าขณะนี้อยู่ที่ไหน เสียชีวิตแล้วหรือยัง ขอให้รัฐบาลออกมาแถลงให้ชัดเจน เนื่องจากญาติพี่น้องของเขาเหล่านั้นมาร้องเรียนถามหาที่พรรคเพื่อไทยอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีการไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว แต่ดูเหมือนจะถูกปิดข่าว พร้อมทั้งบอกปัดให้ไปแจ้งที่ดีเอสไอแทน

ด้านนางสุภาพร มนตรี ชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช พยานในเหตุการณ์ยิงประชาชนในวัดปทุมฯ เปิดเผยว่า ภาพที่พรรคเพื่อไทยนำมาแถลง ที่มีชายแต่งชุดทหารเล็งปืนใส่ประชาชนในวัดปทุมฯเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมานั้น ไม่ใช่ภาพตัดต่อ เพราะตนอยู่ในเหตุการณ์เห็นกับตาว่าประชาชนที่หลบกระสุนปืนเข้าไปอยู่ในวัดนั้น เป็นประชาชนมือเปล่า ไม่มีอาวุธ ไม่มีปืนเอ็ม 79 นอกจากทหารเท่านั้นที่ถือปืน ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนรู้สึกสะเทือนใจ โดยเฉพาะที่รัฐบาลกล่าวหาประชาชนว่ามีอาวุธนั้น ถือว่าโกหก

 

2 ส.ส.พท. ถอนตัวกก.ตรวจคลิป ฉุน "ชัย"ลอยตัวปล่อย 2 ฝ่ายชกนอกรอบ ปชป.ยันต้องส่งคลิปล่วงหน้า 3 ชั่วโมง
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 30 พฤษภาคม ที่รัฐสภา นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส. สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะประธานคณะกรรมการ 3 ฝ่ายเพื่อตรวจสอบการนำคลิปวิดีโอและพยานหลักฐานมาใช้ประกอบการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ได้เรียกประชุมคณะกรรมการนัดแรก โดยมีกรรมการที่เป็นตัวแทนของรัฐบาล ฝ่ายค้าน และสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ฝ่ายละ 3 คน รวม 9 คน เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

นายวิรัตน์แถลงภายหลังการประชุมนานกว่า 3 ชั่วโมง ว่า ที่ประชุมมีมติจะไม่มีการตรวจสอบหลักฐานเกี่ยวกับการอภิปรายในเรื่องการทุจริต  แต่จะตรวจสอบหลักฐานทั้งภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และคลิปเสียงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์การชุมนุม โดยผู้อภิปรายต้องส่งหลักฐานให้คณะกรรมการ 3 ฝ่ายฯ พิจารณาก่อนการอภิปราย 3 ชั่วโมง  ทั้งนี้ ที่ประชุมได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการใช้ข้อมูล คลิปวิดีโอ และพยานหลักฐานต่างๆ เพื่อประกอบการอภิปรายไม่ไว้วางใจไว้ 4 ข้อคือ

1. ต้องเป็นข้อมูลในเชิงวิชาการ  2. ต้องเป็นข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณชนได้ 3. ต้องเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่สภากำลังพิจารณา และ 4. ต้องเป็นข้อมูลที่เหมาะสมชัดเจน ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย ไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดี ไม่พาดพิงถึงสถาบัน ไม่พาดพิงให้บุคคลภายนอกเสียหาย และไม่เป็นข้อมูลหรือภาพที่อุดจาดตา

“ในวันนี้ (วันที่ 30 พฤษภาคม) นายศิริโชค โสภา ส.ส. สงขลา ได้ส่งมอบคลิปในส่วนของรัฐบาลให้คณะกรรมการฯ เรียบร้อยแล้ว ซึ่งคลิปของรัฐบาลที่ส่งมามีเป็นจำนวนมาก โดยเป็นการเก็งข้อสอบของฝ่ายค้าน และยืนยันว่าทุกคลิปที่ใช้ไม่มีการตัดต่อแน่ แต่ในส่วนของฝ่ายค้านยังไม่ยอมส่งคลิปให้ตรวจสอบแม้แต่คลิปเดียว แต่แจ้งว่า จะส่งให้ได้ในเวลา 07.30 น. ของวันที่ 31 พฤษภาคม หากฝ่ายค้านไม่ส่งคลิปให้ตรวจ 3 ชั่วโมงก่อนอภิปราย ก็ไม่สามารถเปิดคลิปในสภาได้” นายวิรัตน์กล่าว

นายวิรัตน์กล่าวต่อว่า ในการประชุมคณะกรรมการ 3 ฝ่าย กรรมการจากพรรคเพื่อไทย (พท.) 2 คนคือ นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส. กทม. ในฐานะรองประธานกรรมการ 3 ฝ่ายฯ และนพ. ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส. น่าน ได้ยื่นใบลาออกจากการตำแหน่ง เพราะกังวลใจที่ต้องเป็นผู้ขึ้นอภิปรายด้วย แต่ตนไม่สามารถอนุมัติใบลาออกได้ เพราะเป็นอำนาจของนายชัย ชิดชอบ ประธานสภา ในการพิจารณาเรื่องดังกล่าว หากอนุมัติลาออก นายชัยก็จะต้องตั้งคนอื่นเข้ามาดำรงตำแหน่งแทน  แต่ถ้าไม่อนุมัติ ทั้ง 2 คนก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไป อย่างไรก็ตามการลาออกของทั้ง 2 คนเกิดขึ้นหลังจากการประชุมเสร็จสิ้นลง และได้รับรองมติทุกข้อของคณะกรรมการ 3 ฝ่ายฯ แล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างที่นายวิรัตน์เปิดแถลงผลการประชุม นายวิชาญ และนพ. ชลน่านได้แยกตัวออกมายืนให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนบริเวณหน้าห้องประชุม โดยนายวิชาญกล่าวว่าว่า ได้ยื่นใบลาออกจากการเป็นกรรมการ 3 ฝ่ายฯ เพราะเห็นว่านายชัยจงใจผลักภาระให้คณะกรรมการชุดนี้ ทั้งๆ ที่การอนุญาตให้ใช้คลิปหรือไม่ เป็นดุลพินิจของประธาน โดยมีข้าราชการประจำพร้อมทำหน้าที่ตรวจสอบพยานหลักฐานต่างๆ ที่จะใช้ประกอบการอภิปรายอยู่แล้ว เรื่องอะไรจะให้รัฐบาลกับฝ่ายค้านมาชกกันนอกรอบ ก่อนชกกันอีกรอบในสภา นอกจากนี้บุคคลที่มาร่วมเป็นคณะกรรมการ 3 ฝ่ายยังเป็นผู้มีส่วนได้เสียกับการอภิปราย เนื่องจากข้อมูลที่ฝ่ายค้านนำมาอภิปรายเป็นข้อมูลในลักษณะกล่าวหา หากต้องแบโจทย์ให้ดูหมดย่อมส่งผลต่อการหักล้างและชี้แจงข้อกล่าวหาของผู้ถูกอภิปราย ตรงนี้เท่ากับเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่ไม่ดีให้สภา

นพ. ชลน่านกล่าวต่อว่า ส่วนสาเหตุที่นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส. แพร่ พท. ไม่ลาออกจากการเป็นกรรมการด้วยนั้น เป็นเพราะกรรมการจากสำนักเลขาธิการสภา ชี้แจงในที่ประชุมว่าแม้ฝ่ายค้านจะไม่ส่งคลิปให้คณะกรรมการ 3 ฝ่ายตรวจสอบล่วงหน้า แต่พอถึงเวลารัฐบาลโดยนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ขอเข้ามาดูคลิปก่อนอยู่ดี อย่างไรข้อสอบก็รั่วได้อยู่ดี

“ขอยืนยันว่าผม 2 คนไม่ได้รับรองมติที่ประชุมทั้งหมดก่อนที่จะยื่นใบลาออก เพราะไม่เห็นด้วยกับหลักเกณฑ์ 2 ข้อคือ 1. การเปิดเผยที่มาที่ไปของคลิปเพราะจะทำให้เจ้าของคลิปเดือดร้อน และ 2. การส่งคลิปให้ตรวจล่วงหน้า 3 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าไม่เป็นธรรม เพราะจะทำให้รัฐบาลทราบข้อมูลของฝ่ายค้าน” นพ. ชลน่านกล่าว

 

ชัยลั่น เปิดคลิปได้หรือไม่ขึ้นกับคณะกรรมการฯ
ขณะที่นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร  กล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายค้านยังไม่ได้ยื่นคลิปและเอกสารหลักฐานที่จะใช้ประกอบการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลต่อคณะกรรมการตรวจสอบคลิปวิดีโอว่า เป็นสิทธิของส.ส.ที่จะเสนอคลิปมายังคณะกรรมการทั้ง 9 คนเมื่อใดก็ได้ ซึ่งอาจจะเสนอในวันอภิปรายก็สามารถทำได้ ทั้งนี้ ในส่วนของระยะเวลาในการตรวจสอบคลิปคงต้องแล้วแต่คณะกรรมการจะพิจารณา ถ้ามีความเห็นอย่างไร ถ้าเสียงข้างมากให้ใช้ได้ ก็จะเสนอมายังตน และตนก็จะอนุญาตให้เปิดในห้องประชุมได้ ถ้าคณะกรรมการฯไม่อนุญาตให้เปิดตนก็ไม่สามารถอนุญาตให้เปิดได้เช่นเดียวกัน ยืนยันว่าก่อนการเปิดคลิปทุกครั้งต้องผ่านคณะกรรมการก่อน จะมาลักไก่ขอเปิดระหว่างการประชุมไม่ได้

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าหากมีการยื่นคลิปดังกล่าวในเวลากระชั้นชิดจะอนุญาตเปิดได้หรือไม่ นายชัยกล่าวว่า คงแล้วแต่คณะกรรมการฯว่าอนุญาตให้เปิดหรือไม่ หรือถ้าคณะกรรมการฯไม่มีความเห็น แต่ให้ประธานสภาฯชี้ขาดประธานสภาฯก็ไม่สามารถอนุญาตได้ หรือถ้ามีการยื่นระหว่างที่มีการอภิปรายก็ต้องรอให้คณะกรรมการฯตรวจสอบก่อน โดยอาจจะมีการพักการประชุมหนึ่งชั่วโมง ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากอะไร ยืนยันว่าประธานในที่ประชุมต้องทำหน้าที่เป็นกลาง ไม่เอนซ้าย เอนขวา จะทำอะไรต้องคำนึงถึงเสียงส่วนใหญ่ เพื่อให้การอภิปรายอยู่ในกรอบ ระเบียบ รวมทั้งให้คนไทยทั้งชาติให้มาดูและร่วมรับฟัง ไม่ใช่ให้มาดูคนทะเลาะกัน

 

จตุพร มีสิทธิอภิปรายเต็มที่
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรอบการอภิปรายทั้งสองวันจะใช้เวลาเท่าไหร่ นายชัย กล่าวว่า คงใช้เวลาประมาณ 26 ชั่วโมง ยืนยันว่าการอภิปรายใช้เวลาเพียงวันเดียวก็จบ เพราะไม่เห็นมีอะไรมากมาย ถามว่าทุจริตมันทุจริตอะไร ก็พูดกันไป มีเอกสารอ้างอิงหรือไม่ แต่ถ้าพูดใส่ไคร้ไม่มีหลักฐาน เขาก็สามารถดำเนินคดีฐานทำให้เขาเสียหาย อย่างไรก็ตามคนที่จะโกงเขาก็กลัวคุกหมือนกัน “โธ่..เอ้ย เรื่องเหล่านี้ เรื่องที่ใส่ไคร้กัน คนขนาดเป็นรัฐมนตรีถ้าโกงให้เขารู้และจับได้ก็โง่เต็มทนแล้ว” เมื่อถามย้ำว่าแสดงว่ามีการโกงเกิดขึ้นจริง นายชัย กล่าวทีเล่นทีจริงว่า ก็เหมือนกับตัวเรา ถ้าโกงแล้วให้เขาจับได้ก็เหมือนกัน

ส่วนกรณีนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย สามารถอภิปรายไม่ไว้วางใจได้หรือไม่ นายชัย กล่าวว่า เขามีสิทธิ์ในการอภิปรายเต็มที่ ซึ่งการพูดในสภาและนอกสภาคนละเรื่องกัน เพราะการพูดนอกสภาเป็นกฎเกณฑ์ของเขาเอง แต่ในสภาจะมีข้อบังคับ และประธานสภามีหน้าที่ควบคุม ซึ่งใครพูดวกวนพูดใส่ไคร้คนอื่นก็มีข้อบังคับ ไม่ให้พูดได้ เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ที่รัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยถูกเพ่งเล็งในการอภิปรายครั้งนี้ นายชัย กล่าวว่า ไม่ได้กังวลอะไรทั้งสิ้น เพราะตนไม่ได้เป็นรัฐมนตรีเป็นแค่ประธานสภา ถ้าสภายุบเราก็ไป กรณีนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทยก็พูดเก่ง พูดได้ทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ส่วนที่มีกระแสข่าวว่านายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทยเรียกไปติวนั้น นายชัย กล่าวว่า ไม่จริง เพราะนายเนวินไม่เกี่ยวข้องในสภา

 

ศอฉ.เตรียมข้อมูลให้"สุเทพ"ใช้สู้
แหล่งข่าวจากศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ระบุเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ว่า ส่วนของการเตรียมข้อมูลเพื่อรับมือการอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น ศอฉ.ประเมินว่า ส.ส.พท.จะมุ่งเป้าโจมตีในเรื่องการปฏิบัติภารกิจของเจ้าหน้าที่ทหารในการขอคืนพื้นที่ และกระชับวงล้อมผู้ชุมนุม ดังนั้น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯและผู้อำนวยการ ศอฉ. และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.จึงกำชับเจ้าหน้าที่ให้เตรียมความพร้อมในเรื่องนี้อย่างละเอียด โดยมอบหมายให้ทีมโฆษก ศอฉ. เตรียมข้อมูล หลักฐานร่วมกับหน่วยงานด้านการข่าวและหน่วยงานด้านความมั่นคง เพื่อจัดทำเอกสารเรียงตามลำดับเหตุการณ์ตามวันและเวลา ทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวไปจนถึงคลิปภาพในเว็บไซต์ยูทิวบ์ ในวันที่มีการปฏิบัติการทางทหาร รวมถึงการจัดทำข้อมูลทั้งเอกสารและวีซีดี เพื่อเตรียมแจกจ่าย ส.ส.และประชาชน เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนด้วย

 

ปชป.ตั้ง 2 ทีมจับตาฝ่ายค้าน
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงที่พรรคประชาธิปัตย์ กรณีพรรคเพื่อไทย (พท.) แบ่งทีมอภิปรายไม่ไว้วางใจญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลอีก 5 คน ออกเป็น 3 ทีมว่า น่าจะเป็นเพราะตกลงกันไม่ได้ว่าจะให้ใครเป็นหัวหน้าทีม จึงมีการกำหนดตัวผู้อภิปรายไว้ถึง 20 คน ซึ่งจำนวนคงไม่สำคัญเท่าเนื้อหา อยากให้ฝ่ายค้านกลับไปดูว่าจะอภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องใดเป็นประเด็นหลัก เพราะขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน ประธาน ส.ส.พท. บอกว่า จะเน้นเรื่องการทุจริต แต่นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล และนายวิทยา บุรณศิริ ทีมงานในการอภิปราย กลับระบุว่าจะเน้นเรื่องเหตุการณ์วันที่ 19 พฤษภาคม กรณีที่พรรค พท.โจมตีว่ารัฐบาลพยายามปิดปากฝ่ายค้าน โดยการตั้งคณะกรรมการ 3 ฝ่ายขึ้นมาตรวจสอบหลักฐานนั้น อยากชี้แจงว่า การตั้งคณะกรรมการดังกล่าว ไม่ใช่ความต้องการรัฐบาล แต่เป็นความต้องการของนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎรที่ต้องการให้ทุกอย่างชัดเจนก่อนการอภิปราย ระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม-1 มิถุนายน หาก พท.ไม่ยอมรับคณะกรรมการดังกล่าว ก็ไม่ควรส่งตัวแทนมาร่วมแต่แรก

"ที่ผ่านมา ส.ส.เพื่อไทย พยายามกุข่าวใส่ร้ายรัฐบาลตลอดเวลา โดยเฉพาะนายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี ที่บอกว่า รัฐบาลจ้างคนมาป่วนเพื่อต่อเคอร์ฟิว และกรณีที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกเพื่อไทย อ้างว่ารัฐบาลต่อเคอร์ฟิวเพื่อขัดขวางการอภิปรายของฝ่ายค้านก็ไม่เป็นความจริง เพราะการประกาศใช้เคอร์ฟิวเพื่อควบคุมสถานการณ์ให้เรียบร้อย หากทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติแล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้เคอร์ฟิวอีกต่อไป" นายเทพไทกล่าว

นายเทพไทกล่าวว่า พรรคยืนยันไม่จำเป็นต้องจัดตั้งทีมองครักษ์พิทักษ์รัฐมนตรีแต่อย่างใด แต่อาจจะต้องตั้งทีมขึ้นมาจับตาฝ่ายค้านใน 2 กรณี หนึ่ง ป้องกันการละเมิดข้อบังคับการประชุม และสอง ป้องกันการพาดพิงบุคคลที่สาม

 

ท้าพท.ยื่นฟ้องนายกฯ ปมสลายม็อบ
นายเทพไทกล่าวว่า กรณีที่นายจตุพรพยายามแถลงว่า การเผาห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ไม่ใช่ฝีมือคนเสื้อแดง แต่เป็นฝีมือของมือที่สามมาสร้างสถานการณ์ เพราะห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ดีกับคนเสื้อแดงมาตลอด โดยการให้ใช้ห้องน้ำนั้น เท่าที่ตรวจสอบไปยังเจ้าของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ได้รับการชี้แจงว่าที่ยอมให้ใช้ห้องน้ำเพราะถูกข่มขู่และกลัวเหตุวุ่นวาย อยากถามว่าถ้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ไม่ดีกับคนเสื้อแดงแล้วยังจะถูกเผาหรือไม่ เหมือนโรงแรมเอราวัณที่ให้แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เข้าไปพักและรับประทานอาหารบ่อยๆ จึงไม่ถูกเผา นายจตุพรเป็นคนที่เป็นจำเลยสังคม เป็นผู้ต้องของทางการ คำพูดของนายจตุพรจึงไม่มีความน่าเชื่อถือ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเทพไทยังนำภาพถ่ายมาแถลงตอบโต้พรรค พท.ที่สงสัยว่า เหตุใดผู้ชุมนุมที่เสียชีวิตถึงไม่มีอาวุธสงคราม ทั้งที่ถูกรัฐบาลกล่าวหาว่า เป็นผู้ก่อการร้าย โดยนายเทพไทกล่าวว่า เรื่องนี่ต้องแยก 2 ส่วน 1.ผู้เสียชีวิตที่ไม่มีอาวุธเพราะถูกกองกำลังติดอาวุธยิงกันเอง และ 2.ผู้เสียชีวิตบางส่วนมีอาวุธแน่นอน อย่างการ์ด นปช.ที่เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติการกระชับวงล้อม แล้วถูกนำตัวไปที่โรงพยาบาลตำรวจ แล้วพบว่ามีระเบิดเอ็ม 26 อยู่ในกระเป๋าถึง 3 ลูก ทั้งนี้หากพรรค พท.มีพยานหลักฐานว่านายกฯกระทำผิด จะยื่นฟ้องต่อหน่วยงานใดก็สามารถทำได้ โดยนายกฯยืนยันว่าพร้อมต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองในทุกกรณี

 

ยื่นคำขาดไม่ส่งคลิปให้ตรวจ"แห้ว"
นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ หนึ่งในคณะกรรมการ 3 ฝ่ายเพื่อตรวจสอบการนำคลิปวิดีโอและพยานหลักฐานมาใช้ประกอบการอภิปรายไม่ไว้วางใจ กล่าวว่า ฝ่ายค้านจะต้องนำภาพถ่ายและคลิปที่จะใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ มาตรวจสอบในที่ประชุมคณะกรรมการ วันที่ 30 พฤษภาคม หากไม่นำมาให้ตรวจสอบ ก็จะเอาไปใช้ในสภาไม่ได้ นี่คือข้อตกลงที่ทำไว้ร่วมกัน ยืนยันว่าจะไม่ทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบ เพราะรัฐบาลก็จะต้องนำภาพถ่ายและคลิปที่จะใช้ชี้แจงมาตรวจสอบเช่นเดียวกัน

"ส่วนตัวเห็นว่าภาพถ่ายหรือคลิปใดที่จะทำให้บ้านเมืองเกิดความแตกแยก ไม่สมควรให้รับอนุญาตให้เปิดในสภา เพราะขณะนี้คนไทยกำลังต้องการเดินหน้าสร้างความสมานฉันท์ ไม่ควรทำอะไรที่เป็นชนวนให้เกิดความขัดแย้งอีก" นายศิริโชคกล่าว

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ หนึ่งในคณะกรรมการ 3 ฝ่าย กล่าวว่า หากการประชุมวันที่ 30 พฤษภาคม พท.ยังไม่ส่งอะไรมาให้ตรวจอีก ก็ถือว่าไม่มีสิทธิใช้ภาพถ่ายหรือคลิปใดๆ ในการอภิปรายแล้ว เนื่องจากการอนุญาตให้เปิดหรือไม่เป็นดุลพินิจของประธานสภาผู้แทนราษฎร ตามข้อบังคับการประชุมสภา ข้อที่ 61 และประธานสภาก็มอบหมายให้คณะกรรมการ 3 ฝ่ายเป็นผู้พิจารณาแทน

 

ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก: เว็บไซต์ไทยรัฐ, มติชนออนไลน์

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net