Skip to main content
sharethis

ประชาชนร่วมทำบุญบังสุกุลให้เหยื่อ 6 ศพแน่นวัดปทุมวนาราม / ชาวแพร่ทำบุญให้การ์ด นปช. ที่ถูกยิงตายหลังทหารกระชับพื้นที่ พ่อแม่ภูมิใจลูกจบรัฐศาสตร์รามฯ สอนให้เรียนรู้การเมืองการปกครอง

พ่อแม่เก็บข้าวของ "ไก่ สรรพศรี" เหยื่อกระชับวงล้อม กลับอุดร เล็งเก็บศพ 3 ปี

เมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 28 พ.ค. ที่บ้านของ น.ส.สัญธะนา หรือไก่ สรรพศรี อายุ 30 ปี ที่บ้านหลังใหม่เลขที่ 199 ม.14 บ้านนาพูลทรัพย์ ต.บ้านธาตุ อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี หนึ่งในผู้โชคร้ายที่ถูกยิงด้วยอาวุธปืนเข้าลำคอตัดเส้นเลือดใหญ่ทะลุด้านหลังจนเสียชีวิต เมื่อเวลา 20.30 น. วันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา ที่บริเวณปากซอยหมอเหล็ง กทม. โดยผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" ได้พบกับนายบุญถม สรรพศรี อายุ 53 ปี และนางวิไลวรรณ สรรพศรี อายุ 48 ปี บิดาและมารดาของน.ส.สัญธะนา ซึ่งมีอาชีพทำนาทำไร่ หลังกลับจากเดินทางขนข้าวของเครื่องใช้ของลูกสาวจากอพาร์ตเมนต์ที่เช่าพักอาศัยกลับไปจ.อุดรธานีบ้านเกิด

นายบุญถม กล่าวว่า น.ส.สัญธะนาเป็นลูกสาวคนโตในจำนวนพี่น้อง 2 คน อีกคนคือ น.ส.นาฏยา สรรพศรี อายุ 25 ปี ก่อนหน้านี้ "น้องไก่" ชอบร้องเพลงเนื่องจากเป็นคนเสียงดี ได้เที่ยวไปร้องตามงานประกวดหลายแห่งได้รางวัลมามากมาย โดยตนได้พาตระเวนร้องเพลงมาตั้งแต่เรียนอยู่ชั้น ป.6 จนมาจบ ม.6 ที่กศน. หลังจากนั้นเมื่อปี 2544 ลูกสาวได้สมัครกับบริษัทจัดหางานที่หน้าบ.ข.ส.ใหม่อุดรฯ เดินทางไปทำงานเย็บผ้าที่ประเทศไต้หวัน อยู่ที่นั่นนาน 3 ปี จากนั้นไปใช้แรงงานตัดเย็บผ้าต่อที่ประเทศญี่ปุ่น

"ขณะเดียวกันได้ขึ้นร้องเพลงไปด้วย กระทั่งกลับมาบ้านเมื่อปี 2549 ได้เป็นล่ามพาคนญี่ปุ่นเที่ยว ต่อมาได้เข้าทำงานของบริษัทซากุเทรดดิ้ง ของญี่ปุ่น เป็นบริษัทจัดส่งสินค้าไปต่างประเทศ อยู่ย่านมักกะสัน เลื่อนชั้นจนได้ตำแหน่งเป็นผู้จัดการแผนกจัดส่งสินค้า" บิดา กล่าว

นายบุญถม กล่าวต่อว่า ขณะที่ทำงาน ลูกสาวเป็นคนกตัญญูต่อพ่อแม่ จะส่งเงินมาช่วยทางบ้านทุกเดือนอย่างน้อยเดือนละ 5,000 บาทขึ้นไปด้วยบอกว่าไม่อยากให้พ่อแม่ต้องลำบากอยากให้อยู่บ้านเฉยๆ ต่อมาเมื่อเห็นตนกับน.ส.นาฏยาน้องสาว อยากจะมีอาชีพค้าขายเสื้อผ้า เมื่อ 6 เดือนที่ผ่านมา น้องไก่ จึงผ่อนรถยนต์ ปิกอัพโตโยต้า วีโก้ สีดำ ทะเบียน บจ  7363 อุดรธานี ให้และได้ส่งเงินมาเพิ่มถึงเดือนละ 10,000 บาททุกเดือน โดยตนจะไปรับเสื้อผ้าจากอุดรฯ หรือรับจากกทม.ที่น้องไก่ซื้อส่งมาให้ นำไปขายตามตลาดนัด โดยขายมาได้ 3 เดือนแล้วกิจการไปได้ดี

ด้านนางวิไลวรรณ กล่าวว่า ในทุกปีช่วงงานบุญบั้งไฟ ลูกสาวจะกลับมาเยี่ยมบ้านเพื่อร่วมขบวนงาน นอกจากจะไปอยู่ที่ต่างประเทศเท่านั้นที่ไม่ได้มา โดยลูกสาวบอกจะกลับบ้านในวันที่ 19 พ.ค.นี้ ซึ่งงานมีขึ้นในวันที่ 20 พ.ค. แต่น้องไก่มาถูกยิงเสียชีวิตเสียก่อน ตนมารู้ข่าวเรื่องของลูกสาวในเวลา 21.00 น. วันที่ 14 พ.ค. โดยทางร.พ.พญาไท 1 แจ้งให้ทราบ ขณะอยู่ที่ตลาด ถึงกับช็อกทำอะไรไม่ถูก จึงได้พากันขึ้นไปกทม.เพื่อติดต่อขอรับศพ

นางวิไลวรรณ กล่าวต่อว่า โดยทราบจากทางบริษัทว่า วันนั้นน้องไก่เคลียร์งานยังไม่เสร็จ จึงขอผู้จัดการใหญ่ทำต่อจนถึง 2 ทุ่ม จากนั้นได้ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของแฟนหนุ่มที่พึ่งคบหาพาไปที่พักของลูกสาว ที่เช่าอยู่คนเดียวในซอยหมอเหล็ง ระหว่างนั้นมีทหารเรียกให้หยุด ต่อมาได้มีเสียงปืนดังขึ้นยิงมาถูกไหล่ซ้ายของแฟนหนุ่ม ทะลุไปโดนต้นคอของน้องไก่ตัดเส้นเลือดใหญ่ทะลุทางด้านหลังออกไป

"ระหว่างนั้นได้มีคนพาทั้ง 2 ไปส่งยังร.พ.  พญาไท 1 และลูกสาวได้เสียชีวิตทันที ส่วนแฟนลูกสาวแพทย์ได้รักษาเย็บถึง 20 เข็มและรอดชีวิตในที่สุด หลังทราบเรื่องดิฉันไม่รู้จะไปเอาอะไรที่ใคร มันมึนไปหมด จากนั้นจึงติดต่อขอรับศพและจ้างรถของโรงพยาบาลในราคา 13,700 บาท นำศพของน้องไก่ มาบำเพ็ญกุศลที่วัดป่าสามัคคีธรรม บ้านโนนสะอาด ต.บ้านธาตุ อ.เพ็ญ" มารดา กล่าวด้วยน้ำตานองหน้า

นางวิไลวรรณ กล่าวอีกว่า หลังจากนำศพลูกสาวมาบำเพ็ญกุศลทางศาสนาตั้งแต่วันที่ 15-17 พ.ค.แล้ว ได้บรรจุศพเก็บไว้ที่วัดตามประเพณีที่เขาห้ามเผาจนกว่าจะครบ 3 ปี และในวันบรรจุศพได้มีนายอำนาจ ผการัตน์ ผวจ.อุดรธานี นายศักดิ์ แตงฮ่อ นายอำเภอเพ็ญ พร้อมด้วยปลัดอำเภอและข้าราชการ มาร่วมงาน พร้อมมอบเงินช่วยศพ 13,000 บาท นอกจากนั้นยังได้รับเงินช่วยเหลือจากสำนักพระราชวัง 5 หมื่นบาท และทางบริษัทได้ช่วยเหลือมาอีก 1 แสนบาท

"ส่วนทางศูนย์ช่วยเหลือเยียวยาสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ตั้งอยู่บ้านราชวิถี เพียงขอเบอร์โทร.ไว้ บอกว่าตอนนี้เงินที่จะช่วยเหลือหมด ต้องรอจ่ายให้กับชุดที่ถูกยิงเมื่อเดือน เม.ย.ให้หมดเสียก่อนแล้วจึงจะช่วย ส่วนทางด้านประกันสังคมหลักฐานยังไม่เรียบร้อย จึงยังไม่ได้ยื่น แล้วยังไม่ทราบว่าจะได้เท่าไหร่" มารดา กล่าว

นางวิไลวรรณ กล่าวตอนท้ายว่า ตอนนี้ตนเสียเสาหลักของครอบครัว เพราะน้องไก่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของบ้าน เมื่อเขารู้ว่าที่บ้านอยากได้อะไร ก็จะหามาให้เพราะอยากให้พ่อแม่สบาย ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย ตอนนี้อยากให้รัฐบาลได้ช่วยเหลือตนบ้าง เพราะมีหนี้ที่ต้องผ่อนรถยนต์ ส่วนคนที่ยิงลูกสาวยังไม่รู้ว่าจะเอาผิดกับใคร ถือเป็นเวรกรรม ใครทำกรรมไว้ก็จะได้รับผลกรรมเอง และอยากเห็นคนไทยมารักกันให้มาก จะได้ไม่ต้องสูญเสียคนที่เรารักอีก


เผาแล้วการ์ด นปช.แพร่ เสียชีวิตหลังทหารกระชับวงล้อม พ่อแม่ภูมิใจลูกมีความคิดอ่าน

ส่วนที่ จ.แพร่ ที่บ้านเลขที่ 252 บ้านห้วยหม้าย หมู่ 7 ต.ห้วยหม้าย อ.สอง จ.แพร่ ซึ่งเป็นบ้านของนายปิยะพงศ์ กิติวงศ์ อายุ 32 ปี การ์ด นปช.แพร่ ที่เสียชีวิตจากการกระชับพื้นที่เมื่อวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยมีนายพูน กิติวงศ์ อายุ 61 ปี และนางพยุง กิติวงศ์ อายุ 51 ปี บิดาและมารดานั่งพักอยู่ในบ้าน

นายพูน กล่าวว่า ตนต้องสูญเสียลูกชายซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัว นายปิยะพงศ์เป็นลูกชายคนโตยังไม่มีครอบครัว หลังเรียนจบระดับปวช.วิทยาลัยเทคนิคแพร่ แผนกช่างซ่อมบำรุง ได้เดินทางเข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯ ไม่ทราบว่าทำงานบริษัทอะไรรู้ว่าเป็นช่าง นอกจากนี้ทราบลูกชายศึกษาที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะรัฐศาสตร์ ใช้เวลาเรียน 3 ปีครึ่ง จนสำเร็จและรับปริญญาไปเมื่อปี 2546

นายพูน กล่าวต่อว่า สำหรับการต่อสู้ของกลุ่ม นปช. ซึ่งลูกชายเป็นการ์ด นปช. นั้นตนไม่รู้มาก่อน พึ่งมาทราบเมื่อลูกเสียชีวิตจากการกระชับพื้นที่ของทหาร โดยถึงกับช็อกแต่ไม่รู้จะทำอะไรได้ กระทั่งญาติๆ ที่กรุงเทพฯ ได้นำศพมาที่อ.สอง และมีกลุ่มเพื่อนนปช.หลายจังหวัดมาร่วมเป็นเจ้าภาพงานศพ และร่วมเผาศพเมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา ตนภูมิใจที่ลูกชายมีความคิดความอ่านเป็นของตัวเอง หลังจากเรียนจบที่แพร่ แล้วเข้าไปกรุงเทพฯ เพื่อหางานทำและเรียนรามคำแหง คณะรัฐศาสตร์ เป็นคณะที่สอนให้ลูกชายเรียนรู้เรื่องการเมืองการปกครอง และเมื่อเสียลูกชายไปทางบ้านก็ขาดการช่วยเหลือเนื่องจากทุกเดือนเขาจะส่งเงินมาให้เดือนละ 4 พันบาทเป็นประจำ

ด้านนางพยุง กล่าวว่า ครอบครัวมีด้วยกัน 4 คน นายปิยะพงศ์เป็นคนโต และมีน้องอีกคน คือ น.ส.ภูรินิชา กิติวงศ์ อายุ 21 ปี ที่กำลังศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยพี่ชายเป็นผู้ส่งเสีย เมื่อพี่ชายจากไปไม่รู้จะหาเงินที่ไหนส่งเสีย ส่วนสามีเป็นโรคความดันสูง ร่างกายไม่แข็งแรง ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ลูกชายเสียชีวิต มีแต่เพื่อนนปช.มาร่วมงานศพช่วยกันบริจาค      ส่วนหน่วยงานองค์กรการกุศลในจังหวัดไม่มีหน่วยงานใดให้การช่วยเหลือ

วันเดียวกัน เวลา 09.00 น. นายสมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ เป็นประธานร่วมทำบุญเมือง และวันวิสาขบูชา ที่วัดพระบาทมิ่งเมืองวรวิหาร โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ตัวแทนเอกชน หอการค้า และผู้แทนฝ่ายทหารจากค่ายพระยาไชยบูรณ์ ม.พัน 12 อ.เด่นชัย จ.แพร่ พร้อมญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุจลาจลทางการเมืองในกทม. เข้าร่วมพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง

หลังเสร็จพิธี นายสมชัย หทยะตันติ ได้มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวนายปิยะพงศ์ กิติวงศ์ จากสำนักงานประกันสังคมจ่ายประโยชน์ทดแทน มอบให้นายพูน กิติวงศ์ บิดา และ  นางพยุง กิติวงศ์ มารดา เป็นค่าทำศพ 40,000    บาท ส่วนเงินสงเคราะห์กรณีตายได้ทั้งบิดา   และมารดาคนละ 35,508.25 บาท เงินบำเหน็จชราภาพ 31,253.94 บาท รวมเป็นเงินที่   บิดามารดาของนายปิยะพงศ์ได้รับทั้งสิ้น 173,524.38 บาท

นายพันธ์เทพ เปาริก ประกันสังคมจังหวัดแพร่ กล่าวว่า นายปิยะพงศ์ กิติวงศ์ การ์ดนปช.   ได้เสียชีวิตลงจากเหตุการณ์จลาจล ทางประกันสังคมตรวจสอบพบว่าเป็นผู้ประกันตนกับบริษัทที่ทำงานอยู่ในกทม. เป็นผู้มีสิทธิ์ตามกฎหมายประกันสังคม ซึ่งได้ให้การช่วยเหลือตามสิทธิ์ดังกล่าว นอกจากนั้นยังมีค่าทำศพที่รัฐจัดให้ ซึ่งนายปิยะพงศ์เป็นรายเดียวในจังหวัดแพร่ที่มีการเสียชีวิตในเหตุการณ์จลาจล ซึ่งสำนักงานยังเปิดโอกาสให้แจ้งขอรับความช่วยเหลือได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะที่อาจต้องตกงานหรือออกจากงานเนื่องจากเหตุการณ์จลาจล สามารถแจ้งเพื่อขอรับการช่วยเหลือได้ทันที

 

มาร์คเสียใจ 6 ศพวัดปทุมฯ ปัดเป็นฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ตอบคำถาม "อานันท์" เป็นกรรมการตรวจสอบหรือไม่

วันเดียวกัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงผู้เสียชีวิต 6 ศพที่วัดปทุมวนารามว่า เหตุการณ์นี้ไม่ควรเกิดขึ้นและเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ แต่ไม่มีเหตุอะไรที่จะให้เจ้าหน้าที่ของรัฐไปดำเนินการอย่างนั้น และข้อมูลที่เรากำลังรวบรวมอยู่เกี่ยวกับผลการพิสูจน์ในเรื่องต่างๆ ตนคิดว่าน่าจะสอดคล้องกับสิ่งที่รัฐบาลชี้แจงมาตลอด ตัวที่จะเป็นคำตอบได้ดีคือผลการชันสูตรและพิสูจน์ว่าวิถีกระสุนต่างๆ เป็นอย่างไร ตอนนี้กำลังดำเนินการอยู่ ผลตรงนั้นจะทำให้เราสามารถติดตามดูได้ว่าขณะนั้น การเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่อยู่ที่ไหน อย่างไร ซึ่งทุกอย่างตรงไปตรงมา

เมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไรเป็นนายกรัฐมนตรีมือเปื้อนเลือด นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทั้งหมดเป็นยุทธศาสตร์ตั้งแต่ต้นของฝ่ายที่กองกำลังติดอาวุธแล้วนำประชาชนที่มาชุมนุมเป็นเครื่องมือ มันไม่ใช่เหตุบังเอิญที่มีการตัดต่อคลิปเสียงของตนตั้งแต่ปีที่แล้ว พยายามวาดภาพว่าตนหรือรัฐบาลประสงค์จะใช้ความรุนแรงกับประชาชน เป็นสิ่งที่เขาเตรียมการมานานแล้ว ตนไม่แปลกใจ แต่หวังว่าความจริงจะเป็นตัวพิสูจน์ได้ เพราะรัฐบาลก็มีความชัดเจนตั้งแต่ต้นของเหตุการณ์ที่ได้แสดงออกถึงความพยายามที่จะรักษาให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด โดยทำทุกวิถีทาง อดทนอดกลั้น เจรจา เสนอแผนต่างๆ แต่รัฐบาลกลับถูกปฏิเสธมาตลอด ตรงนี้เป็นจุดที่คิดว่าสังคมน่าจะเข้าใจในภาพรวม แต่การกล่าวหาจากฝ่ายที่วางแผนเรื่องนี้มันต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว

ต่อข้อถามที่ว่า มั่นใจจะก้าวพ้นข้อหาทรราชได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนมั่นใจในความบริสุทธิ์ใจในตัวของตน ผู้ปฏิบัติการ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพราะเรามีแนวทางที่ชัดเจนว่าเราพยายามทำอะไร และเรารู้ว่าอีกฝ่ายที่จะยัดเยียดข้อหาอะไร เพราะฉะนั้น ตนจึงพยายามนำข้อเท็จจริงตรงนี้มายืนยัน

เมื่อถามถึงการตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงของสถานการณ์ความไม่สงบ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คิดว่าในส่วนของตัวประธานนั้นน่าจะเรียบร้อย ใกล้จะได้ตัวแล้วแต่ยังไม่สามารถบอกได้ ทั้งนี้ต้องเป็นที่ยอมรับของหลายฝ่าย ส่วนการสรรหาผู้ที่มาเป็นกรรม   การนั้น ตนจะหารือกับประธานก่อน ถามต่อว่าใครจะมาเป็นประธานคณะกรรมการชุดนี้ และมีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเป็นนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ ยิ้ม และปฏิเสธที่จะตอบคำถามแล้วเดินกลับเข้าไปตึกไทยคู่ฟ้าทันที

 

คนแห่เวียนเทียนวัดปทุมวนาราม บริจาคอุทิศเหยื่อ 6 ศพ

วันเดียวกันเวลา 18.00 น. ที่วัดปทุมวนาราม เขตปทุมวัน ได้มีพุทธศาสนิกชน เข้าร่วมพิธีเวียนเทียน เนื่องในวันวิสาขบูชา วันที่มีความสำคัญสำหรับพุทธศาสนิกชนทุกคน เนื่องจากเป็นวันที่พระพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน จึงเป็นวันที่มีการทำพิธีพุทธบูชา เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระคุณของพระพุทธองค์ โดยมีพระธรรมธัชมนี เจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม เป็นประ  ธานฝ่ายสงฆ์ นำพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชน เวียนเทียนรอบพระอุโบสถ เพื่อถวายสักการะพระบรมสารีริกธาตุ เป็นจำนวน 3 รอบตามประเพณีที่สืบทอดกันมา

ทั้งนี้ ในช่วงเหตุการณ์ความไม่สงบใจกลางเมืองกรุงที่ผ่านมา วัดปทุมวนาราม ได้ดำเนินการเปิดวัดให้เป็นเขตพื้นที่อภัยทาน ให้ผู้ชุมนุมได้ใช้เป็นสถานที่หลบภัยจากเหตุการณ์ร้ายแรงดังกล่าว แต่ปรากฏว่าเมื่อช่วงเย็นวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา ภายหลังแกนนำนปช.ประกาศยุติการชุมนุม ได้มีผู้ชุมนุมบางส่วนเข้ามาหลบภายในวัด ก่อนเกิดเหตุการณ์สลด เมื่อผู้ที่หลบเข้ามาในวัดถูกลอบยิงจากบนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส จนมีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 6 ราย กลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก

สำหรับบรรยากาศกิจกรรมภายในวัดปทุมวนาราม ในช่วงเช้า มีประชาชนมาร่วมทำบุญที่วัดเป็นจำนวนมาก ในการนี้ พระสงฆ์วัดปทุมวนารามและชาวบ้าน ได้ร่วมสวดเจริญพระ  พุทธมนต์และสวดมาติกาบังสุกุลอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่เสียชีวิตภายในวัด 6 รายอีกด้วย ส่วนช่วงเย็นก่อนเริ่มพิธีเวียนเทียนอย่างเป็นทางการนั้น ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มคล้ายกับจะมีฝนตกกระหน่ำลงมา แต่เมื่อถึงเวลาเวียนเทียนกลับไม่มีฝนตกลงมาแต่อย่างใด ทำให้ประชาชนเริ่มพิธีเวียนเทียนอันศักดิ์สิทธิ์กันทันที โดยงานนี้ทางวัดปทุมวนารามได้จัดดอกไม้ ธูปเทียน ให้คนละ 1 ชุด ส่วนตรงทางเข้าพระอุโบสถ ตั้งตู้รับบริจาคเพื่อนำเงินไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับเหยื่อผู้เสียชีวิต 6 ราย ในวัดปทุมวนาราม

อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า ในวันวิสาขบูชาปี 2553 มีพุทธศาสนิกชนที่นับถือศาสนาพุทธ เข้ามาทำบุญที่วัดปทุมวนาราม ในตอนเช้าและเวียนเทียนในตอนเย็นเป็นจำนวนมากกว่าทุกปี โดยจากการสอบถามผู้ที่เข้ามาเวียนเทียนในวัดต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ต้องการทำบุญและอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่ผ่านมา โดยเฉพาะผู้ที่เสียชีวิตในวัด 6 ราย เนื่องจากได้ทราบข่าวแล้วเกิดความสลดหดหู่ อีกทั้งการได้มาร่วมพิธีทางพระพุทธศาสนาในครั้งนี้ เชื่อว่าจะได้สร้างความสุขทางด้านจิตใจเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังถือเป็นการสร้างกำลังใจ โดยบางคนหวังว่าความศรัทธาของตนที่มีต่อพระพุทธศาสนาจะส่งผลให้ประเทศชาติกลับคืนสู่ความสงบอย่างถาวรเสียที

ภายหลังจากที่เวียนเทียนครบ 3 รอบแล้ว ทุกคนต่างเข้ารับศีลรับพร พร้อมทำวัตรเย็นและฟังธรรมเทศนา จากเจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม ซึ่งใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง ก่อนรีบเดินทางกลับบ้าน เนื่องจากวัดปทุมวนารามจะปิดประตูในเวลา 4 ทุ่ม ก่อนเวลาที่รัฐบาลประกาศเคอร์ฟิวในเวลาเที่ยงคืน
 

ที่มา: ข่าวสด

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net