Skip to main content
sharethis

'ดีเอสไอ' ลุยตรวจค้นเซฟเฮ้าส์จับ 'แรมโบ้อีสาน' พบเครื่องกระสุน เจ้าตัวปฏิเสธลั่น เกิดมาไม่เคยถืออาวุธสงคราม

1 พฤษภาคม มติชนออนไลน์รายงานว่า เวลา 16.30 น. พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม นำหมายค้นและหมายจับ นายสุพร อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน แกนนำกลุ่ม นปช. ผู้ต้องหากระทำผิด พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 เข้าตรวจค้นห้องพักเลขที่ 206 เลขที่ 1284 เฟริส์อพาร์ทเม้นท์ ซอยสังคมสงเคราะห์ 10 ลาดพร้าว 71 แขวงและเขตลาดพร้าว กทม. แต่ไม่พบตัวนายสุพร เจ้าหน้าที่จึงเข้าตรวจค้นหาพยานหลักฐานให้ห้องพักพบ เครื่องกระสุนปืนขนาด 9 มม. แบบเจาะเกราะจำนวน 13 นัด กระสุนปืน 9 มม.ธรรมดา 16 นัด กระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 อีก 9 นัด ฮาร์ดดิสต์คอมพิวเตอร์ เทปวีดีโอและแผ่นซีดีบันทึกการชุมนุม ภาพถ่ายกับกลุ่มคนเสื้อแดง ซิมการ์ด บัญชีรายชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของกลุ่มบุคคล และเอกสารโครงสร้างการบังคับบัญชาศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) และเอกสารรายละเอียดบรรยายสรรพคุณอาวุธปืนสงคราม Tovor รุ่น Tar 21 ของประเทศอิสราเอล ที่ทหารราบ 11 ใช้ประจำกาย  และยาไวอากร้า เจ้าหน้าที่จึงยึดไว้ตรวจสอบ

พ.ต.อ.ณรัชต์ กล่าวว่า การเข้าตรวจค้นครั้งนี้เพื่อจับกุมนายสุพร ผู้ต้องหาตามหมายจับฐานกระทำผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ  หลังเจ้าหน้าที่สืบทราบว่าได้แอบมาเปิดห้องพักดังกล่าวเป็นเซฟเฮ้าส์ไว้หลบหนีการจับกุม แต่ไม่พบนายสุพร  แต่จากการเข้าตรวจค้นภายในห้องพักพบสิ่งของผิดกฎหมายหลายรายการ ทั้งอาวุธปืนและเครื่องกระสุนจำนวนหนึ่ง และที่สำคัญเจ้าหน้าที่ตรวจค้นพบ กระเดื่องนิรภัยของระเบิดชนิดหนึ่งซึ่งใช้แล้ว รวมทั้งวงสลักของระเบิดอีก 3 วง ซึ่งถูกดึงใช้แล้วเช่นกัน โดยจะนำหลักฐานดังกล่าวส่งสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ตรวจสอบว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ระเบิดสถานที่ต่างๆที่ผ่านมาหรือไม่

นอกจากนี้ยังพบเอกสารยุยงปลุกปั่นประชาชนจำนวนมาก พร้อมภาพถ่ายที่เชื่อมโยงกับบุคคลสำคัญๆที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแกนนำเสื้อแดง นอกจากนี้เมื่อช่วงเช้ายังได้เข้าตรวจค้นบ้านพักของ พ.ต.ท.ศุภชัย ผุยแก้วกรรม อดีตตำรวจซึ่งเป็นสามีของนางจุรีพร สินธุไพร แกนนำเสื้อแดงพัทยาแต่ไม่พบหลักฐานอะไร

ด้านกรุงเทพธธุรกิจ รายงานการให้สัมภาษณ์ของนายสุพร กรณีถูกค้นสถานที่พักและพบชิ้นส่วนระเบิดเป็นจำนวนมากว่า ขอยืนยันล้านเปอร์เซ็นต์ว่าในห้องไม่มีอาวุธสงครามหรือหนังสือล้มเจ้าตามที่เป็นข่าว โดยสถานที่พักซึ่งเป็นคอนโดนั้นเป็นห้องที่เช่ามาเพียงแค่ 1 เดือน สำหรับใช้เปลี่ยนเสื้อผ้าแต่ยังไม่เคยนอนแม้แต่คืนเดียว อย่างไรก็ตามได้ให้แม่บ้านไปทำความสะอาดบ้าง
นายสุพร กล่าวอีกว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เชื่อว่าเป็นแผนของรัฐบาลในการคุกคามแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง เพื่อให้มวลชนอยู่ในสภาพหวาดกลัว ไม่กล้าเข้าร่วมชุมนุม โดยรัฐบาลมียุทธวิธี 4 ขั้นคือ 1.ตั้งด่านเพื่อสกัดคนเข้าร่วมชุมนุม 2.นำกองกำลังมากดดันโดยที่ยังไม่มีการสลาย 3.มีการประชาสัมพันธ์ด้วยวิธีทางจิตวิทยา อาทิ ระบุว่ามีระเบิดตามสถานที่ต่างๆ 4.พยายามตรวจค้นจับกุมไล่ล่าแกนนำ โดยการล่อออกไปในสถานที่ต่างๆ เพื่อรวบตัว
“ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยถืออาวุธสงคราม ไม่มีอาวุธ เชื่อว่าเป็นการยัดเยียดข้อกล่าวหาให้กับผม ถามว่าการไปตรวจค้นนั้นใช้สิทธิ์อะไรเข้าไปตรวจค้น เพราะคอนโดนี้ก็มีเจ้าของ ผมจะดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนใครที่ยัดเยียดข้อหาให้นั้นถือเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขต ซึ่งก็ขอให้รับกรรมนั้นกลับไป” นายสุพร กล่าว

ดีเอสไอยันมือยิง "อาร์พีจี" สารภาพเป้า"วัดพระแก้ว
ดีเอสไอยันมือยิง"อาร์พีจี"รับสารภาพเป้าหมายคือ"วัดพระแก้ว" ผู้เชี่ยวชาญ สตช.ไม่เชื่อระบุอาวุธชนิดนี้ยิงแนวเส้นตรงได้เท่านั้น เด็ก"จิ๋ว"จวกดีเอสไอมีข้อมูลด้านเดียว ไร้กระบวนการสอบสวนชัดเจน

จากกรณที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ควบคุมตัว ส.ต.ต.บัณฑิต สิทธิทุม อายุ 42 ปี อดีตตำรวจ สภ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว และนายศุภณัฐ หรือ โก้ หุลเวช อายุ 43 ปี ผู้ต้องหาคดีร่วมกันก่อเหตุยิงจรวดอาร์พีจี ถล่มกระทรวงกลาโหม มาฝากขังต่อศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ

นายธาริต  เพ็งดิษฐ์  อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ยืนยันเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมว่า ผู้ต้องหาให้การสารภาพถึงเป้าหมายก่อเหตุที่แท้จริงคือ วัดพระแก้ว โดยคำรับสารภาพและแนวทางการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดำเนินการไปก่อนหน้านี้สอดคล้องกัน นอกจากนี้ ส่วนหนึ่งผู้ต้องหารับสารภาพ เพราะจำนนต่อหลักฐาน ระหว่างการให้ปากคำ ส.ต.ต.บัณฑิตไม่ได้แสดงอาการเคร่งเครียดต่องานที่ได้รับมาปฏิบัติ แม้เป้าหมายจะเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่คนไทยให้ความเคารพนับถือ 

ล่าสุดดีเอสไอได้นำผู้ต้องหา 2 คนคือ ส.ต.ต.บัณฑิต (มือยิง) และนายศุภณัฐ หุลเวช หรือโก้ อายุ 43 ปี (ผู้จัดหารถยนต์ที่ใช้ก่อเหตุ) ไปฝากขังต่อศาลอาญา โดยศาลอนุญาตให้นำตัวไปควบคุมไว้ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เพราะพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 2 ปากเสร็จสิ้นแล้ว ส่วนผู้ต้องหาอีก 3 คน คือ1.นายภาสกร (สมนึก) ศิริรักษ์  อายุ50 ปี 2.นายวายุภักษ์  โนรี อายุ 48 ปี และ 3.พ.ต.ท.ศุภชัย  ผุยแก้วคำ อายุ 39 ปี เป็นการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ ตามอำนาจของพรก.ฉุกเฉิน ขณะนี้ถูกควบคุมตัวในค่ายทหาร

สตช. แย้ง  เผย "อาร์พีจี" ยิงวิถีโค้งไม่ได้
ด้านแหล่งข่าวในสำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุว่า หากผู้ยิงตั้งใจจะใช้อาร์พีจียิงวัดพระแก้ว ต้องยิงจากที่โล่ง ในมุมซึ่งมองเห็นวัดพระแก้วโดยตรง หากยิงจากด้านหลังกระทรวงกลาโหม โดยมีตึกกระทรวงบดบัง เพื่อหวังผลทำลายวัดพระแก้วคงเป็นไปได้ลำบาก และผู้ที่ใช้เครื่องยิงระเบิดชนิดนี้ คงไม่เลือกวิธีนี้ 

แหล่งข่าวอธิบายถึงการใช้เครื่องยิงจรวดอาร์พีจีว่า อาร์พีจีในเมืองไทยมี 2 แบบ RPG-2  และ RPG-7 ซึ่งใช้จรวดยิงต่างแบบกันเล็กน้อย แต่ที่เห็นตามข่าวเป็นแบบ RPG-7 เรียกว่า "เครื่องยิงจรวดต่อต้านรถถังแบบประทับบ่ายิง" ซึ่งออกแบบมาเพื่อใช้ยิงทำลายรถถัง ประเทศรัสเซียออกแบบผลิตอาวุธชนิดนี้ และใช้แพร่หลายไปทั่วโลก ในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มแพร่หลายมากที่สุดในช่วงสงครามเวียดนาม แต่เอามาใช้ยิงทำลายบังเกอร์หรือป้อมค่ายของทหารในการรบ จากการออกแบบเพื่อทำลายรถถัง

แหล่งข่าวผู้เชี่ยวชาญ กล่าวต่อว่า  การระเบิดของอาร์พีจีเหมือนกับระเบิดทั่วไป คือทุกทิศทาง แต่โดยตัวมันเองไม่ได้สร้างมาให้มีสะเก็ดทำลายบุคคล  การยิงบุคคลจึงมีผลน้อยมาก ซึ่งอาจได้รับอันตรายจากความร้อนจากการระเบิด หรือสะเก็ดจากการระเบิดนั้น ในระยะไม่เกิน 25 – 50 เมตร  ผู้ยิงจะต้องระวังแรงขับด้านท้ายเครื่องยิง ซึ่งจะพ่นออกทางท้ายเป็นทางยาวประมาณ 20 เมตร เครื่องยิงเป็นแบบจุดชนวนด้วยไฟฟ้าจรวดจะสวมหน้าเครื่องยิง เมื่อยิงจรวดจะพุ่งออกจากเครื่องยิงไป ความแม่นยำสูงระยะหวังผลระหว่าง 200 - 500 เมตร ยิงไกลสุดประมาณ 1,000 เมตร หรือ 1 กิโลเมตร การยิงต่อเป้าหมาย ผู้ยิงจะต้องเล็งผ่านเครื่องเล็งไปยังเป้าหมายเป็นแนวเส้นตรง แบบ Line of Sight คือ ตามองเห็นเป้าหมายเท่านั้น จรวดจะวิ่งเป็นเส้นตรงจากเครื่องยิงสู่เป้าหมาย ที่ต้องการจากที่มองเห็นด้วยสายตาเท่านั้น จะมีอะไรมาบดบังระหว่างเส้นทางไม่ได้ เรียกว่า "เป็นการยิงแบบวิถีตรง" ไม่ใช่วิถีโค้งเหมือนการยิงลูกระเบิดขนาด 40 มม. จากเครื่องยิงแบบ M.79 หรือ M.203
 

 

.......................
ที่มา : เรียบเรียงจากมติชนออนไลน์, กรุงเทพธุรกิจ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net