Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

 

 

บ่อยครั้งที่เราได้ยินว่าชาวบ้านบริเวณรอบค่ายผู้ลี้ภัยนั้น ไม่พอใจกับการเข้ามาอยู่อาศัยของผู้ลี้ภัยจากประเทศพม่าเท่าไหร่นัก ด้วยเหตุผลเรื่องของสิ่งแวดล้อม ความไม่ปลอดภัยหรืออะไรก็ตาม แต่สำหรับหมู่บ้านแม่หละยางของผมกลับไม่เป็นเช่นนั้น พวกเรามีความสัมพันธ์อันดีกับพี่น้องกะเหรี่ยงที่ลี้ภัยเข้ามาอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยแม่หละ เห็นได้จากการที่คณะกรรมการหมู่บ้านได้เชิญผู้ลี้ภัยในค่ายแม่หละ จังหวัดตาก มาร่วมงานบุญเฉลิมฉลองเจดีย์ที่สำนักสงฆ์แม่หละยาง เมื่อวันที่ 3-4 มีนาคม 2553 ที่ผ่านมา

งานบุญเฉลิมฉลององค์เจดีย์ประจำปีที่สำนักสงฆ์บ้านแม่หละยาง เป็นงานประจำปีที่ทั้งชาวบ้านแม่หละยางและผู้ลี้ภัยรอคอย เพราะนอกจากจะได้ทำบุญเพื่อเป็นศิริมงคลกับตัวเองแล้ว ในงานยังมีการขายสินค้า การละเล่น การแสดง และกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย ซึ่งคนในหมู่บ้านแม่หละยางได้มีส่วนร่วมในการวางแผนและแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ  

การละเล่นที่ได้รับความสนใจที่สุดคงจะเป็น “เหว่เกอะป่า” หรือที่ชาวบ้านเรียกติดปากว่า “ทางหลงเหว่เกอะป่า” เป็นภาษาพม่าแปลว่า โลก หรือการเดินเข้ามาสู่อาณาจักรของโลก ชาวแม่หละยางรู้จักการสร้างเหว่เกอะป่า เมื่อประมาณ 15 ที่แล้ว สมัยที่พระเคลอะเด เป็นเจ้าอาวาสสำนักสงฆ์แห่งนี้ เจ้าอาวาสรูปนี้เป็นชาวกะเหรี่ยงจากพม่า ท่านได้ริเริ่มสร้างเหว่เกอะป่าให้กับชาวบ้านได้เล่นในงานบุญ

เหว่เกอะป่า สร้างขึ้นจากไม้ไผ่ที่สานเป็นตะแกรง นำมาเรียงต่อกันเป็นช่องทางเดินวกวนไปมา บนพื้นที่ประมาณ  30 ตารางเมตร  โดยกำหนดให้มีทางเข้าทางเดียว ภายในมีช่องทางเดิน 12 ช่อง ในแต่ละช่องจากมีการกำหนดจุดหลงขึ้น เพื่อไม่ให้ผู้เล่นเดินเข้าถึงจุดศูนย์กลางซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูปได้ง่าย  เชื่อกันว่าถ้าเราเข้าไปเจอจุดประดิษฐานพระพุทธรูปในเหว่เกอะป่าโดยไม่หลงจะถือว่าเป็นคนมี บุญ ตามหลักความเชื่อของพุทธศาสนาที่ว่าเป้าหมายสูงสุดของมนุษย์คือการนิพพาน ไม่กลับมา เกิด แก่ เจ็บ ตาย อีก การเดินทางเพื่อมุ่งสู่จุดประดิษฐานพระพุทธรูปในเหว่เกอะป่า จึงเปรียบเสมือนการเดินเข้าสู่นิพพานนั่นเอง

ก้าวแรกที่ผมถือดอกไม้ ธูป เทียนเข้าไปในเหว่เกอะป่า รู้สึกตื่นเต้นและกังวลใจว่าจะต้องเดินไปทางไหนจึงจะบรรลุเป้าหมายโดยไม่หลง แต่เมื่อถึงจุดหมายก้านธูปที่อยู่เรียงรายอยู่หน้าพระพุทธรูปก็บอกให้ผมรู้ว่า มีคนจำนวนไม่น้อยทำลายความกังวลและเดินเข้ามาในเหว่เกอะป่าด้วยความศรัทธาเช่นเดียวกับผม ในโลกจำลองแห่งนี้ทุกคนต่างมีอิสระที่จะเลือกทางเดินของตน แต่ก็มีเสียงแนะนำเพื่อให้ถึงเป้าหมายแก่กันและกัน ที่นี่ไม่ว่าจะเชื้อชาติใด สัญชาติไหนก็สามารถเดินร่วมกันได้ หากในโลกแห่งความจริงทุกคนบนโลกใบนี้มีอิสระในการเลือกเดินบนทางของตนคงจะดีไม่น้อย

การแสดงดนตรีของศิลปินกะเหรี่ยงจากประเทศพม่านั้น ก็ได้รับความนิยมมากเช่นกัน ดนตรีช่วยสร้างบรรยากาศความเป็นพี่น้องเผ่าพันธุ์เดียวกันแม้จะอยู่คนละฝั่งขอบแดน ส่วนละครพม่าก็มีชาวบ้านนั่งดูแน่นหน้าเวที ส่วนใหญ่ละครพม่าจะใช้ภาษาพม่าในการแสดงเป็นหลัก ทำให้ชาวบ้านกะเหรี่ยงไทยฟังไม่เข้าใจ แต่ในปีนี้ คณะละครเปลี่ยนมาใช้ภาษากะเหรี่ยงเป็นหลัก บางครั้งก็ใช้ภาษากะเหรี่ยงโปว์และพม่าร่วมด้วย จึงทำให้ทั้งชาวบ้านจากหมู่บ้านของผมและคนจากค่ายผู้ลี้ภัยฟังรู้เรื่อง พื้นที่หน้าเวทีแห่งนี้จึงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนจนจบการแสดงในเช้าวันรุ่งขึ้น

นอกจากภาพของคนในค่ายผู้ลี้ภัยและชาวบ้านได้สนุกสนานร่วมกันในงานบุญนี้ ยังมีภาพอีกมุมหนึ่งที่ผมไม่เคยเห็น นั่นคือ ความร่วมมือในการรักษาความสงบเรียบร้อยระหว่างชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน(ชรบ.) และ บิ๊เบอ (รปภ.) จากในค่ายผู้ลี้ภัย  บิ๊เบอ เป็นผู้ดูแลผู้ร่วมงานที่มาจากค่ายผู้ลี้ภัยแม่หละ ส่วน ชรบ.ในหมู่บ้านรับหน้าที่ดูแลชาวบ้านรอบนอก ด้วยความร่วมมือร่วมใจของทั้งสองฝ่ายทำให้งานบุญครั้งนี้ผ่านไปอย่างเรียบร้อย

ภาพที่เพื่อนผู้ลี้ภัยออกมาร่วมงานบุญกับหมู่บ้านรอบค่ายนั้นย่อมไม่ได้มีให้เห็นบ่อยครั้ง นอกจากพวกเขาจะได้รับความสุขใจที่เกิดจากการทำบุญตามความเชื่อ ผู้ลี้ภัยยังได้สัมผัสความสุขจากมิตรภาพบนพื้นฐานของการเป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน  เมื่อชาวบ้านได้เปิดพื้นที่ใจสร้างมิตรภาพและความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับเพื่อนผู้ลี้ภัย แล้วคุณล่ะเปิดใจหรือยัง?

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net